"...วิทยาให้สัมภาษณ์ว่า “ตอนนั้นผมเข้าใจลูกนะ เขาตั้งใจกับการแข่งขันมาก เมื่อผิดหวังก็เลยทำให้รู้สึกไม่อยากเล่นอีก ผมก็ปล่อย ไม่เล่นก็ไม่เล่น ผมก็รอให้เขากลับมาเอง และถ้าเขามีความอยาก นั่นก็หมายความว่าเขาชอบเทนนิสจริง ๆ” แต่ในอีก 4 ปีต่อมา บูมตัดสินใจกลับมาเล่นเทนนิสอีกครั้งหนึ่ง ปรับเปลี่ยนแนวคิด ฝึกฝน มีวินัยในการฝึกซ้อมมากขึ้น “สิ่งที่ผมเรียนรู้จากการหายไปหลายปีคือ ก่อนที่จะชนะเราต้องเรียนรู้จากความพ่ายแพ้ก่อน และมุ่งมั่นพัฒนาฝีมือของตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ สักวันผมจะต้องชนะและคว้าแชมป์ได้ในที่สุด” เป็นคำพูดของบูมเมื่อ 4 ปีที่แล้ว..."
นอกจากผมเป็นคอหนังตัวยงแล้ว กิจกรรมที่ขาดไม่ได้คือการเล่นกีฬา เรียกว่าเล่นกีฬาได้ครบทุกประเภท ร่วมเล่นกับเพื่อนร่วมทีมได้แบบฮา ๆ ขำ ๆ อาศัยการฝึกฝนและลอกเลียนจากการเฝ้า
หน้าจอทีวีชมกีฬาทุกประเภท และผมไม่เคยพลาดชมรายการแข่งขันกีฬาใหญ่ ๆ อย่างเช่นรายการเทนนิสแกรนด์สแลมที่มีทั้งหมด 4 รายการ ในแต่ละปีจะเฝ้าหน้าจอจนถึงรอบชิงชนะเลิศ แต่ในช่วง
5 ปีที่ผ่านมาต้องสารภาพว่าไม่ได้ติดตามอย่างใกล้ชิดเหมือนแต่ก่อน คงเป็นเพราะนักกีฬาเทนนิสที่หลงใหลและเฝ้าติดตาม ต่างร่วงโรยและเลิกเล่นกันไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอังเดร อากัสซี่ ราฟาเอล นาดาลไปจนถึง โรเจอร์ เฟเดอเรอร์
แต่สำหรับปีนี้ พอผมทราบว่าจะมีนักเทนนิสชายชาวไทย กษิดิศ สำเร็จ (บูม) ลงเล่นในออสเตรเลียน โอเพ่น แกรนด์สแลมแรกของปี ทำให้ผมกลับมาสนใจติดตามดูอีกครั้งหนึ่ง เพราะเป็นครั้งแรกในรอบ 13 ปีที่นักเทนนิสไทยสามารถฟันฝ่าเข้ามาเล่นได้ บูมวัย 24 ปี อันดับโลกอยู่ที่ 414 แต่ไปชนะรอบคัดเลือกที่นครเซี่ยงไฮ้เมื่อปลายปีที่แล้ว สร้างความประหลาดใจให้กับวงการเทนนิสพอสมควร เพราะรายการแกรนด์สแลมถือเป็นรายการที่คัดนักเทนนิสเพียง 128 คนเข้ามาร่วมแข่งขัน ในขณะที่บูมเพิ่งเข้ามาเล่นเทนนิสอาชีพได้ไม่ถึง 3 ปี และเป็นรายการแข่งขันเล็ก ๆ เคยแข่งกับคู่แข่งอันดับที่สูงสุดเพียงแค่อันดับ 78 ของโลก แถมที่แข่งมาแพ้มากกว่าชนะ เรียกว่าเข้ามาถึงรอบแรกของออสเตรเลียน โอเพ่น แบบหักปากกาเซียน [1]
ที่สำคัญคู่แข่งของบูมในรอบแรกคือ ดานีล เมดเวเดฟ ชาวรัสเซีย มือวางอันดับ 5 อดีตมือ 1 ของโลก แฟนเทนนิสต่างสรุปกันว่า บูมคงจะพ่ายแพ้สามเซ็ตรวดแบบไม่มีทางสู้ ได้มาแต้มหนึ่งคงจะ
ดีใจหาย แต่ในการแข่งขันจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น บูมสามารถสู้กับเมดเวเดฟได้อย่างสูสี และเกือบทำให้ชาวเทนนิสตกตะลึงเพราะแม้จะแพ้ในเซ็ตแรก แต่ในเซ็ตสองและเซ็ตสามบูมเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม อาศัยจุดแข็งของเขาที่สูงถึง 191 ซม. ยืนปักหลักตีจากเส้นท้ายคอร์ท และพอทีเผลอบูมเปลี่ยนมาเล่นลูกหยอดหน้าเน็ต เมดเวเดฟต้องวิ่งขึ้นวิ่งลง ถูกตีลูกข้ามหัวและได้แต่เงยหน้ามองลูกไปลงท้ายคอร์ทพ่ายไปในเซ็ตสองและเซ็ตสามอย่างหมดรูป จนหัวเสียเอาไม้ฟาดไปที่ตาข่ายกลางสนามทำให้กล้องที่ติดอยู่แตกกระจาย ถูกกรรมการตักเตือน ซึ่งแม้ว่าได้อีกเพียงเซ็ตเดียวบูมจะเป็นผู้กำชัยชนะ แต่ด้วย
ประสบการณ์ของเมดเวเดฟ และบูมไม่เคยแข่งขันในรายการเกิน 3 เซ็ต จึงเริ่มหมดแรงและเป็นตะคริว แรงตีไม่เหมือนกับในช่วงต้นของการแข่งขัน ส่งผลให้เมดเวเดฟกลับมาชนะได้ใน 2 เช็ตหลัง และชนะไปได้ในที่สุด 3 ต่อ 2 เซ็ต
หลังจากจบการแข่งขัน บูมได้ยกมือไหว้ผู้ชมไปรอบสนาม สร้างความประทับใจให้กับผู้ชมที่ต่างลุกขึ้นมาตบมือคล้อยหลังบูมที่เดินออกจากสนามไป เมดเวเดฟได้ให้สัมภาษณ์ถึงบูมว่า “ผมรู้สึกตะลึงมากกับฟอร์มการเล่นของเขา ซึ่งก่อนแข่งผมได้ดูและศึกษาการเล่นของเขามาแล้ว แต่ไม่เคยเห็นฟอร์มในระดับนี้เลย แน่นอนว่าถ้าเขาสามารถรักษาการเล่นในระดับนี้ ชีวิตเขาจะดีขึ้นอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเรื่องเงิน ผู้หญิง คาสิโน หรืออะไรก็ตาม และผมหวังว่าเขาจะทำแบบนี้อีก” [2]
กษิดิศ สำเร็จ (บูม) ได้ทำให้วงการเทนนิสไทยตื่นขึ้นมา ท่ามกลางความหวังว่าจะมีนักเทนนิสไทยแจ้งเกิดอย่าง ภราดร ศรีชาพันธุ์ และดนัย อุดมโชค ที่สร้างชื่อเสียงให้ประเทศได้อีกครั้งหนึ่ง
เบื้องหลังความสำเร็จก้าวแรกของบูม มาจากผู้ชายผิวคล้ำวัย 60 ปี ที่นั่งอยู่ขอบสนามซึ่งกล้องโทรทัศน์จับภาพเขาบ่อยครั้งมาก เพราะคอยส่งเสียงเชียร์และตบมือให้กำลังใจบูมตลอดเวลา ชายผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นไกลคือ วิทยา สำเร็จ อดีตตำนานนักเทนนิสทีมชาติ คว้าแชมป์ระดับซีเกมส์ถึง 5 สมัย และวิทยาคือพ่อและโค้ชของบูมนั่นเอง เรียกว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น ประวัติของวิทยาน่าสนใจยิ่งนัก เป็นคนปราจีนบุรี ครอบครัวมีฐานะยากจน บ้านอยู่ใกล้สนามเทนนิส ได้เพียงแค่เกาะลูกกรงเฝ้าดูคนเล่นจากภายนอกสนาม พอโตขึ้นได้รับการว่าจ้างเป็นเด็กเก็บบอลได้เงินวันละ 1 บาท แต่แอบสังเกตการตีเทนนิสไปในตัว จนกระทั่งมีคนสอนให้ตีเป็นเรื่องเป็นราวเพื่อจะมาเป็นคู่ซ้อมป้อนลูกให้ ตีไปตีมา โค้ชเห็นแววจึงได้ฝึกฝนแบบจริงจัง ฝีมือพัฒนาจนเป็นตัวแทนจังหวัดไปแข่งขันได้รางวัลชนะเลิศ และกลายมาเป็นตัวแทนทีมชาติ สร้างชื่อเสียงให้ประเทศในที่สุด
วิทยาให้สัมภาษณ์ว่า เทนนิสทำให้ชีวิตมีวันนี้ได้ หลังจากเขาเลิกเล่นได้กลายมาเป็นโค้ชให้กับสมาคมกีฬาลอนเทนนิสแห่งประเทศไทย ปั้นเด็ก ๆ เข้าสู่ทีมชาติหลายคน แต่อีกใจหนึ่ง วิทยาต้องการให้ลูกสาวและลูกชายเดินตามรอยคุณพ่อ จึงให้ลูกทั้งสองจับไม้เทนนิสตั้งแต่เด็ก โดยบูมเริ่มฝึกตีเทนนิสตั้งแต่อายุ 6 ขวบ แต่เลิกเล่นตอน 8 ขวบ เพราะเล่นแพ้บ่อย ๆ เลยท้อแท้ และแทนที่พ่อจะเคี่ยวเข็ญบังคับลูก กลับปล่อยให้ลูกค้นหาตัวเอง บูมจึงหันไปเล่นบาสเกตบอลและฟุตบอลแทน
วิทยาให้สัมภาษณ์ว่า “ตอนนั้นผมเข้าใจลูกนะ เขาตั้งใจกับการแข่งขันมาก เมื่อผิดหวังก็เลยทำให้รู้สึกไม่อยากเล่นอีก ผมก็ปล่อย ไม่เล่นก็ไม่เล่น ผมก็รอให้เขากลับมาเอง และถ้าเขามีความอยาก นั่นก็หมายความว่าเขาชอบเทนนิสจริง ๆ” แต่ในอีก 4 ปีต่อมา บูมตัดสินใจกลับมาเล่นเทนนิสอีกครั้งหนึ่ง ปรับเปลี่ยนแนวคิด ฝึกฝน มีวินัยในการฝึกซ้อมมากขึ้น “สิ่งที่ผมเรียนรู้จากการหายไปหลายปีคือ ก่อนที่จะชนะเราต้องเรียนรู้จากความพ่ายแพ้ก่อน และมุ่งมั่นพัฒนาฝีมือของตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ สักวันผมจะต้องชนะและคว้าแชมป์ได้ในที่สุด” เป็นคำพูดของบูมเมื่อ 4 ปีที่แล้ว [3]
“พ่อจะคอยบอกเสมอว่า เมื่อเลือกแล้วที่จะเล่นเทนนิสต้องเต็มที่นะ และเทนนิสคืออาชีพของเราแล้วนะ เราต้องทำให้ดีที่สุด ด้วยคำพูดเหล่านี้ทำให้ผมมีกำลังใจที่จะสู้ และฝ่าฟันอุปสรรคได้อย่างดี” จึงเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า พ่อ คือแรงบันดาลใจและพลังอันยิ่งใหญ่ที่ทำให้ กษิดิศ ก้าวมาสู่ความสำเร็จในวันนี้พวกเราคงต้องส่งกำลังใจให้กับบูมเพื่อให้ความฝันของพ่อลูกคู่นี้เป็นจริง
แหล่งที่มา:
[1] มหัศจรรย์กษิดิศ นักเทนนิสเกือบทำโลกเซอร์ไพรส์ วิเคราะห์บอลจริงจัง, 14 มกราคม 2568 https://www.facebook.com/jingjungfootball
[2] ณัฐพล กาญจนะคช ดานิล เมดเวเดฟ ตะลึงฟอร์ม “บูม กษิดิศ” ยอมรับถ้าเล่นได้ในระดับนี้ชีวิตดีขึ้นแน่ Beartai, 14 มกราคม 2568 https://www.beartai.com/life/sports/1451290
[3] LTAT Admin, ลูกไม้ใต้ต้น…กษิดิศ สำเร็จ ขอสานฝัน “พ่อ” สู่มือท็อปโลก Web สมาคมกีฬาลอนเทนนิสแห่งประเทศไทย https://www.ltat.org/author/admin/