"...ในการพูดถึงการแก้ไขมาตรา 112 เป็นสิ่งดีถูกบรรจุไว้ในนโยบายพรรค และในช่วงการดีเบตหาเสียง ทุกพรรคล้วนพูดกันทั้งนั้น นายพิธา กล่าวว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีเขตอำนาจในการพิจารณาเรื่องนี้ เพราะอำนาจเฉพาะของศาลรัฐธรรมนูญ มีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยเกี่ยวกับกฎหมาย และร่างกฎหมาย หน้าที่และอำนาจของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภาและองค์กรอิสระ รวมถึงหน้าที่และอำนาจอื่นที่บรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งตนและทีมงานศึกษา ไม่มีอำนาจข้อไหนที่มีการพิจารณายุบพรรคการเมือง ส่วนใน พ.ร.ป. ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ระบุไว้ชัดเจนว่าเป็นวิธีการ ไม่ใช่บ่อเกิดอำนาจ เป็นคนละเรื่องกัน..."
หมายเหตุ สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) : เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.2567 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส. บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกลแถลงข้อต่อสู้คดียุบพรรคก้าวไกล แถลงข้อต่อสู้คดียุบพรรคก้าวไกล 9 ข้อ ระบุศาลรัฐธรรมนูญ ไม่มีอำนาจพิจารณาคดีกระบวนการของ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ให้โอกาสรับทราบข้อโต้แย้ง พร้อมปฏิเสธข้อกล่าวหาเป็นปฏิปักษ์
**********
พรรคก้าวไกล มี 9 ข้อต่อสู้ แบ่งเป็นสัดส่วน คือ ขบวนการ ข้อเท็จจริง และสัดส่วนโทษ ซึ่งการแถลงวันนี้จะเน้นข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายในคดี ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่เป็นข้อกังวลของศาลรัฐธรรมนูญ
1.ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีเขตอำนาจพิจารณาวินิจฉัยคดี
2.กระบวนการยื่นคำร้อง กกต.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
3.คำวินิจฉัยของคดีเมื่อ 31 ม.ค.67 ไม่ผูกพันต่อคดีนี้
4.การกระทำที่ถูกกล่าวหาไม่เป็นการล้มล้าง ไม่อาจเป็นปฏิปักษ์
5.การกระทำตามคำวินิจฉัย เมื่อ 31 ม.ค.67 ไม่ได้เป็นมติของพรรค
6.โทษยุบพรรคต้องเป็นมาตรการสุดท้ายเมื่อจำเป็นฉุกเฉิน ฉันพลัน และไม่มีทางอื่นแก้ไขในระบอบประชาธิปไตย
7.ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค
8.จำนวนปีในการตัดสิทธิ์ทางการเมืองต้องได้สัดส่วนกับความผิด
9.การพิจารณาโทษต้องสอดคล้องกับกรรมการบริหารพรรคในช่วงที่ถูกกล่าวหา
ในการพูดถึงการแก้ไขมาตรา 112 เป็นสิ่งดีถูกบรรจุไว้ในนโยบายพรรค และในช่วงการดีเบตหาเสียง ทุกพรรคล้วนพูดกันทั้งนั้น
นอกจากนั้น ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีเขตอำนาจในการพิจารณาเรื่องนี้ เพราะอำนาจเฉพาะของศาลรัฐธรรมนูญ มีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยเกี่ยวกับกฎหมาย และร่างกฎหมาย หน้าที่และอำนาจของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภาและองค์กรอิสระ รวมถึงหน้าที่และอำนาจอื่นที่บรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งตนและทีมงานศึกษา ไม่มีอำนาจข้อไหนที่มีการพิจารณายุบพรรคการเมือง ส่วนใน พ.ร.ป. ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ระบุไว้ชัดเจนว่าเป็นวิธีการ ไม่ใช่บ่อเกิดอำนาจ เป็นคนละเรื่องกัน
ขณะที่กระบวนการ ยื่นคำร้องของ กกต. ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่มีโอกาสให้ผู้ถูกร้อง คือพรรคก้าวไกลได้รับทราบ ไม่มีโอกาสโต้แย้ง หรือแสดงพยานหลักฐานแต่อย่างใด ซึ่งการยื่นคำร้องขัดต่อระเบียบที่ กกต. ตราขึ้นเอง
ในประเด็นนี้ กกต.ได้กำหนดไว้ชัดเจนแล้วว่าการรวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริงเพื่อยื่นยุบพรรคนั้น ต้องเป็นไปตามระเบียบ กกต.ว่าด้วยการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานของนายทะเบียนพรรคการเมือง ซึ่งออกมาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2566
ระเบียบดังกล่าวเขียนไว้ชัดเจนว่า บุคคลและคณะบุคคลที่นายทะเบียนแต่งตั้งต้องให้พรรคการเมืองมีโอกาสรับทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอ และได้โต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานของตนก่อนมีการเสนอรายงานรวบรวมข้อเท็จจริงต่อนายทะเบียนพิจารณา และเมื่อนายทะเบียนพิจารณาข้อเท็จจริงเสร็จแล้ว มีหลักฐานอันสมควรเชื่อได้ว่าพรรคการเมืองใดกระทำการตามมาตรา 92 ก็ให้เสนอ กกต.พิจารณา และในกรณีที่ กกต.เห็นชอบตามความเห็นของนายทะเบียน จึงจะสามารถยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้สั่งยุบพรรคได้
ทั้งหมดนี้เป็นหลักเกณฑ์ที่ กกต.กำหนดเป็นระเบียบออกมาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ซึ่งแตกต่างจากคดียุบพรรคอนาคตใหม่ และ พรรคไทยรักษาชาติ ที่ยังไม่มีระเบียบนี้ออกมา
ทั้งนี้คำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 31 มกราคม ไม่ผูกพันกับคดีพิจารณายุบพรรคก้าวไกล และการพิจารณาโทษควรมี ความเข้มข้นต่างกัน เป็นข้อหาที่ต่างกันอย่างชัดเจน และจำเป็นต้องพิจารณาข้อเท็จจริงคดีนี้ใหม่ทั้งหมด เพราะครั้งก่อนเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2567 คำวินิจฉัยคือนายพิธาและพรรคก้าวไกลใช้สิทธิและเสรีภาพ “เพื่อ” ล้มล้างการปกครอง แต่ ใน พ.ร.ป. พรรคการเมือง ตามมาตรา 92 เป็นการกระทำเลย ไม่มีคำเชื่อม แสดงว่าต้องเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่เผื่อหรือคาดการณ์ในอนาคต แตกต่างกันชัดเจน และในคดีเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2567 ยังไม่มีคำวินิจฉัยว่าเป็นปฏิปักษ์หรือไม่ เพียงคดีก่อนกับคดีนี้เป็นคนละข้อหากันชัดเจน โดยเฉพาะคำวินิจฉัย ว่า หากปล่อยให้ผู้ถูกร้องกระทำการต่อไป หาก คือ “if” คือ ยังไม่เกิดขึ้น หรือ อาจเป็นเหตุให้ถึงหรือเป็นเหตุให้เกิด แปลว่ายังไม่ถึง ยังไม่เกิดขึ้น จึงชัดเจนว่าเป็นเพียงคำตักเตือน
ส่วนที่มองว่า โทษยุบพรรคต้องเป็นมาตรการสุดท้ายนั้น การยุบพรรคสามารถเกิดขึ้นได้แต่ต้องถูกใช้อย่างระมัดระวัง และเป็นมาตรการสุดท้ายเมื่อไม่มีทางเลือกอื่นเท่านั้น ที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลถูกร้องทั้งเรื่อง การบรรจุเรื่องการแก้ไข ม.112 ในนโยบายหาเสียง การแสดงออกความคิดเห็นในพื้นที่สาธารณะ คนของพรรคเป็นนายประกันหรือเป็นผู้ต้องหาในคดี ม. 112 ยึดหลักสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ และ กกต. ก็ยกคำร้อง ของพรรคก้าวไกลมาโดยตลอด และไม่มีความจำเป็นฉุกเฉิน ที่ กกต. ต้องส่งหนังสือเตือน
ส่วนข้อที่เป็นข้อกล่าวหานั้น สภาฯยังสามารถแก้ไขได้เพราะร่างแก้ไขมาตรา 112 ของพรรคก้าวไกลยังไม่ได้เข้าสู่ที่ประชุมสภา และถึงแม้จะสามารถนำเข้าสู่สภา ได้ ก็ยังสามารถยับยั้งได้ด้วยระบบนิติบัญญัติ เป็นความผิดที่เกิดขึ้นแล้ว ขณะเดียวกันศาลรัฐธรรมนูญก็สามารถตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญทั้งก่อนหรือหลังประกาศใช้กฎหมายได้
ขณะที่มั่นใจหรือไม่ว่า 44 สส. ที่ร่วมลงชื่อ จะไม่ถูกพิจารณาตัดสิทธิ์ไปด้วยทั้งหมด นายพิธา ยืนยันมั่นใจในทั้ง 9 ข้อต่อสู้ และเชื่อเจตนา และการกระทำของ สส. แก้กฎหมายในฐานะ สส. ไม่ได้เป็นการล้มล้าง และไม่อาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครอง รวมถึงการเป็นนายประกันเพราะสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ไว้ก่อน การที่มีผู้ต้องหาตามมาตรา 112 เป็นสมาชิกพรรค เป็น สส. ก็ยังไม่สิ้นสุดคดี รวมถึงการแสดงออกแก้ไขที่เกี่ยวกับมาตรา 112 ก็เป็นการกระทำโดยทั่วไป ทั้งนี้การกระทำทั้งหมดที่เป็นรายบุคคลที่ถูกขยุมรวมกันเป็นข้อกล่าวหา ซึ่งไม่ได้เป็นมติพรรค และนิติบุคคล เป็นเรื่องปัจเจกบุคคล หรือมีมติจากกรรมการบริหารพรรค
นายพิธา ยังระบุถึงเรื่องการตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคตามคำร้อง ของ กกต. ว่า ตามคำร้องของ กกต. ตัดสิทธิ์ ทั้ง 3 ชุด ชุดที่หนึ่ง กรรมการบริหารพรรคชุดที่ 1 ชุดที่ 2 คือชุดที่ตัวเองลาออก และชุดที่ 3 คือ ชุดที่เติมสัดส่วนกรรมการบริหารภาคเหนือเข้ามา แต่ตัวเองมองว่าสัดส่วนของโทษควรจะสอดคล้องกับสัดส่วนของเวลา เพราะ กรรมการบริหารพรรคชุดที่ 3 เกิดขึ้นเพียงไม่เกิน 6 เดือนที่ผ่านมา ดังนั้นไม่ควรลากเข้ามา
“มันก็เป็นการยุบ 2 พรรคใน 5 ปี และเป็นการยุบ 5 ครั้งในรอบ 20 ปี ผมไม่กล้าที่จะเดาหรือคิด มันจะเกิดผลกระทบอะไรกับเมืองไทย หรือการเมืองไทย บางทีทั้งเศรษฐกิจการเมืองไทย และสังคมเปราะบางอย่างนี้ ก็ไม่อยากให้ไปถึงจุดนั้น และถ้ามันไม่รุนแรง ร้ายแรงถึงที่สุด ผมคิดว่าที่สุด คือ การเตือนว่าให้หยุดการกระทำ น่าจะเพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องตัดสิทธิ์ทางการเมือง นักการเมืองถึง 44 คน ซึ่งมีเจตนาดี อาจจะไม่สมบูรณ์แบบทุกคน แต่ถือว่าเป็นทรัพยากรทางการเมือง ทำผิดบ้างถูกบ้าง และ ถือเป็นเลือดใหม่ทางการเมือง เพราะทั้งหมดมีประสบการณ์มาไม่ถึง 5 ปี” นายพิธาระบุ
นายพิธา ยังระบุด้วยว่า "ตอนนี้พรรคเดินหน้าเรื่องการต่อสู้คดี แต่ก็ยอมรับมีแผนสำรอง และคิดว่าหากมีการยุบพรรคจริง สส.ทั้งหมดจะไม่แตกแถว เพราะเรามีความเป็นเอกภาพ และมีความเป็นปึกแผ่น และจากประสบการณ์การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา การเป็นงูเห่า คือ การฆ่าตัวตายทางการเมืองแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีโอกาสกลับมา สส. ได้เลย และครั้งนี้ประชาชนร่วมตรวจสอบด้วย ดังนั้นเรื่องนี้ตัวเองจึงไม่ประมาทและไม่กังวล เพราะมีบทเรียนทั้งภายนอกและภายใน"
"ขณะเดียวกันเราต้องรับฟัง แต่ยังไม่เชื่อข้อมูล คลิปวิดีโอที่เข้ามาหาตัวเองต้องมีการพูดคุยและตรวจสอบก่อน เพราะตัวเองไม่ได้ไร้เดียงสาว่ามีพรรคการเมืองพยายามดึง สส. พรรคก้าวไกลไปร่วมเพื่อต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรี เรื่องพวกนี้ตัวเองรู้ทัน แต่ก็ยังมั่นใจในตัว สส. ของพรรคก้าวไกล ไม่ได้หูเบา เห็นแล้วมีอคติ" นายพิธากล่าวทิ้งท้าย
ฟังคำแถลงทั้งหมด ที่นี่ https://www.facebook.com/MoveForwardPartyThailand/videos/455679880526056