ในขณะที่ผู้อยู่ในอาศัยในชุมชน เคาน์ตี้ กำลังผล็อยหลับไปในคืนวันคริสมาสต์อีฟแสนสงบสุข อาร์ท เดอะ คลาวน์ ก็พร้อมก็จะปลดปล่อยความบ้าคลั่งสุดหฤโหดในแบบที่ทุกคนยากที่จะตั้งตัวได้ทัน
หวาดกลัว, เสียวไส้ และรู้สึกสยองขวัญ เป็น องค์ประกอบหลักของหนังสยองขวัญ ที่อยู่คู่กันมานาน แต่องค์ประกอบที่ทำให้หลายคนชอบหนังแนวนี้ คงขาดเหล่า ฆาตกร ไม่ได้ เช่น เจสัน วอร์ฮีส์ ,เฟรดดี้ ครูเกอร์ ,ฮันนิบาล เล็กเตอร์ หรือ นอร์แมน เบตส์ แต่ว่าในช่วงปี 2016 ได้มีหนังสยองขวัญอินดี้นอกกระแส อย่าง TERRIFIER ของผู้กำกับ Damien Leone ที่มีทุนสร้างเพียงแค่ 50,000 เหรียญ แต่กลับกวาดรายได้ ไปถึง 4 แสน เหรียญ จุดเด่นของหนังเรื่องนี้ที่กลายเป็นกระแส ปากต่อปาก คือ ความโหดแบบเกินปกติของหนังในหมวดนี้ และ ตัวละคร ฆาตกร ที่มีเสน่ห์ เย้ายวนกวนลีลา อย่าง อาร์ต ออฟ คราวน์ ที่ทุกคนดูแล้วจะต้องหลุดขำออกมาแน่นอน ด้วยกระแสปากต่อๆทำให้หนังเรื่องนี้ได้มีภาคต่อ ในทุนสร้าง 250,000 เหรียญ และกวาดรายได้ไปถึง 15 ล้านเหรียญกันเลยทีเดียว
หากถามว่าทำไมหนังดังขนาดนี้ ประเทศเราถึงไม่เคยได้รู้จักกันเท่าที่ควร เหตุผลนั้นคงจะเพราะ หนังเรื่องนี้ใน 2 ภาคแรก ไม่มีค่ายไหนกล้าเอาเข้ามาฉาย เนื่องจากความโหดและมันจะต้องโดนจำกัด เรตด้วย ฉ.20- แน่นอน แต่ใน ปี 2024 นั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าตกใจเป็นอย่างมากที่ เมื่อ TERRIFIER 3 ได้เข้าฉายในประเทศไทย และด้วยการโปรโมทด้วยการแจกถุงกระดาษ ไว้กันอาเจียนระหว่างดู จนทำให้ในรอบ Sneak Preview ที่จัดไปเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม มีผู้คนเข้าไปแห่ไปดูกันมากมาย แม้จะเป็นรอบ 5 ทุ่ม ก็ตาม
เรื่องราวในภาคที่ 3 นี้เป็นเรื่องต่อจากภาคที่สอง หลังจากที่ อาร์ต ออฟ คราวน์ โดนสังหารไปแล้ว โดยฝีมือของ เซียนน่า แต่แล้ว หลังผ่านไป 5 ปี อาร์ต ออฟ คราวน์ ก็กลับออกมาอาละวาด ใหม่อีกครั้ง พร้อมเป้าหมายที่ต้องการเอาร่างของเซียนน่ามาให้ได้
จุดเด่นของ TERRIFIER 3 คือการเพิ่มเนื้อเรื่องให้ดูจริงจังกว่าภาคแรกๆ ที่ไม่มีอะไร นอกจากการ ฆ่ากันเอาฮา และมีความแฟนตาซียิ่งกว่าภาค 2 ในช่วงท้ายของเรื่อง มีการเปลี่ยนจากธีมวันฮาโลวีนมาเป็นวันคริสมาสต์แทน ช่วยเพิ่มความสดใหม่และดูยั่วล้อกับเทศกาลแห่งความสุขเป็นความทุกข์ ที่เพิ่มเข้ามามากที่สุดคงหนีไม่พ้นเรื่องของมุกตลก ที่ใส่จังหวะมาได้ฮายิ่งกว่าเดิม โดยเฉพาะในจังหวะที่ อาร์ต ออฟ คราวน์ ตอบสนองกับการกระทำของตัวละครในเรื่อง และความทีเล่นทีจริงของเค้า เคยมีคนเปรียบตัวละครนี้ไว้ว่า อาร์ต ออฟ คราวน์ ไม่ต่างไปจาก มิสเตอร์บีน เวอร์ชั่น ฆาตกร เลย
ในภาคนี้เองดูเหมือนว่า ฉาก gore (เลือดสาด) ในภาคนี้อาจจะดูลดลงมานิดหน่อยจาก 2 ภาคที่ผ่านมา แต่ถึงแม้จะบอกว่าฉาก gore อาจจะดูน้อยลงมาหน่อย แต่ก็สามารถรังสรรค์ออกมาได้เต็มอิ่มเหมือนเคย ด้วยการใช้ Practical effect แบบหนังสมัยก่อน มีทั้งความสมจริงในระดับหนึ่ง แต่กลับรู้สึกว่าดู โอเวอร์จนตลกไปเลย ทำให้อยู่ในจุดที่ทำให้เรารู้สึก Disturbing (รบกวนจิตใจ) แต่ก็ดันตลกไปพร้อมๆกัน เรียกได้ว่าเป็น เสน่ห์ เฉพาะตัวของเรื่องนี้ที่ยากที่จะก็อป และด้วยความที่ภาคนี้เป็นครั้งแรกที่ผมได้ดูในโรงจริงๆ ทำให้ได้พบว่า หนังเรื่องนี้สร้างเสียง สับเนื้อ ออกมาได้เห็นภาพมากแม้ไม่เห็นภาพด้วยซ้ำ กลายเป็นว่าเสียงเองก็เป็นจุดเด่นอีกอย่างของเรื่องนี้เช่นกัน
สำหรับข้อเสียของหนังเรื่องนี้ก็คงไม่พ้น ในช่วงจังหวะของการเล่าเนื้อเรื่องมันออกจะน่าเบื่อไปหน่อย เนื่องจากชุดเหตุการณ์ที่ดูไม่ค่อยมีการเดินหน้าของเนื้อเรื่องซักเท่าไหร่ในบางช่วง ทำให้คนดูอาจรู้สึกว่ามันดูวนอยู่ในอ่างไปหน่อย ซึ่งก็เป็นแบบนี้เกือบมาตลอดทุกภาค แม้ภาคนี้จะทำในส่วนนี้ออกมาได้สนุกกว่าภาคก่อนมากๆ แต่ในจุดที่น่าเบื่อนั้นก็ยังคงมีอยู่บ้าง (ในโรงที่ผมดูมีคนหลับ)
ในยุคที่มีแต่หนังที่ใช้ CG เกือบจะทุกอย่างของเรื่อง แต่หนังเรื่องนี้ได้แสดงให้เห็นถึงเสน่ห์ ของ Practical effect ที่ทั้งลำบาก และ เสียเวลากว่า แต่มีข้อดี อย่างหนึ่งที่ CG ไม่อาจสู้ได้ คือเมื่อเวลาผ่านไป CG เหล่านั้นอาจจะทำให้ภาพดูลอยและดูตลกขึ้นมา แต่ Practical effect นั้นไม่เคยดูเก่าเลย เพราะมันจับต้องได้จริง ในท้ายที่สุดนี้ผมคิดว่า TERRIFIER จะกลายเป็นหนังสยองขวัญในตำนานอีกเรื่องอย่างไม่ต้องสงสัย