
"...นักการเมืองประชานิยมประสบความสำเร็จ เพราะสร้างความเชื่อให้สังคมเห็นว่าเขาเป็นตัวแทนผู้ยากไร้ โดยเฉพาะการดึงเอาคนอื่นเป็นพวกและต่อสู้กับฝ่ายที่มีอำนาจอยู่แล้ว เขามักใช้คำพูดที่ดึงดูดคนมาเป็นพวกได้ เช่น คำว่า “คนธรรมดา” “คนตัวเล็ก” “ชาวบ้าน” “คนตามถนน” หรือ “ชนชั้นแรงงาน”..."
การกลับมาไทยของคุณทักษิณเที่ยวนี้ เหมือนย้อนอดีตกลับไป พ.ศ. 2544-2549 นั่นคือ ประชานิยมไทย (Thai Populism) กลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งหนึ่ง เริ่มจากพรรครัฐบาลแจกเงินหมื่นบาท รอบแรกไปแล้วและกำลังแจกต่อในรอบที่สอง พร้อมกับมีนโยบาย 2 นโยบายที่รัฐบาลกำลังผลักดันอย่างเข้มแข็งและรวดเร็ว คือ นโยบายกาสิโนกับการพนันออนไลน์ นัยว่าจะเอาขึ้นบนดินให้ถูกกฎหมาย (legalization) คาดว่าจะนำเงินเข้าประเทศไม่ต่ำกว่าห้าแสนล้านบาท นอกจากนั้นคุณทักษิณยังมีวิสัยทัศน์เรื่องเงินดิจิทัลอีกด้วย
ประชานิยม (Populism) ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีรากฐานมาจากนักการเมืองปีกซ้าย (left-wing) ที่ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อคนจน โดยเฉพาะผู้ใช้แรงงานและเกษตรกร ตั้งแต่กลุ่มนักการเมืองในสหรัฐอเมริกาทศวรรษ 1890 กลุ่มนักศึกษาในสหภาพโซเวียตในทศวรรษ 1900 นายพลเปรองในอาร์เจนตินา และ ชาร์เวซในเวเนซูเอล่ากลางศตวรรษที่ 20 ส่วนปีกขวาหัวรุนแรง (radical right-wing) ก็มี เช่น กลุ่ม SYRIZA ของกรีก และกลุ่ม PODEMOS ของสเปน
การเมืองประชานิยม (populist politics) มีแก่นสารสาระ 2 ประการ คือ (1) เอาประชาชนเป็นศูนย์กลาง (people-centrism) และ (2) ต่อต้านชนชั้นนำ (anti-elitism)
ในแง่ของเหตุผลทางการเมือง (as a form of political reason) ประชานิยมเป็นความคิดเกี่ยวข้องกับการเป็นศัตรูกันระหว่างประชาชนกับผู้นำ (antagonistic relation between “the people” and “the elite”) สืบเนื่องมาจากปัญหาโครงสร้างสังคมที่เป็นแนวดิ่งมาตลอด นักการเมืองประชานิยมเสนอตัวเข้ามาเป็นตัวแทนประชาชนต่อสู้กับชนชั้นนำ โดยยึดหลักว่าเขาอยู่ข้างผู้เสียเปรียบ (to posit themselves as the representatives of the underdog against the powerful)
การเสนอตัวของนักการเมืองประชานิยมกระทำได้เมื่อมีโอกาสจากวิกฤติ (crisis) ซึ่งแบ่งวิกฤติได้เป็น 2 แบบ แบบแรก คือ ปรากฏการณ์เชิงประจักษ์ (positivist paradigm) เช่น วิกฤติเศรษฐกิจ วิกฤติการเมืองระบอบเผด็จการ ส่วนแบบที่สอง ปรากฏการณ์เชิงการประกอบสร้าง (constructivist paradigm) หมายถึงผู้นำสร้างปรากฏการณ์ขึ้นมาให้สังคมเห็นว่าบ้านเมืองกำลังเกิดวิกฤติ โดยที่ไม่ได้มีข้อมูลเชิงประจักษ์เหมือนแบบแรก การเกิดวิกฤติแบบหลังนี้ยิ่งเกิดมากในโลกยุคหลังความจริง (the post-truth) ซึ่งกระจายความจริงโดยอาศัยเทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่
นักการเมืองประชานิยมประสบความสำเร็จ เพราะสร้างความเชื่อให้สังคมเห็นว่าเขาเป็นตัวแทนผู้ยากไร้ โดยเฉพาะการดึงเอาคนอื่นเป็นพวกและต่อสู้กับฝ่ายที่มีอำนาจอยู่แล้ว เขามักใช้คำพูดที่ดึงดูดคนมาเป็นพวกได้ เช่น คำว่า “คนธรรมดา” “คนตัวเล็ก” “ชาวบ้าน” “คนตามถนน” หรือ “ชนชั้นแรงงาน”
แต่ความสำเร็จของนักการเมืองประชานิยมกลับไม่ฝ่าทะลุไปไกลสู่ประชาธิปไตยสมบูรณ์ตามที่คาดหวัง เมื่อสังคมรู้สึกเกิดความแตกต่างจากผู้ปกครอง หรือที่เรียกว่า “logic of difference” และรวมตัวกันเพื่อต่อสู้เพื่อความเสมอภาค หรือที่เรียกว่า “logic of equivalence” แล้ว ผลปรากฏว่าผู้ยากไร้เป็น ผู้ชนะ และได้รัฐบาลประชานิยม แต่ประชาชนส่วนใหญ่กลับยิ่งไม่สามารถพึ่งตัวเองได้ ต้องพึ่งผู้นำประชานิยมและรอการช่วยเหลือจากรัฐบาลอยู่ตลอดเวลา จนในที่สุดกลายเป็นกลุ่มลูกค้าในนโยบายของรัฐบาล (clientelism) นโยบายรัฐบาลที่เคยแจกเงินประชาชนอย่างไร รัฐบาลใหม่ต่อมาก็ยังต้องแจกไปเรื่อย ๆ และไม่มีใครกล้ายกเลิกนโยบายเดิม เพราะจะไม่ได้รับความนิยม ผลเสียหายจึงเกิดกับประเทศในระยะยาว โดยเฉพาะหนี้สาธารณะและภาระการพึ่งพิงรัฐ นอกจากนั้นยังทำให้คนอ่อนแอและไม่สามารถควบคุมรัฐบาลได้ ระบอบประชาธิปไตยจึงเลวร้ายลง
นักวิชาการส่วนใหญ่จึงมองว่าประชานิยมเป็นอันตรายต่อการปกครองในระบอบเสรีประชาธิปไตย เพราะเป็นโรคระบาดที่แพร่กระจายไปอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดจะนำไปสู่การทำลายอุดมการณ์เสรีประชาธิปไตย นอกจากประชานิยมไม่ช่วยพัฒนาประชาธิปไตยแล้ว ประชานิยมยังทำให้เกิดการสถาปนาผู้นำการเมืองประชานิยมคนใหม่ ซึ่งเขายิ่งแข็งแกร่งเท่าใด ก็ยิ่งมีอำนาจครอบงำชีวิตจิตใจผู้คน (hegemony) มากเท่านั้น และประเด็นสำคัญ การเมืองประชานิยมกลับทำให้การเป็นศัตรูกันทางการเมืองบานปลาย กลายเป็นความแตกแยกทางสังคม (social cleavage) ยากที่จะแก้ไขได้ แม้กระทั่งในระยะยาว
หลายประเทศ เช่น กรณีของตุรกี เวเนซูเอล่าและประเทศไทย การขยายตัวของประชานิยม บานปลายจนไม่มีทางแก้ไข ในที่สุดต้องล้างไพ่การเมืองด้วยการปฏิวัติรัฐประหาร ยิ่งทำให้ระบอบประชาธิปไตยเลวร้ายลง แต่ไม่สามารถล้างพิษประชานิยมได้ คนในประเทศที่เคยชินกับการรับแจกและพึ่งผู้นำก็ยังโหยหาประชานิยมเหมือนเดิม และประชานิยมสามารถกลับมาหว่านเสน่ห์แจกเงินได้เสมอ..
ที่น่าคิด คือ กรณีของคุณทักษิณ ช่วง พ.ศ. 2544-2549 เป็นประชานิยมปีกซ้ายอย่างเห็นได้ชัด เพราะการยึดเอาประชาชนเป็นศูนย์กลางก็ดี การต่อสู้กับชนชั้นนำก็ดี เป็นองค์ประกอบสำคัญของประชานิยมของคุณทักษิณในเวลานั้น แต่การที่คุณทักษิณยืนหยัดต่อสู้กับ “the establishment” ของสังคมไทยทำให้คุณทักษิณได้รับบทเรียนบทสำคัญ ต้องระเห็จสัญจรไพรไปนานกว่า 18 ปี การลิ้มรสความคิดถึงบ้านและสังขารที่โรยราลงตามวัย พ.ศ. 2567 คุณทักษิณกลับมาในมาดใหม่ และได้เสนอนโยบายใหม่ ๆ ใน พ.ศ. 2567-2568 แน่นอนว่าคนไทยรู้ดีว่าคุณทักษิณอยู่เบื้องหลังนโยบายดังกล่าว
นโยบายแจกเงินหมื่นบาทของรัฐบาลชุดปัจจุบัน เป็นที่ถกเถียงกันในวงวิชาการว่า “ตัวปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ” มันมีจริงหรือไม่?
นโยบายแจกเงินหมื่นบาทเกิดขึ้นก่อนข้ออ้าง (policy argument) ว่า แก้ปัญหาเศรษฐกิจ หรือเป็นนโยบายหาเสียง (party’s platform) ก่อน แล้วจึงมาหาข้ออ้างทีหลังว่าเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ? ถ้าเป็นอย่างหลังก็แสดงว่าอันที่จริงนั้น “ตัวปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ” ถูกผู้นำประกอบสร้างขึ้นมาภายหลังจากการมีนโยบายหาเสียง
คำถามต่อมา การแจกเงินหมื่นบาทกระตุ้นเศรษฐกิจได้ตามเป้าหมายหรือไม่? เงินหมื่นที่คนได้รับถูกนำมาจับจ่ายใช้สอยเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างไร?—ถ้าตอบคำถามนี้ไม่ได้ ก็ย่อมมีผลกระทบต่อปัญหาความรับผิดชอบต่อสาธารณะของรัฐบาล
ส่วนนโยบายที่กำลังเป็นที่ฮือฮากว่านั้น เป็นนโยบาย 2 นโยบาย คือ นโยบายเปิดกาสิโน กับนโยบายการพนันออนไลน์
ประเด็นแรก องค์ประกอบทางด้านจริยศาสตร์ (ethical component) แน่ละคำว่า “จริยศาสตร์” (ethics) ย่อมหมายถึงหลักศีลธรรมพื้นฐานที่ทำให้สังคมแยกได้ว่าอะไรดี-อะไรชั่ว!! นโยบายเปิดกาสิโนกับการพนันออนไลน์ไม่มีเส้นแบ่งทางจริยศาสตร์เลยหรือ??
ประเด็นที่สอง องค์ประกอบของความรอบคอบ (prudential component) นโยบายกาสิโนกับการพนันออนไลน์มีกระบวนการคิดและออกแบบเป็นอย่างไร? ประชาชนขอตรวจสอบได้หรือไม่? นโยบายสาธารณะเป็นนโยบายที่รัฐบาลกระทำในนามประชาชนไม่ใช่หรือ??
ประเด็นที่สาม องค์ประกอบของข้อมูลเชิญประจักษ์ (empirical component) เป้าหมายที่ว่านำเงินเข้าประเทศได้ห้าแสนล้านบาท เป็นตัวเลขที่ได้มาจากไหน? ใครเป็นคนลงทุน? ติดต่อเขาไว้แล้วหรือยัง? ถ้าติดต่อเขาไว้ก่อน ติดต่อในนามใคร?? ส่วนตัวหรือส่วนรวม??--ในทางกลับกัน ถ้าไม่ได้ติดต่อรู้ได้อย่างไรว่าจะได้เงินห้าแสนล้านบาท!!
ส่วนเจ้าหน้าที่ของรัฐคนที่ออกมายืนยันว่าสามารถควบคุมคนเล่นการพนันได้ ยืนยันด้วย เกียรติศักดิ์ คุณสมบัติหรือความสามารถอะไร ท่านเคยยืนยันอะไรแล้วเป็นจริงตามที่ท่านยืนยันหรือไม่? เมื่อใดบ้าง? มีคนไทยเห็นด้วยกับคำยืนยันของท่านกี่คน??
สุดท้าย เงินห้าแสนล้านบาทที่ว่าจะได้นั้น ตกเป็นของคนจนหรือคนยากไร้กี่คน?? เจ้าของกาสิโนและการพนันออนไลน์ที่เขาลงทุนเป็นแสน ๆ ล้าน เขาได้ส่วนแบ่งเท่าไหร่?? ประเทศไทยสามารถแก้ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำได้มากขึ้นเท่าใด? คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ ใครบ้างที่เป็นเป้าหมายในการกระจายรายได้? ปัญหาที่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการพนันจะหายไปหรือเพิ่มขึ้น? วัดจากอะไร?? ทุกวันนี้ยังมีบ่อนอยู่ข้างโรงพักอีกหรือไม่??
เมื่อมีกาสิโนและการพนันออนไลน์ถูกกฎหมาย คนก็ต้องเข้าไปเล่นมากขึ้น เพราะถ้าไม่มีคนเล่น คนลงทุนก็ต้องขาดทุน เมื่อมีคนเล่นมากก็ต้องกระทบต่อปัญหาศีลธรรมของประเทศ --การเอานักจิตวิทยามาบำบัดการติดการพนันแก้ไขปัญหาได้จริงหรือ??
ถ้าแก้ไขได้จริง ทำไมไม่เอามาบำบัดนักการเมืองที่เสพติดอำนาจ?
นโยบายประชานิยมของทักษิณกำลังเลี้ยวไปสู่ปีกขวา—เอียงเข้าหาคนรวย เจ้าของทุนและ the establishment !!
ข้ออ้างที่ว่าเศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว.. เป็นเพียงการประกอบสร้างทางความคิดของผู้นำ.. ที่กำลังนำพาประเทศไปสู่เส้นทางที่มืดมิดและได้ยินเสียงกระซิบของปีศาจตนนั้นว่า..”รีบมาเร็ว ๆ”
เรืองวิทย์ เกษสุวรรณ

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา