
"...ผมจึงใช้ยุทธศาสตร์รูปแบบ “ไม่เป็นทางการ” เพราะเห็นแล้วว่า ความเป็นทางการมักทำอะไรไม่สำเร็จ ผมจะไม่เดินซ้ำรอยเดิมที่ทำอะไรไปเรื่อยๆ ไม่มีกำหนดเสร็จ และไม่เห็นผลในระยะสั้น จึงเป็นที่มาของหลักสูตร WiNs (Wisdom,Innovation,Network,Serving Society) ซึ่งมีชื่อเต็มว่า โครงการพัฒนาเครือข่ายและศักยภาพผู้บริหารระดับสูงทั้งรัฐ-เอกชน ที่เกี่ยวข้อง แบบไม่เป็นทางการ เพื่อทำให้ผู้บริหารทุกหน่วยงานกว่า 800 คน รู้จัก รักใคร่ ร่วมแรงร่วมใจกันเพื่อ “รับใช้ประเทศให้ได้เร็วที่สุด” โดยปลดล็อคแทบทุกข้อจำกัด เน้นกระชับความสัมพันธ์กันภายในกระทรวง ระหว่างกระทรวง และ ภาคเอกชนให้ทำงานสะดวก เร็ว และ มีประสิทธิภาพ..."
ผมอยากเล่าเรื่องนี้ เพื่อจะบอกให้คนไทยรู้ว่า ท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมตรี ท่านมีคุโณปการกับประเทศอย่างใหญ่หลวง ในเรื่องการปฏิรูป อุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และ นวัตกรรมของประเทศ ภายใต้วิสัยทัศน์ของท่านที่กำหนดให้ไทยจะต้องเป็นประเทศพัฒนาแล้วภายในปี 2580 ซึ่งหลายๆท่านอาจไม่ทราบว่าในปี 2562 ท่านเป็นผู้รับสนองพระราชโองการในการก่อตั้ง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมขึ้น ตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2562 มีผลตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2562
โดยกระทรวงแห่งใหม่นี้ รวมส่วนงานสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศจาก 3 กระทรวงด้วยกัน ประกอบด้วยกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเดิม และหน่วยงานต่างๆ ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กระทรวงวิทยาศาสตร์ เช่น สวทช. อพวช. สดร. Gistda เป็นต้น
มารวมกับสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ซึ่งเดิมอยู่ภายใต้การกำกับของกระทรวงศึกษาธิการ, สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ที่เป็นส่วนราชการไม่สังกัดกระทรวง ขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรีโดยตรง และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ซึ่งเดิมอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักนายกรัฐมนตรี
และ ยังรวมไปถึงการดูแลหน่วยงานวิจัยและอุดมศึกษาของ 8 กระทรวง ภายใต้สภานโยบายอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และ นวัตกรรม โดยมีท่านนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว) ทำหน้าที่ส่งเสริมและกำกับดูแลสถาบันอุดมศึกษา เพื่อพัฒนากำลังคนให้มีทักษะสอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ ทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคมศาสตร์ โดยจะมีอำนาจกำหนดนโยบายและแผนปฏิบัติต่างๆ เกี่ยวกับการอุดมศึกษาแยกจากกระทรวงศึกษาธิการ นอกจากนั้นยังมีหน้าที่ส่งเสริมและกำกับดูแลการทำวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการปฏิรูปที่สำคัญที่จะทำให้ไทยจะเป็นประเทศพัฒนาแล้วภายในปี 2580 ได้ครับ
กระทรวง อว.เป็นกระทรวงที่ใหญ่มาก เราดูแลนักศึกษากว่า 2 ล้านคน นักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย นักวิชาการ ข้าราชการ กว่า 2 แสนคน มีงบประมาณเป็นอันดับ 5 หรือ 6 ของประเทศ กำกับดูแล และ บริหารเงินวิจัยและพัฒนาของประเทศกว่า 2 หมื่นกว่าล้านบาท
ดังนั้น โจทย์แรกของผมในวันที่เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี คือ ทำอย่างไรจึงจะรวมคน รวมหน่วยงานต่างๆกว่า 200 หน่วยงานรวมมหาวิทยาลัยทั่วประเทศด้วยแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่มีฐานะเทียบเท่ากรม และ มีความเป็นอิสระในการบริหารงานให้ได้ดี มีประสิทธิภาพ ในระยะเวลาที่เร็วที่สุด เพราะอย่างที่เคยบอกว่า รัฐมนตรีเป็นคนที่มีเวลาน้อยมาก ถ้าไม่รีบทำก็อาจจะไม่ได้ทำ หรือ ทำไม่สำเร็จได้
ผมจึงใช้ยุทธศาสตร์รูปแบบ “ไม่เป็นทางการ” เพราะเห็นแล้วว่า ความเป็นทางการมักทำอะไรไม่สำเร็จ ผมจะไม่เดินซ้ำรอยเดิมที่ทำอะไรไปเรื่อยๆ ไม่มีกำหนดเสร็จ และไม่เห็นผลในระยะสั้น จึงเป็นที่มาของหลักสูตร WiNs (Wisdom,Innovation,Network,Serving Society) ซึ่งมีชื่อเต็มว่า โครงการพัฒนาเครือข่ายและศักยภาพผู้บริหารระดับสูงทั้งรัฐ-เอกชน ที่เกี่ยวข้อง แบบไม่เป็นทางการ เพื่อทำให้ผู้บริหารทุกหน่วยงานกว่า 800 คน รู้จัก รักใคร่ ร่วมแรงร่วมใจกันเพื่อ “รับใช้ประเทศให้ได้เร็วที่สุด” โดยปลดล็อคแทบทุกข้อจำกัด เน้นกระชับความสัมพันธ์กันภายในกระทรวง ระหว่างกระทรวง และ ภาคเอกชนให้ทำงานสะดวก เร็ว และ มีประสิทธิภาพ
ผมสั่งชัดเจน 2 ไม่ คือ ไม่ทำเอกสารวิจัย และ ไม่มีการเข้าเรียน เพราะผมไม่เชื่อว่า ผู้บริหารจะทำ 2 เรื่องนี้แน่นอน และมันไม่ตอบโจทย์เรื่องการสร้างความสัมพันธ์แบบเร่งด่วน และผมยังสั่งอีก 3 ต้อง คือ
1 ต้องสนุก เพราะคนไทยถ้าไม่สนุกไม่เรียน จริงไหมครับ
2 ต้องจบหลักสูตรภายใน 3-4 เดือน และ
3 ต้องมาพบเจอกันทุกๆ 2 อาทิตย์ โดยเดินทางไปทำความรู้จักหน่วยงานต่างๆของ อว.ทั่วประเทศ
โชคดีมากครับ หลังจากจบหลักสูตร WiNs รุ่นแรกมีวิกฤตโควิด 19 เข้ามา ทำให้ผมเห็นโอกาสทันทีในการจะใช้ WiNs ในการนำ อว.ไปเป็นกองหนุนสำคัญของการแก้ปัญหาระดับชาติ ผมย้ำทุกคนว่า อว.ต้องไปเป็นกองหนุนเพื่อไปสนับสนุนการทำงานของกระทรวงสาธารณสุข และ กระทรวงมหาดไทย อย่าไปออกหน้า แต่ผมก็บอกทุกคนใน อว.ว่า บ่อยครั้งนะที่สงครามชนะด้วยกองหนุน
และเราก็ได้พิสูจน์แล้วว่า WiNs ได้ช่วยเหลือประเทศในวิกฤตโควิด19 ได้ทันที ด้วยการเชื่อมโยงผู้บริหารของทุกหน่วยงานในกระทรวง ทั้งการเปิดเป็นโรงพยาบาลสนาม และ ศูนย์บริการฉีดวัคซีน ผมเชื่อว่า ถ้าไม่มี WiNs เราอาจไม่ทันรับมือกับปัญหาใหญ่ระดับชาติครั้งนั้นได้ และ ยังได้ของแถมที่ทำให้คนทั้งประเทศรู้จักกระทรวงน้องใหม่ที่ชื่อ อว. ภายในเวลาไม่กี่เดือน
กลับมาที่การปฏิรูปอุดมศึกษา ซึ่งเป็นครั้งแรกในโลกนะครับที่มีการแบ่งประเภทของมหาวิทยาลัย เพื่อให้แต่ละมหาวิทยาลัยได้แสดงศักยภาพ แสดงความเก่งจากความสามารถ ความถนัดของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องเก่งแบบเดียวกัน เก่งเรื่องเดียวกัน
เพราะผมมั่นใจว่าทุกมหาวิทยาลัยมีความเป็นเลิศที่ไม่เหมือนกัน จึงไม่ควรมาต่อคิวจัด Ranking ตามแบบทฤษฏีฝรั่ง แต่เราสามารถผลักให้ทุกมหาวิทยาลัยยืนอยู่บนแถวหน้าได้ตามความสามารถเฉพาะตัวที่โดดเด่นที่แตกต่างกัน ซึ่งทำให้เรามีมหาวิทยาลัยเก่งๆติดอันดับต้นๆเพิ่มขึ้นมาทันทีเลยครับ ไม่มีมหาวิทยาลัยปลายแถวอีกต่อไปครับ โดยเราแบ่งมหาวิทยาลัยออกเป็น 5 กลุ่มดังนี้
1 กลุ่มพัฒนาการวิจัยระดับแนวหน้า เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ฯลฯ
2 กลุ่มพัฒนาเทคโนโลยีและส่งเสริมการสร้างนวัตกรรม เช่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลต่างๆ สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ฯลฯ
3 กลุ่มพัฒนาชุมชนท้องถิ่นหรือชุมชนอื่น เช่น มหาวิทยาลัยราชภัฏต่างๆ มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ มหาวิทยาลัยนครพนม มหาวิทยาลัยพะเยา ฯลฯ
4 กลุ่มพัฒนาปัญญาและคุณธรรมด้วยหลักศาสนา เช่น มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) และมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร.) ฯลฯ
5 กลุ่มผลิตและพัฒนาบุคลากรวิชาชีพและสาขาจำเพาะ เช่น สถาบันการพยาบาลศรีสวรินทิรา สภากาชาดไทย สถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน สถาบันอาศรมศิลป์ ฯลฯ
ผมยังให้นโยบาย การเปิดให้เรียนข้ามมหาวิทยาลัย เปิดให้นักเรียนสามารถเรียนล่วงหน้าเพื่อเก็บหน่วยกิตได้ และ ที่สำคัญยังเปิดหลักสูตร sandbox ให้กับท่านที่ออกแบบหลักสูตรใหม่ที่สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของโลก หรือ ของประเทศ ให้ทำหนังสือมาขอยกเว้นข้อจำกัดต่างๆได้
เพราะโลกยุคใหม่ต้องการหลักสูตรพิสดาร ที่อาจจะดูทีเล่นทีจริง แต่อาจจะดีก็ได้ ต้องลองทำดูเลยครับ ถ้าดีทำต่อ ถ้าไม่ดีก็เลิก ซึ่งอาจเรียนน้อยกว่า 4 ปีก็ได้ และผมยังยกเลิกการ Retire ถ้าเรียนไม่จบภายใน 8 ปี เพราะเราต้องสนับสนุนให้คนเรียนไปทำงานไป เพราะการทำงานจะทำให้คุณได้ประสบการณ์จริง และความรู้ไม่ได้อยู่ในมหาวิทยาลัยเท่านั้น รวมไปถึงคนที่มาสอนก็เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่มีวุฒิ มีศ. มี ดร. แต่ควรจะเป็นคนทำงานจริง ที่ประสบความสำเร็จจริง
หลังจากที่ผมเข้ามาเป็นรัฐมนตรี มีคนถามผมว่า ระบบราชการดูจะเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา วทน.ของประเทศ เราควรจะแก้ไขอย่างไร ผมขอให้หลักการการทำงานไว้ดังนี้นะครับ
1. ให้มองทุกอย่างเป็นโอกาส เพราะถ้าเราเห็นอะไรเป็นปัญหาไปหมด แรงของเราจะลดลงไปครึ่งนึง แต่ถ้าเราเห็นเป็นโอกาส เราจะสนุกกับการทำงาน รวมไปถึงการใช้ชีวิต ดังนั้น ถ้าเราเห็นระบบที่ล้าสมัย ถ้าเราเจอคนที่ไม่ฉลาด ไม่รอบรู้ ไม่มีวิสัยทัศน์ ควรจะดีใจ เพราะเป็นโอกาสที่เราได้แสดงผลงานครับ
2. อย่าคิด อย่าทำตัวเหมือนคนส่วนมาก เพราะคนส่วนมากมักใช้ไม่ค่อยได้ ทำอะไรไปเรื่อยๆ แต่เราต้องเป็นคนส่วนน้อยที่ฉลาด เก่ง ไม่ต้องทำตามคนส่วนใหญ่ ทำเฉพาะสิ่งที่จะสำเร็จ ไม่สำเร็จอย่าไปทำครับ
3. ไม่ทำทุกอย่างแบบหารเฉลี่ย มีหนัก มีเบา ไม่ต้องทำทุกอย่างแบบเท่ากันหมด เราต้องเลือกจุดที่จะพุ่งทะยาน และใช้พละกำลังไปกับเรื่องที่สำคัญ และต้องทำแบบก้าวกระโดด มองหาทางลัด ทางเลี่ยง ทางเบี่ยง เพื่อให้งานสำเร็จ อย่าทำแบบเดิมๆที่ซ้ำซากแล้วไม่ประสบความสำเร็จ
4. มองงานให้เป็นเหมือนสงคราม รบต้องชนะ อย่าใช้วิชาการนำ ต้องใช้ยุทธศาสตร์ในการนำ และ ต้องนำให้ชนะ อย่าทำงานไปเรื่อยๆ โดยไม่มีเป้าหมาย และอย่ารอความพร้อม ยุทธศาสตร์สำคัญกว่าความพร้อม ไม่ต้องทำให้ครบ แต่ต้องทำให้ชนะ
5. เวลาเขียนแผนต้องเขียนด้วยแม่ทัพ ไม่ใช่ให้เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการเป็นเขียนแผน
การนำของผม คือ นำให้ อว. เป็น กระทรวง”พัฒนาประเทศ” ไม่ใช่กระทรวงแห่ง “การสอน และ การทำวิจัย” โดย ต้องเพิ่มมูลค่าสินค้า และ บริการของไทยด้วย วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัย และ นวัตกรรม ไม่ใช่มุ่งเน้นวิชาการดีแต่เพียงอย่างเดียว แต่ต้องมียุทธศาสตร์ในการพัฒนาให้ทันโลก โดยยังคงเอกลักษณ์ อัตลักษณ์ของความเป็นไทย ไม่ใช่จะเอาอย่างประเทศตะวันตก หรือ ประเทศมหาอำนาจซึ่งอาจเปลี่ยนขั้วไปมาได้
ดังนั้น ไทยต้อง....อย่าอยู่ไกลมหาอำนาจเท่าๆกัน และ ให้อยู่ใกล้มหาอำนาจเท่าๆกัน และ อาศัยจุดเด่นของความเป็นชาติ ความเป็นสุวรรณภูมิ ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวไกลมากว่า 2,500 ปี ให้เป็นประโยชน์ ซึ่งเราต้องเดิน 2 ขาทั้งวิทย์ และ ศิลป์ จะทำให้ไทยเป็นประเทศพัฒนาแล้วได้ภายในปี 2580 แน่นอนครับ
เชิญทานอาหารให้อร่อยครับ
“เอกเขนก” รวมบทสนทนา (ไม่) ลับบนโต๊ะอาหารตลอด 3 ปี ที่คุณไม่เคยได้ยินของผม อดีต รมว.อว.ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ กับ เรื่องราวเบื้องหลังแผนการเปลี่ยนไทยสู่ประเทศพัฒนาแล้วในปี 2580
ที่มา : https://www.facebook.com/photo/?fbid=1095504958616230&set=a.192482335585168

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา