ในช่วงสงครามเวียดนาม กองทัพอเมริกันได้สร้างสถานีสื่อสารขนาดใหญ่ ณ ค่ายรามสูร ว่ากันว่ามันเป็นสถานที่ทดลองการเดินทางด้วยความเร็วเหนือแสง ในชื่อโปรเจ็คต์ Taklee Genesis(ตาคลี เจเนซิส)
ดูหมือนว่า “หนังไซไฟ” จะเป็น หนึ่งในแนวที่ไม่เข้ากับหนังไทยเอาซะเลย เพราะถือเป็นอีกหนึ่งแนวที่ไม่ค่อยจะมีในประเทศไทย แต่ก็ยังพอจะมีผลงานออกมาบ้าง ทั้ง กาเหว่าที่บางเพลง เกี่ยวกับหมู่บ้านบางเพลง ที่เกิดเหตุประหลาด ผู้หญิงท้องทั้งหมู่บ้าน หรือ มันมากับความมืด ว่าด้วย นักวิทยาศาสตร์ และ ลูกศิษย์หนุ่ม ที่เดินทางไปตรวจสอบปรากฏการณ์หินอุกกาบาตตกลงมาที่หมู่บ้านคนน้ำ แต่พวกเขากลับพบว่าหมู่บ้านคนน้ำได้กลายเป็นหมู่บ้านร้างไปภายในชั่วข้ามคืน เหลือเพียงเศษโครงกระดูกของชาวบ้านเท่านั้น
แต่กลับดูเหมือนปัจจุบัน หนังไซไฟ กลับกลายเป็นว่าผู้ชมไม่เชื่อมั่นในฝีมือคนไทย ในการทำหนังแนวนี้ไปแล้ว ใครที่คิดจะทำหนังแนวนี้มักจะโดนดูถูกไว้ก่อนว่าไม่น่ารอด อาจจะด้วยเหตุผลด้านงบประมาณ ที่มีไม่มากพอ แถมหนังต่างชาติทำ หนังไซไฟ ออกมาได้น่าสนใจกว่าเป็นเท่าตัวอีก แต่ในที่สุด ได้มีการเปิดตัวหนังไซไฟ เรื่องใหม่ของประเทศไทย Taklee Genesis (ตาคลี เจเนซิส) ที่ได้ผู้กำกับอย่าง มะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ผู้กำกับเรื่อง 13 เกมสยอง ร่วมมือกับ เนรมิตรหนังฟิล์ม พร้อมร่วมกันจัดจำหน่ายกับ Warner Bros. ถือว่าเป็นก้าวสำคัญ ในยุคที่คนไทยหมดความศรัทธา กับหนังไซไฟไทย
สเตลล่า ที่ได้รับการติดต่อกลับจากพ่อผู้หายตัวไปเมื่อ 30 ปีก่อน หลังเข้าไปทำภารกิจลับในป่าดอนหาย ป่าต้องห้ามที่ชาวบ้านไม่กล้าย่างกรายเข้าไป เธอได้รับคำแนะนำจาก แม่ที่กำลังป่วยหนัก ให้ปฏิบัติภารกิจผ่านอุปกรณ์ที่ชื่อว่า Taklee Genesis ซึ่งซ่อนอยู่ในป่าดอนหาย และต้องนำไปใช้งานในค่ายรามสูร สถานีเรดาร์เก่าที่สร้างขึ้นในยุคสงครามเวียดนาม ถึงจะสามารถพาพ่อกลับมาในโลกปัจจุบันได้ แต่การพาพ่อของเธอกลับมาอาจทำให้เกิดเหตุพลิกโฉมหน้าจักรวาลไปตลอดกาล
ข้อดีของหนังเรื่องนี้ คงหนีไม่พ้นงานโพรดักชัน ที่เรียกได้ว่าระดับเดียวกับหนังต่างประเทศเลย งาน CG ดูเนียนตากว่ามาตรฐานหนังไทยปกติ อาจมีบางฉากดูลอยบ้าง แต่กลับกลายเป็นว่างานฉากบางอย่าง ไร้การเอาใจใส่เกินไปหน่อย เช่น ฉากที่ตัวละย้อนเวลากลับไปหมู่บ้านอารยธรรมโบราณ แต่ พร็อพ ฉาก คอสตูม ที่ดูไม่สมจริงจนดูตลก หรือฉากใน อนาคต ที่อยู่แค่ในโกดังร้างแห่งหนึ่ง กับวัยรุ่นทำสีผมทรงผมแปลกๆ ส่วนงานเสียงเองก็ถูกออกแบบมาละเอียดมาก โครงเรื่องเองก็ถือว่าน่าสนใจในระดับหนึ่ง ด้วยการเชื่อมโยงเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์มารวมกัน ใครที่ดูหนังไซไฟมาเยอะๆ อาจจะไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรใหม่ แต่ก็ถือว่าไม่ได้แย่จนน่าเกลียด ถือว่าเป็นก้าวที่ดีในการทำหนังสร้างสรรค์ และ แปลกประหลาดของไทย เรียกได้ว่าความเป็นหนังไซไฟสอบผ่านเลย
สำหรับข้อเสียหลัก ที่ผมไม่ชอบเป็นหลักของเรื่อง คงไม่พ้น การวางบทตัวละคร เนื้อเรื่อง และการแสดง ว่ากันตามตรง หนังเรื่องนี้ใช้เวลามากเกินไปหน่อย กลายเป็นว่าหนังเกิดความน่าเบื่อ จนถึงขนาดว่าอาจทำให้ง่วงได้ สิ่งที่น่าประหลาดยิ่งกว่าคือ ทั้งที่หนังมีเวลามากถึง 147 นาที แต่กลับไม่สามารถทำให้คนดูเข้าใจความรู้สึกและแรงจูงใจ ของตัวละครตัวเอก อย่าง สเตลล่า ได้เท่าที่ควร ทำให้คนดูเกิดการตั้งคำถามว่า เพราะอะไร สเตลล่า ถึงควรเป็นตัวเอก ทั้งที่ตัวละคร รอบข้างน่าสนใจกว่าแท้ๆ ผมเข้าใจในแง่ที่ว่า เพราะสเตลล่าเป็นคนที่อยู่ระหว่างกลางของความเชื่อและวิทยาศาสตร์ แต่ดันใช้เวลาเล่าบุคลิกตัวละครน้อยเกินไป เลยทำให้เรารู้จักแต่เพียงจุดหมายของตัวละคร แต่ไม่เข้าใจนิสัยของตัวละครได้เลย บวกกับบทพูดในหลายๆครั้ง ดูไม่ธรรมชาติพอสมควร
ที่น่าประหลาดใจ คือการแสดงที่ดีที่สุดผมขอยกให้ นีน่า-ณัฐชา ในบท ลูกสาวของ สเตลล่า ที่แสดงซีนดราม่า และหวาดกลัวออกมาได้ดีมากๆ ผิดกับนักแสดงหลายๆคนในเรื่อง ที่แสดงออกมาดูแล้วตลกและแข็งมาก ในหลายๆฉาก แม้ว่าหนังเรื่องนี้จะดูมีการใช้ CG เยอะ แต่ตัวหนังดันเลือกที่จะใช้อะไรบางอย่างที่สามารถเข้าใจได้ว่าเป็นการลดต้นทุน มาไล่ล่าตัวละครเอกแทนที่จะเป็นสัตว์ประหลาดที่อุตส่าห์ออกแบบมาอย่างดี สำหรับผมคิดว่าถ้าจะดูให้สนุก คงต้องโยนเหตุผลในเรื่องออกทุกอย่าง อาจจะทำให้สนุกมากกว่านี้ เพราะหนังค่อนข้างไร้เหตุและผลในการเกิดขึ้นหลายๆอย่าง จนรู้สึกว่าในบางฉากที่ใส่ ยัดเข้ามาเพราะอยากให้มีแค่นั้นเอง หนังเรื่องนี้มีความพยายามจะใส่ดราม่าเข้ามาให้ผู้ชมได้รู้สึกเสียน้ำตา แต่ด้วยเรื่องราวที่เยอะเกินไป จนกระจัดกระจายหลายเรื่องมาก ทำให้พอจะวกกลับมาดราม่า กลับเกิดอาการไม่อิน ไม่แคร์ จนถึงขั้นน่ารำคาญเลยทีเดียว
ถึงผมจะเขียนข้อเสียเยอะกว่าข้อดี แต่ Taklee Genesis ไม่ใช่หนังที่แย่ไปซะทีเดียว แต่มันแค่เป็นหนังที่น่าเบื่อไปหน่อย เพราะอย่างน้อยมันก็มีเรื่องราวที่อยากจะเล่า และน่าคิดบ้าง กับ การก้าวไปข้างหน้าโดยไม่ลืมอดีตว่าเราเคยผ่านอะไรมาบ้าง บวกกับคุณภาพงานโพรดักชั่น ที่ออกมาระดับสากลได้เลย สุดท้ายผมขอเอาใจช่วยให้หนังเรื่องนี้ทำกำไรได้เยอะๆ เพราะไม่ใช่ง่ายๆที่จะมีหนังไทยได้ลงโรง IMAX แถมจะได้มีหนังแนวๆนี้ออกมาอีกบ้าง แน่นอนว่ามันเป็นหนังที่มันมีแผลบ้าง แต่ต้องยอมรับว่าเค้ากล้าที่จะทำขนาดนี้ก็ดีแล้วละครับ สุดท้ายแล้วหนังจะสนุกหรือไม่อยู่ที่แต่ละคนที่จะคิดครับ
*ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เพจเฟซบุ๊ค เนรมิตรหนัง ฟิล์ม