
"...โดยสรุปแล้ว ตราบใดที่การกระจายรายได้ของไทยยังมีความเหลื่อมล้ำสูงมาก และระบบภาษีเงินได้และภาษีทรัพย์สินของไทยยังอ่อนแออยู่มาก เราควรพัฒนาหรือปฏิรูปภาษีดังกล่าวมาช่วยในการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้ของไทยมากกว่าทีจะพึ่งพาภาษีการบริโภคอย่างเช่นภาษีมูลค่าเพิ่มซึ่งอาจจะเก็บง่ายแต่สร้างภาระที่ไม่เป็นธรรมแก่คนยากคนจนมากกว่า และยังคงทำให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำของไทยยังคงอยู่ในระดับสูงมากยู่ต่อไป..."
คำปาฐกถาและการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนของนายพิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เมือต้นเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมาได้สร้างความตื่นตระหนกตกใจให้แก่ประชาชนคนไทยเป็นจำนวนมาก เพราะคูณพิชัยเปิดเผยอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยมาก่อนว่ารัฐบาลกำลังศึกษาหรือพิจารณาว่าจะเปลี่ยนแปลงระบบภาษีของไทยหลายชนิด โอยเฉพาะอย่างยิ่งภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT โดยจะเพิ่มจากปัจจุบันร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 15 ซึ่งเป็นเพิ่มที่สูงมากกว่าหนึ่งเท่าตัว โดยจะไปลดภาษีประเภทอื่น คือลดภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลือร้อยละ 15 และเปลี่ยนระบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นภาษีเงินได้อัตราคงที่ที่ร้อยละ 15
ผู้เขียนใจฐานะนักเศรษฐศาสตร์การคลังก็รู้สึกตื่นเต้นตกใจด้วยเช่นเดียวเพราะไม่เคยมีสัญญาณการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้มาก่อน จึงใคร่ขออนุญาตแสดงความเห็นเกี่ยงกับเรื่องนี้ ดังนี้
เรื่องภาษีเงินได้นิติบุคคลและบุคคลธรรมดานั้น ผู้เขียนจะขอเก็บไว้ทีหลัง ตอนนี้จะขอพูดถึงภาษีมูลค่าเพิ่มก่อนว่า เหตุผลหรือตรรกะที่ รมว. คลังนำมาใช้อธิบายการขึ้นอัตราภาษีจากร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 15 นั้นเป็นเหตุผลหรือตรรกะที่ไม่ถูกต้อง
นายพิชัยกล่าวว่าการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจะทำให้ความเหลื่อมล้ำลดลงเพราะส่วนของภาษีที่คนรวยจ่ายนั้นสามารถนำไปช่วยเหลือคนจนได้ ซึ่งไม่ใช่ เพราะภาษีมูลค่าเพิ่มในการซื้อสินค้าอย่างเดียวกันไม่ว่าคนรวยหรือคนจนก็จ่ายเท่ากัน
จะบอกว่าคนรวยจะช่วยคนจนได้อย่างไร เพราะไม่มีกฎหมายหรือระเบียบอื่นใดในขณะนี้ที่ระบุว่าภาษีในส่วนที่คนรวยเสียไปนั้นเอาไปทำอย่างอื่นไม่ได้นอกจากเอาไปช่วยคนจนเท่านั้น
ในทางตรงกันข้าม ภาษีการบริโภคอย่างเช่นภาษีมูลค่าเพิ่มจะทำให้การกระจายรายได้ยิ่งเลวลงเพราะภาระของภาษีโดยเปรียบเทียบ (relative tax burden) หรือสัดส่วนของภาษีจำนวนเท่ากันต่อรายได้ของคนจนจะสูงกว่าสัดส่วนเดียวกันของคนรวย
เพราะฉะนั้นพวกเรานักเศรษฐศาสตร์การคลังจึงได้พร่ำสอนลกศิษย์ลูกหาอยู่ตลอดเวลาว่าในสภาวะที่การกระจายรายได้ของประเทศมีความเหลื่อมล้ำสูงมากอย่างเช่นประเทศไทย เราต้องไม่ซ้ำเติมปัญหาโดยการเพิ่มภาษีการบริโภคอย่างเช่นภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ให้ไปใช้ภาษีรายได้และภาษีทรัพย์สินแทน
การอ้างว่าประเทศอื่นๆเขาเก็บภาษีการบริโภคแบบเดียวกันนี้สูงถึงร้อยละ 25 ถึง 30 ก็เป็นตรรกะที่ไม่ถูกต้องเช่นเดียวกัน
เพราะประเทศเหล่านั้นประชาชนอาจมีฐานะที่ใกล้เคียงกันและมีการกระจายรายได้ที่ค่อนข้างเท่าเทียมกันจึงไม่มีปัญหาที่จะเก็บภาษีการบริโภคสูงๆ เพราะจะไม่ทำให้การกระจายรายได้เลวลง และอันที่จริงรัฐบาลของประเทศเหล่านี้น่าจะพึ่งพาภาษีการบริโภคมากกว่าภาษีเงินได้ด้วยซ้ำเพราะเก็บง่ายและได้รายได้ของรัฐจากภาษีชนิดนี้เป็นกอบเป็นกำ ประเทศไทยจะใช้เหตุผลนี้เหมือนกับประเทศเหล่านี้ไม่ได้
ในขณะที่ประเทศไทยยังเก็บภาษีเงินได้และภาษีทรัพย์สินได้น้อย การจะแอบ “ลักไก่”” โดยการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มขึ้นไปอีกกว่าหนึ่งเท่าตัว ย่อมสร้างภาระโดยเปรียบเทียบให้แก่คนยากคนจนอย่างไม่น่าจะยอมรับได้
ส่วนการที่นายพิชัยแจ้งว่าจะลดภาษีเงินได้นิติบุคคลให้เหลืออัตราที่ต่ำลงที่ร้อยละ 15 ก็อาจจะใช้เหตุผลที่ไม่ถูกต้องเช่นเดียวกัน
ประเทศที่เจริญแล้วที่มีการแข่งขันในทางการค้าที่เข้มข้น กำไรของบริษัทผู้ผลิตจะอยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่สูงจนเกินไปถึงขนาดที่เรียกว่าเป็นกำไรที่ผิดปกติ (abnormal profit)
เพราะฉะนั้น การไม่เก็บภาษีกำไรของบริษัทที่สูงเกินไปย่อมมีความเป็นธรรม และไม่สร้างภาระให้แก่ผู้ผลิตมากจนเกินไป
แต่ในประเทศที่การแข่งขันยังมีปัญหาและมีการผูกขาดตัดตอนมาก การลดภาษีกำไร จะทำให้กำไรของผู้ผลิตยิ่งสูงเพิ่มขึ้นอีก ในขณะที่รายได้ของรัฐลดลง ระบบการค้าและการแข่งขันของแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน จะใช้หลักเกณฑ์เดียวกันและอัตราภาษีเดียวกันมาใช้ให้เหมือนกันหมดทั่วโลกย่อมจะไม่ถูกต้อง
ยังมีประเด็นทางทฤษฎีอีกประเด็นหนึ่งซึ่งจำเป็นต้องนำมาพิจารณาในการเปลี่ยนแปลงภาษีกำไรของบริษัท นั่นคือประเด็นว่าบริษัทจะสามารถผลักภาระภาษีไปยังผู้ซื้อหรือผู้บริโภคได้หรือไม่เมื่อมีการเก็บภาษีกำไรบริษัทสูงขึ้น หากผลักได้ ส่วนของภาษีที่สูงขึ้นก็จะถูกผลักไปยังผู้ซื้อหรือผู้บริโภคในรูปของราคาสินค้าหรือบริการที่แพงขึ้น ซึ่งปัจจัยที่จะกำหนดพฤติกรรมการผลักภาระภาษีหรือไม่นั้น อาจจะขึ้นอยู่กับโครงสร้างการแข่งขันทางธุรกิจและลักษณะเฉพาะทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศนั้นๆได้
ดังนั้นภาษีกำไรบริษัทที่สูงขึ้นอาจจะทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้นหรือไม่ก็ได้ และในขณะเดียวกัน การลดภาษีกำไรบริษัทอาจจะทำไห้ราคาสินค้าและบริการลดลงด้วยหรือไม่ก็ได้เช่นเดียวกัน ประเด็นนี้ทางรัฐบาลผู้กำหนดนโยบายจะต้องศึกษาวิเคราะห์อย่างละเอียดก่อนจะตัดสินใจทางใดทางหนึ่ง
ในทัศนะของผู้เขียนแล้ว ข้อเสนอภาษีที่จะเปลี่ยนแปลงที่น่าสนับสนุนที่สุดคือการเปลี่ยนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากระบบที่มีอัตราก้าวหน้าและมีค่าลดหย่อนและข้อยกเว้นเป็นจำนวนมากมาเป็นภาษีที่มีอัตราคงที่อัตราเดียวที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า proportional tax หรือ flat tax โดยที่อัตราที่เหมาะสมจะเป็นเท่าใดนั้นต้องขึ้นอยู่กับการต้องศึกษาฐานเงินได้ของประชาชนผู้เสียภาษีให้ครบถ้วนเสียก่อน
แนวความคิดนี้ผู้เขียนได้เคยแสดงไว้แล้วในบทความชื่อ “ทำไมประเทศไทยควรหันมาใช้ภาษีเงินได้อัตราคงที่ (flat tax)” ซึ่งตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์มติชนรายวันเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2554 และที่เสนอเช่นนี้มิได้หมายความว่าระบบนี้ดีกว่าระบบภาษีเงินได้อัตราก้าวหน้า (progressive tax) ที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน
หากแต่ว่าระบบภาษีเงินได้ของเราในปัจจุบันมีช่องโหว่และความไม่เป็นธรรมสูงมาก อาทิ มีข้อยกเว้นและค่าลดหย่อนเป็นจำนวนมาก ทำให้ฐานรายได้ผุกร่อน รัฐเก็บภาษีได้ไม่มากเท่าที่ควร อีกทั้งยังเป็นระบบที่ไม่เป็นธรรม เช่นเงินได้ที่ได้จากออกแรงทำงานของผู้มีรายได้ (wage or labor income) ถูกเก็บภาษีเต็มที่ และส่วนใหญ่ถูกหักเก็บ ณ ที่จ่ายด้วยซ้ำ
แต่เงินได้ที่มิได้มาจากการใช้แรงงาน เช่นเงินปันผล หรือกำไรจากการขายหุ้น กลับเสียภาษีในอัตราที่ต่ำกว่าหรือได้รับการยกเว้นเลยด้วยซ้ำ
เพราะฉะนั้น การเปลี่ยนไปเป็นภาษีเงินได้อัตราคงที่ก็เพื่อแก้ไขปัญหาช่องโหว่และความไม่เป็นธรรมอันนี้ ซึ่งนอกจากจะทำให้ระบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของไทยมีความยุ่งยากสลับซับซ้อนน้อยลงแล้ว ยังจะสามารถเก็บภาษีได้มากขึ้นด้วย
ผู้เขียนขอย้อนกลับมาพูดถึงภาษีมูลค่าเพิ่มอีกครั้งหนึ่งว่า จุดกำเนิดของภาษีนี้มิใช่เกิดขึ้นเพื่อจะให้มาทดแทนภาษีเงินได้ หากแต่ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อลดภาระความซ้ำซ้อนของภาษีการค้า (sales tax) ของไทยในยุคก่อนปี 2535 มากกว่า เมื่อปี 2524 ม.ร.ว. จตุมงคล โสณกุล อธิบดีกรมสรรพากร ได้ขอให้คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จัดคณะนักวิจัยเพื่อศึกษาวางแผนปฏิรูประบบภาษีอากรของไทย โดยผู้เชี่ยวชาญเรื่องภาษีของไทย อาทิ ดร. ไกรยุทธ ธีรตยาคีนันท์ ดร. สมชัย ฤชุพันธ์ และคุณศุภรัตน์ ควัฒน์กุล เป็นต้น โดยภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นภาษีชนิดใหม่ที่จะถูกสร้างขึ้นเพื่อทดแทนภาษีการค้าซึ่งเก็บจากยอดขายทุกขั้นตอนซึ่งทำให้ภาระตกอยู่กับผู้ซื้อสูงมาก มาเป็นภาษีที่เก็บเฉพาะมูลค่าการขายที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น ทำให้เกิดความเป็นธรรมมากขึ้น แต่ก็ไม่สามารถนำมาใช้ได้ในทันทีเพราะการเปลี่ยนแปลงภาษีนี้มีนักการเมืองและผู้มีผลประโยชน์ทับซ้อนเป็นจำนวนมากไม่ยอมให้เปลี่ยน
ดร. สมชัย ฤชุพันธ์ แห่งกระทรวงการคลังถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีบทบาทมากที่สุดของการก่อให้เกิดภาษีนี้ขึ้นในประเทศไทยในปี 2535 ในยุครัฐบาลของนายอานันท์ ปันยารชุน หลังจากได้พยายามอยู่เกือบ 10 ปี โดยที่ความคิดหลักของการปฏิรูปไม่ใช่อยู่ที่การพึ่งพิงภาษีนี้เป็นหลัก หากแต่เป็นการปฏิรูปให้เก็บภาษีเงินได้ให้มากขึ้นอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ หาก ดร. สมชัย ยังมีชีวิตอยู่ในขณะนี้คงต้องออกมายืนยันจุดยืนนี้อย่างแน่นอน
โดยสรุปแล้ว ตราบใดที่การกระจายรายได้ของไทยยังมีความเหลื่อมล้ำสูงมาก และระบบภาษีเงินได้และภาษีทรัพย์สินของไทยยังอ่อนแออยู่มาก เราควรพัฒนาหรือปฏิรูปภาษีดังกล่าวมาช่วยในการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้ของไทยมากกว่าทีจะพึ่งพาภาษีการบริโภคอย่างเช่นภาษีมูลค่าเพิ่มซึ่งอาจจะเก็บง่ายแต่สร้างภาระที่ไม่เป็นธรรมแก่คนยากคนจนมากกว่า และยังคงทำให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำของไทยยังคงอยู่ในระดับสูงมากยู่ต่อไป

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา