"...การปฏิบัติหรือละเลยการปฏิบัติหน้าที่ของ สส. สว. และ ครม. โดยไม่เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้อย่างครบถ้วน ทำให้แสดงถึงความไม่ซื่อตรงในการปฏิบัติหน้าที่ ย่อมเชื่อมโยงไปถึงประเด็นความซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งกำหนดไว้ทั้งในรัฐธรรมนูญและในมาตรฐานทางจริยธรรมที่ใช้บังคับกับ สส. สว. และ ครม.และยังเป็นประเด็นที่จะนำไปสู่การสิ้นสุดลงของการดำรงตำแหน่งอีกด้วย..."
ช่วงนี้ สส. สว. และ ครม.ควรจะพกพามาตรฐานจริยธรรมเล่มเล็กติดตัวไว้ตลอดเวลา โดยสามารถหยิบฉวยออกมาเปิดอ่านได้ทันทีว่าอะไรทำได้หรืออะไรทำไม่ได้ ถ้าจะเดินเสียงดัง พูดไม่เพราะ หรือกินข้าวไม่ปิดปาก แล้วสงสัยว่าทำได้มั้ยก็สะดวกที่จะควักออกมาดูได้เดี๋ยวนั้นว่าผิดจริยธรรมหมวดไหนข้อไหนหรือไม่ แต่ที่จะพูดต่อไปนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเล็กน้อย แต่เป็นเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ของ สส. และ สว.ในการประชุมรัฐสภาเพื่อรับฟังคำแถลงนโยบายของ ครม.
ครม.นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2567 ที่ผ่านมานี้ ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญในการเข้าบริหารราชการแผ่นดิน ที่จะไม่แถลงหรือแถลงไม่ครบถ้วนไม่ได้ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 162 มีประเด็นที่ถูกกล่าวถึงว่าคำแถลงนโยบายขาดสาระสำคัญที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าต้องมี คือการชี้แจงแหล่งที่มาของรายได้ที่จะนำมาใช้จ่ายในการดำเนินนโยบาย ซึ่งรัฐธรรมนูญกำหนดไว้เป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจนโดยไม่ต้องตีความ โดยประชาชนทั่วไปไม่ว่าเป็นใครที่อ่านออกเขียนได้ก็ต้องรู้ว่ารัฐธรรมนูญกำหนดให้ต้องชี้แจง
โดยเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรงคือ ครม.ในฐานะผู้แถลงนโยบาย และ สส. สว. ในฐานะสมาชิกรัฐสภาผู้แทนของปวงชนชาวไทยที่เป็นผู้รับฟังคำแถลงนโยบาย ซึ่งจะได้รับเล่มคำแถลงนโยบายเพื่อนำไปอ่านก่อนถึงวันประชุมรัฐสภา สส.และ สว. จึงมีหน้าที่จะต้องดูว่านโยบายของ ครม.มีทิศทางในการบริหารประเทศอย่างไร และที่สำคัญจะต้องรู้ว่า ครม.จะนำเอาเงินภาษีของพี่น้องประชาชนทั้งประเทศไปใช้ในเรื่องอะไรบ้าง แต่ละเรื่องจะใช้เงินเป็นจำนวนเท่าใด มีการกระจายการใช้เงินงบประมาณได้ทั่วถึงและเป็นธรรมกับประชาชนแต่ละกลุ่มอย่างไร
หากได้อ่านครบทุกหน้าก็จะเห็นว่า คำแถลงนโยบายของ ครม.ที่มีความยาวมากถึง 75 หน้า (รวมภาคผนวก) ไม่ได้ชี้แจงแหล่งที่มาของรายได้ที่จะนำมาใช้จ่ายในการดำเนินนโยบายไว้แม้แต่เพียงเล็กน้อย โดยเฉพาะนโยบายระยะเร่งด่วน 10 นโยบาย ในส่วนของนโยบายที่ 5 รัฐบาลจะเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยจะผลักดันโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งจะเป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัล โดยเป็นนโยบายเดียวกับนโยบายเติมเงิน10,000 บาท ผ่านกระเป๋าเงินดิจิตอล ให้กับประชาชนประมาณ 50 ล้านคน ของ ครม.นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนก่อน ซึ่งมาจากพรรคเพื่อไทยเช่นเดียวกับนางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นนโยบายที่สามารถคำนวณกรอบวงเงินที่จะใช้ดำเนินนโยบายได้ทันทีว่าเป็นวงเงินที่สูงประมาณ 5 แสนล้านบาท หรือต่ำกว่านั้นบ้างเล็กน้อยหากมีการปรับลด ซึ่งตามรัฐธรรมนูญ ครม.ต้องชี้แจงว่าจะนำเงิน 5 แสนล้านบาทนี้มาจากแหล่งรายได้ใด เป็นเงินงบประมาณหรือเงินนอกงบประมาณเป็นจำนวนเท่าใด และเป็นสัดส่วนอย่างไร รวมถึงต้องชี้แจงในทุก ๆ นโยบายด้วย
ภาพจาก https://www.nationtv.tv/
สส. และ สว.ควรจะเห็นถึงความไม่ปกติของคำแถลงนโยบายของ ครม.ว่า ในเรื่องที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้เพียง “ต้องสอดคล้อง” ครม.กลับได้อธิบายรายละเอียดมีความยาวมากถึง 59 หน้า แต่ในเรื่องที่ “ต้องชี้แจง” กลับไม่ได้ระบุไว้เลย ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ครม.จะกระทำตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเฉพาะเพียงเท่าที่ต้องการจะกระทำเท่านั้น แต่ในเรื่องที่ไม่ต้องการกระทำแม้รัฐธรรมนูญจะบัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษรให้ต้องกระทำก็จะไม่กระทำ ซึ่งก็คือการชี้แจงหรือขยายความให้เข้าใจชัดเจนในเรื่องแหล่งที่มาของรายได้ที่จะนำมาใช้จ่ายในการดำเนินนโยบาย แสดงให้เห็นว่า ครม.อาจมีเจตนาทำให้หลักการและคุณค่าทางรัฐธรรมนูญสูญเสียไป โดยไม่ให้ความสำคัญต่อการเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ โดยจะกระทำตามหรือไม่ก็ได้ หรือจะกระทำตามเท่าที่ต้องการเท่านั้น ซึ่งการไม่ชี้แจงแหล่งที่มาของรายได้เคยเกิดปัญหาให้เห็นเป็นตัวอย่างมาแล้วในรัฐบาลนายเศรษฐา ที่ใช้เวลาถึง 1 ปี ก็ยังไม่สามารถหาเงินมาดำเนินนโยบายแจกเงิน 1 หมื่นบาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ตได้
หาก สส. และ สว. ได้ทำหน้าที่อย่างจริงจัง จะเห็นถึงคำแถลงนโยบายของ ครม.ว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 162 วรรคหนึ่ง และเป็นเรื่องที่มีความสำคัญซึ่งจะต้องปฏิบัติตามลายลักษณ์อักษรของรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด หากไม่ทำหรือทำไม่ครบถ้วนจะผิดต่อเงื่อนไขการเข้าบริหารประเทศ เมื่อถึงวันประชุมรัฐสภาเพื่อรับฟังการแถลงนโยบายของ ครม. ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะเริ่มอ่านคำแถลงนโยบาย สมาชิกรัฐสภาควรจะให้ตัวแทนคนใดคนหนึ่งขออนุญาตประธานที่ประชุมเพื่อแจ้งต่อที่ประชุมว่าคำแถลงนโยบายของ ครม.ที่ปรากฏอยู่ในเล่มเอกสารที่ได้รับแจกล่วงหน้านั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ และ ครม.ควรจะนำเอาคำแถลงนโยบายที่มีการชี้แจงแหล่งที่มาของรายได้ที่จะนำมาใช้จ่ายในการดำเนินนโยบายโดยครบถ้วนมาแถลงต่อรัฐสภา ซึ่งแน่นอนว่า ครม.จะไม่สามารถทำได้ครบถ้วนในการประชุมวันนั้น จึงจะต้องนัดประชุมเรื่องนี้กันใหม่เพื่อรับฟังการแถลงนโยบายที่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ หากไม่มีการทักท้วงเพื่อให้มีการดำเนินการใหม่ แต่ทำเพียงรับฟังและอภิปรายซักถามเท่านั้น ทั้ง สส. และ สว.ย่อมจะถูกกล่าวหาว่า รู้เห็นเป็นใจกับกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญของ ครม. เนื่องจาก สส.และ สว.ในฐานะสมาชิกรัฐสภามีหน้าที่รับฟังและอภิปรายซักถามจากคำแถลงนโยบายที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญเท่านั้น หากยอมรับต่อคำแถลงนโยบายที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ทั้ง สส.และ สว. ย่อมเป็นผู้ร่วมกระทำการที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญด้วย นอกจากนี้แล้วยังจะถูกกล่าวหาจากประชาชนว่าไม่ดูแลการใช้จ่ายเงินภาษีของประชาชนด้วย
รัฐธรรมนูญ มาตรา 141 บัญญัติว่า สส. และ สว.ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม และมาตรา 164 วรรคสอง บัญญัติว่า รัฐมนตรีต้องรับผิดชอบร่วมกันต่อรัฐสภาในการกำหนดนโยบายและการดำเนินนโยบายของคณะรัฐมนตรี หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ รัฐสภาต้องตรวจสอบดูแลการกำหนดนโยบายและการดำเนินนโยบายของคณะรัฐมนตรี
รัฐสภาจึงเปรียบเสมือนครูประจำชั้นที่มีหน้าที่จะต้องตรวจการบ้านของนักเรียนว่าทำมาถูกต้องและครบทุกข้อมั้ย หากครูประจำชั้นดูแต่เพียงว่านักเรียนมีการบ้านมาส่งครูแล้วเท่านั้น ก็ถือว่านักเรียนคนนั้นได้ทำตามที่ครูสั่งแล้ว โดยไม่ได้ดูว่าการบ้านได้ทำครบทุกข้อหรือไม่ การกระทำของครูประจำชั้นเช่นนี้จะถือว่าละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่และจะเป็นเหตุให้นักเรียนสอบตก อาจมีผู้ปกครองนักเรียนไปฟ้องครูใหญ่ว่าครูประจำชั้นคนนั้นละเลยและไม่ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ ซึ่งครูใหญ่อาจส่งเรื่องให้คณะกรรมการโรงเรียนชี้ขาดว่าครูประจำชั้นทำผิดกฎเกณฑ์ของโรงเรียนและอาจลงโทษไล่ออกครูคนนั้นก็ได้
การปฏิบัติหรือละเลยการปฏิบัติหน้าที่ของ สส. สว. และ ครม. โดยไม่เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้อย่างครบถ้วน ทำให้แสดงถึงความไม่ซื่อตรงในการปฏิบัติหน้าที่ ย่อมเชื่อมโยงไปถึงประเด็นความซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งกำหนดไว้ทั้งในรัฐธรรมนูญและในมาตรฐานทางจริยธรรมที่ใช้บังคับกับ สส. สว. และ ครม.และยังเป็นประเด็นที่จะนำไปสู่การสิ้นสุดลงของการดำรงตำแหน่งอีกด้วย
สส. สว. และ ครม. จึงควรมีมาตรฐานทางจริยธรรมฉบับพกพาติดกระเป๋าไว้ทุกคน