"...โลกทุนนิยมมันต้องให้คนหลงใหลสิ่งของ ทำให้คนตื่นเต้าเร้าใจเหมือนดูหนังฮอลลีวู๊ดที่มันมีไคลแม็กซ์ แล้วยังมีแอนตี้ไคลแม็กซ์ซ้อนกันอีก!! เดี๋ยวนี้โครงสร้างอุตสาหกรรมของโลกไปสู่ยุคข้อมูลข่าวสารแล้ว คนเคยตื่นเต้นเร้าใจกับวัตถุ ตอนนี้เขากำลังหันมาตื่นเต้นกับข้อมูลข่าวสาร..."
“นี่เป็นโครงการลำดับที่ 9999 ของผม ดังที่ผมได้ฉายภาพวิสัยทัศน์ให้ท่านฟังไปแล้วในโครงการที่ 9997 และ 9998 ตามลำดับ ระบบทุนนิยมหัวใจอยู่ที่ “เงิน” มันเป็นยาแก้ปัญหาทุกอย่าง ท่านช่วยกันเอาเงิน 0.000005% ของแต่ละคนออกมากองเป็นกองโต ๆ แล้วเอาพัดลมที่มีใบพัดขนาดเท่ากับบ้านทรงไทยเป่าด้วยความเร็วแรงสูง แค่กลิ่นเงินฟุ้งกระจายออกไป ชาวบ้านก็ตื่นตระหนกแล้ว!!” ประธานฮั้วแห่งชาติ (the state manager) กล่าว
ข้างผู้ฟังเป็นประธานบริษัทขนาดยักษ์ (corporate managers) ที่ผูกขาดสัมปทานกิจการแต่ละสาขาภายในประเทศ ฟังวิสัยทัศน์ประธานฮั้วแล้วหัวร่อกันคิกๆๆๆ “เออช่างเป็นผู้นำที่สายตายาวจริง ๆ” เหนืออื่นใดประธานนี่แหละคือผู้ดูแลผลประโยชน์ของพวกเรา เขาเป็น caretaker ตัวจริง เขากลับมาอีกครั้ง เราไม่ต้องเป็นแข่งเป็นแข่งตายกัน!!
ท่านประธานแจกแจงงาน “ส่วนนโยบายของรัฐรายด้านที่แต่ละคนดูแล ผมจะไม่แตะ ไฟฟ้าคุณสาก็ดูแลไปตามเดิม ส่วนน้ำเมาก็เสี่ย จ. ส่วนเสี่ย...ก็ดูแล...ฯลฯ”
“ส่วนที่ยังเหลือผมขอแจกแจง ดังนี้...”
“พื้นฐานของการปกครองรัฐ คือ ข่าวดี (good news)” ทำยังไงให้มันมีข่าวดีอยู่ตลอด อันนี้เป็นการบ้านที่ผมฝากไว้ แล้วต้องเรียนรู้จากความล้มเหลวของรัฐทหาร (military coup) ที่ผ่านมาพวกเขายังไม่ครบเครื่อง ไม่รู้จักใช้อำนาจให้เป็นประโยชน์ อำนาจมีสองด้านนะท่านรู้ไหม ด้านหนึ่งเป็นการบังคับ (coercive) ด้านหนึ่งเป็นความยินยอม (consent) การทำให้รัฐมีแต่อำนาจบังคับโดยไม่รู้จักทำให้เขายินยอมนะไปไม่รอด เราต้องรู้จักกุมความคิดเขา การปกครองอะไรมันไม่สำคัญเท่ากับการคุมความคิดคนหรอก” ประธานฮั้วชักออกไปทางทฤษฎี “ผมอยากสรุปว่าอำนาจที่ครบเครื่องนี้ภาษาฝรั่งเขาเรียกว่า “integral state” ประธานสรุป “ส่วนทหารน่ะไม่รู้เรื่องหรอก เขาอยู่ในโลกของการบังคับบัญชาและการ สั่งการ (command and control model)” “ผมไม่แน่ใจว่าเขาเข้าใจหรือเปล่าว่า “นาฬิกา” น่ะ ไม่ว่าเรือนเพื่อนหรือเรือนไหน มันเดินไปข้างหน้า!!!” ประธานพูด ไม่รู้เหน็บหรือว่าไม่รู้จริง ๆ
“โลกทุนนิยมมันต้องให้คนหลงใหลสิ่งของ ทำให้คนตื่นเต้าเร้าใจเหมือนดูหนังฮอลลีวู๊ดที่มันมีไคลแม็กซ์ แล้วยังมีแอนตี้ไคลแม็กซ์ซ้อนกันอีก!! เดี๋ยวนี้โครงสร้างอุตสาหกรรมของโลกไปสู่ยุคข้อมูลข่าวสารแล้ว คนเคยตื่นเต้นเร้าใจกับวัตถุ ตอนนี้เขากำลังหันมาตื่นเต้นกับข้อมูลข่าวสาร พวกคุณต้องรู้จักการส่งเสริมความคลั่งไคล้ข้อมูลข่าวสาร (informational fetish) ผู้สื่อข่าวนั่นแหละตัวดี เขาคือ คนกลาง เป็นทั้งพันธมิตรและ “เหยื่อ” ของเรา ตอนนี้เกิดชุมชนดิจิทัล คนเข้าถึงสื่อกันง่ายดาย มีหลายช่องทาง ผู้สื่อข่าวเขา “หิว” ข่าว ขณะที่คนอยาก “เสพ” ดังนั้น หัวใจของการสื่อสารทางการเมืองยุคนี้ คือ ทำให้นักข่าวเห็นว่าเรากำลังชนะ แล้วเดี๋ยวเราก็จะชนะเอง พวกนั้นไม่ได้มองผ่านเลนส์ทางทฤษฎีอะไร (theoretical lens) วัน ๆ ก็วิเคราะห์แต่ว่าใครจะชนะ ถ้าเขาบอกว่าเราชนะ มันก็กระพือข่าวออกไป”... “แต่อย่าลืมน่ะ ผู้สื่อข่าวเขาก็กินข้าวเหมือนเรา...โฆษณาน่ะ!!!” ผู้นำสำทับเหมือนนั่งในใจนักข่าว
“อ้าวมีอะไรถามผมไหม” “โครงการนี้ทำได้ไหมครับ” เถ้าแก่สัมปทานคนหนึ่งถาม แล้ว “โครงการนี้ละครับ” อีกคนถาม
“ไม่มีปัญหา เขามาติดต่อผมแล้ว มีทั้งต่างชาติ ทั้งคนในประเทศ คนหนึ่งบอกจะสร้างทางขาไปขาเดียว ส่วนอีกคนหนึ่งบอกจะสร้างทางขากลับ!! เห็นไหม ผมจับมาต่อกัน เราก็ได้โครงการหลายแสนล้าน เป็นประโยชน์ต่อประเทศมหาศาล ต่อไปจะขนของลงทะเลผ่านเส้นทางนี้ ไปค้าขายเมืองจีน เมืองต่าง ๆ ของโลก ท่านลองคิดดูเงินจะไหลเข้าประเทศขนาดไหน ตอนนี้คนจีนล้นเมือง เขามาอยู่เมืองไทยเยอะแยะ ลงทุนฝังตัวเรียนภาษาไทย เพื่อหวังทำการค้าตามเส้นทางรถไฟของพวกเขา เราก็ได้สอนทั้งภาษาไทย ความรู้ วัฒนธรรม เงินทองที่เขานำเข้ามา เงินทองหาไม่ยาก เห็นไหม ผมบอกแล้ว!!... แค่เอาถนนขาไปกับขากลับมารวมกันก็ได้ถนนหนึ่งเส้น ได้สะพาน ได้รถไฟ ได้การขนส่ง...ฯลฯ”
“ส่วนไอ้ที่ถามเรื่องกาสิโน ก็เหมือนกัน เราจะไปออกข่าวว่าเราจะสร้างกาสิโนทำไม ก็เปลี่ยนเป็นศูนย์การค้า ศูนย์นันทนาการ การพักผ่อนสิ ออกกำลังกายก็ได้ สนามฟุตบอล สนามกีฬา ส่วนกาสิโนก็ต้องมี แต่ต้องควบคุม ไม่ต้องห่วงเรื่องการควบคุม เราบังคับไม่ให้คนไทยเข้าไปเล่นอยู่แล้ว ถ้าจะเข้าต้องมีประวัติและมีเงินประกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยมีประวัติดีมากเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย ผมอยู่เมืองนอกได้ยินคนต่างชาติชมตลอด เข้มแข็งมาก ไม่เคยมีอะไรเสียหาย บังคับใช้กฎหมาย เดินตัวตรงเป๊ะ ๆ”
ภาพตัดกลับมา จากปาฐกถาประธานฮั้วเปลี่ยนมาเป็นประธานคณะกรรมการองค์การเมืองแห่งชาติ คนเดียวกันเปลี่ยนบทจากผู้มีอำนาจทางเศรษฐกิจเป็นผู้นำทางการเมืองที่สื่อขนานนามว่า “mastermind” ของการเมืองไทย
“ความจริงผมไม่ชอบที่จะเป็น “mastermind” น่ะ ผมถนัดแสดงออกนอกหน้าสาธารณะมากกว่า ใครไม่รู้เรียกผมผิด ๆ ผมชอบเผชิญหน้า ใครอยากร้อง ผมก็อยากให้ร้องดัง ๆ” ประธานเกริ่นนำการประชุม “การเมืองไทยที่ไม่เจริญอย่างทุกวันนี้ เป็นเพราะมีฝ่ายค้านไม่สร้างสรรค์ พวกคุณดูสิงคโปร์ ดูจีนสิ เขาเจริญมาเพราะฝ่ายค้านอ่อนแอทั้งนั้นแหละ โจทย์ของการประชุมวันนี้มีข้อเดียว ทำยังไงให้รัฐบาลเข้มแข็ง แล้วก็ฝ่ายค้านอ่อนแอ”
“ถ้าหากเรากินรวบได้ ประเทศก็เจริญ เพราะสามารถผลักดันนโยบายอะไรก็ได้ แล้วก็ตำแหน่งแห่งที่ที่พวกเราดำรงอยู่มันก็จะเป็นกิจอันนิจนิรันดร์กาล”
“การเป็นพรรคอันดับหนึ่งเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่การที่พวกเราจะมาอยู่ในบล็อกทางประวัติศาสตร์ (historical bloc) อันเดียวกันนี้สำคัญกว่า เพราะถ้าเราเป็นบล็อกเดียวกัน วิธีคิดของพวกเราก็จะออกเป็นบล็อกเดียวกัน อันนั้นคืออะไรล่ะ? มันก็คือความเป็นเอกภาพทางการเมืองและนโยบายยังไง?? และเมื่อมันเกิดบล็อกเดียวกันการเปลี่ยนแปลงอะไรก็ง่าย ๆ ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังแบบทหาร การเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองตามแนวทางของผมไม่ได้เสียเลือดเสียเนื้อ (bloodless revolution) แค่ทำโดยการฮั้ว!!!! ผมจึงอยากฟังเสียงของพวกคุณ”
“ก็ฝ่ายนั้นเขาติดต่อเรามาก่อนแล้วนี่ครับ” กรรมการองค์การเมืองคนหนึ่งบอก “แต่เขามีข้อแม้ว่าต้องให้เราส่งเทียบไปเชิญ แล้วเขาก็จะพิจารณาในที่ประชุมตามขั้นตอน เพราะกลุ่มเขาเป็นไม้บรรทัดที่เป็นเส้นตรงมาก”
“555555” ผู้เป็นองค์ประธานที่ประชุมหัวเราะร่วน “ไม้บรรทัดเป็นเส้นตรงก็จริง แต่ระหว่างบรรทัดมันมีช่องว่างอยู่ไม่ใช่หรือ ครูเขาถึงสอนให้คิดระหว่างบรรทัดยังไง ข้อความระหว่างบรรทัดมีอะไรให้คิดตลอด”
“คุณก็เสนอเทียบเชิญไป แล้วก็คิดแก๊กให้พวกนั้นพูด อย่าลืมเตรียมสคริปต์ไปด้วย เผื่อเขาพูดเองไม่ได้ ก็บอกไปสิว่า “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” แต่ตกลงกันก่อนนะว่าจะให้ตำแหน่งอะไร เพราะเดี๋ยวมัน..ฟ.กัน!!!...ดูหน้าตาแต่ละคนสิ ผมรู้ดีพวกนี้มันหิว...”
เวลาผ่านไปสิบวินาที เสียงกรรมการมารายงาน “เรียบร้อยครับท่านประธาน”
เออ ทุกอย่างเป็นไปตามแผน “ถ้าอย่างนั้นผมปิดประชุม...!!!!”