"...ปรัชญาหยิน-หยาง ที่อธิบาย ความเป็นคู่ หญิงกับชาย ดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์ ร้อนกับเย็น ดินกับฟ้า น้ำกับไฟ เป็นภูมิปัญญาของความคิดสองด้าน ที่อาจเป็นคู่ตรงกันข้าม หรือคู่ไม่ตรงกันข้าม แต่มีความโยงใยในลักษณะพึ่งพิง อาศัยกันและกัน เป็นคมปัญญาโบราณที่คนจีนพร่ำสอนให้แฝงฝังและสืบทอดกันตลอดมา วาทะของผู้นำจีนจึงมักเอื้อนเอ่ยถึงปัญญาจีนโบราณอย่างภาคภูมิใจไม่เว้นแม้แต่สีจิ้นผิง ในปัจจุบัน..."
“ขี้โรคแห่งเอเซีย”
“หมาและคนจีนห้ามเข้า”
เป็นวาทะปรามาสผู้คนและแผ่นดินจีนที่รับรู้กันไปทั่วโลก
ในยุคปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ต่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 จีนอยู่ในสภาพอ่อนแอสุดๆ ถูกลัทธิอาณานิคมของชาติตะวันตกและญี่ปุ่นรุกรานและยึดครอง จีนแพ้สงครามฝิ่นต่ออังกฤษ 2 ครั้ง ถูกบังคับให้ทำสนธิสัญญานานกิง เสียสิทธิภาพนอกอาณาเขต คนอังกฤษทำผิดไม่ต้องขึ้นศาลจีน พระราชวังฤดูร้อนถูกกองทัพต่างชาติปล้นและเผา ฝรั่งเศส เยอรมัน อังกฤษ รัสเซีย ขยายอิทธิพลบังคับเขตเช่าในจีนหลายเมือง ฮ่องกงถูกอังกฤษบังคับเช่ายาวนาน 99 ปี ต่อมาจีนยังถูกญี่ปุ่นรุกรานและยึดครองหลายเมือง
จีนถูกเรียกว่าเป็น “ขี้โรคแห่งเอเซีย” (Sick Man of Asia) มีป้ายในเขตเช่าเซี่ยงไฮ้ติดไว้ตรงทางผ่านว่า “หมาและคนจีนห้ามเข้า” (No Dogs and Chinese allowed) เป็นประวัติศาสตร์
การดูถูกและหยามหยันที่ชาติตะวันตกกระทำต่อคนจีนที่ประวัติศาสตร์จะต้องจารึกไว้
ในขณะเดียวกันคนจีนถูกมอมเมาด้วยฝิ่น จนร่างกายผอมโซอย่างน่าเวทนา และสำนักราชวงศ์ชิงในเวลานั้น ก็อ่อนแอเหลือกำลัง
ฮั่วหยวนเจี่ย แห่งเมืองเทียนจิน เป็นเกษตรกรเกิดในตระกูลกังฟู ได้ปลุกหัวใจกังฟูให้ลุกโชนขึ้น โดยตั้งสมาคมกังฟู ใช้ชื่อว่าสมาคมจิงอู่ ที่เซี่ยงไฮ้ ในปี 1910 เปิดสอนกังฟูให้แก่คนทั่วไป และรวมใจกันต่อต้านต่างชาติผู้รุกราน และยังเข้าร่วมการปฏิวัติซินไฮ่ กับ ดร.ซุนยัดเซ็น ในเวลานั้น
ฮั่วหยวนเจี่ย กลายเป็นตำนานวีรบุรุษนักสู้ของจีน สะท้อนผ่านภาพยนตร์หลายเรื่อง
ใครดูหนังไอ้หนุ่มซินตึ๊ง เรื่อง “มังกรผงาดฟ้า” (Fist of Fury) เมื่อปี 1971 จะเห็น บรู๊ซ ลี ผู้แสดงเป็นเฉินเจิน ลูกศิษย์ ฮั่วหยวนเจี่ย เขาแบกป้ายแผ่นใหญ่พื้นขาวตัวดำอ่านว่า “ขี้โรคแห่งเอเซีย” บุกเดี่ยวเข้าไปในสำนักบู๊ลิ้ม ญี่ปุ่น มีชายฉกรรจ์มากมายกำลังฝึกฝนการต่อสู้อยู่ เขาบุกเดี่ยวเข้าไป วางป้ายลง ถูกรายล้อมด้วยหนุ่มฉกรรจ์หลายสิบคน เฉินเจินถอดเสื้อคลุมสีขาวออก สูดลมหายใจเต็มปอด กล้ามเนื้ออกเอวบ่าไหล่แขนและกำปั้นปูดโปนพร้อมปะทะ หนุ่มนักสู้ญี่ปุ่นคนแล้วคนเล่าที่เข้ามาล้วนโดนหมัดเท้าและไม้พลองขนาดเล็กสองท่อนของจอมกังฟูเฉินเจินร่วงผล็อยไปหมด ก่อนออกจากสำนักเขาโยนป้ายนั้นขึ้นข้างบนไปข้างหน้า แล้วกระโดดเตะแผ่นป้ายขี้โรคแตกกระจัดกระจาย
เป็นภาพจำ ของคนดูหนังจีนทั่วโลก
บันทึกประวัติศาสตร์ต่อไปนี้ น่าสนใจมาก
ในงานเลี้ยงครั้งหนึ่งที่กรุงปักกิ่งของนายก รมต.โจว เอินไหล ชาวจีนจำนวนหนึ่งมาร่วมงานในฐานะเจ้าบ้าน คณะแขกในงานคือ ชนชั้นสูงที่ส่วนใหญ่เป็นวงศาคณาญาติของเครือราชวงศ์ในแถบประเทศยุโรป
แม้แขกทุกคน มีการศึกษาสูง มีกิริยามารยาทแบบสังคมผู้ดีทั้งนั้น
แต่เบื้องหลังแต่ละคน ซ่อนความหยิ่งยโสไว้เกือบทุกคน อาจเป็นเพราะงานคืนนั้น เป็นงานเลี้ยงส่งคณะผู้มาเยือนเป็นคืนสุดท้าย
แต่ละคนอาจดื่มหนักไปหน่อยเลยพูดจาค่อนข้างเป็นไปตามอำเภอใจ และแล้วก็มีฝรั่งคนหนึ่ง ลุกขึ้นยืน แล้วถามว่า
“ขอทราบเหตุผลหน่อย ทำไมปีนักษัตร ๑๒ ราศีของจีน จึงมีแต่พวกหมู หมา กา ไก่ มาเป็นตัวสัญลักษณ์ ไม่เห็นจะเหมือนของพวกเราเลย ล้วนฟังดูดี มีสกุล เช่น กลุ่มดาวคนยิงธนู กลุ่มดาวสิงโต กลุ่มดาวแมงป่อง ไม่รู้บรรพบุรุษพวกคุณ เอาส่วนไหนของร่างกายมาคิดตั้งราศีแบบบ้านนอกคอกนา พวกนี้ออกมา ?”
พอพูดจบ บรรดาฝรั่งหัวแดงต่างส่งเสียงเฮฮา พร้อมชนแก้วดื่มกันสนั่นหวั่นไหว ความเป็นผู้ดีละลายหายไปในชั่วพริบตา
เมื่อถูกเขาเจริญพรถึงบรรพบุรุษกันขนาดนี้ จะเถียงเขาอย่างไรดี จะทุบโต๊ะแสดงความไม่พอใจก็ย่อมจะทำได้ แต่อาจเพราะยังตั้งหลักไม่ทัน ต่างคนต่างยังเก็บความขุ่นเคืองไว้ในความเงียบงัน
แต่แล้วก็มีชาวจีนคนหนึ่ง ลุกขึ้นยืน แล้วใช้น้ำเสียงอันราบเรียบที่สุภาพพูดขึ้นว่า
“ท่านทั้งหลาย บรรพบุรุษของพวกเรามักยืนอยู่บนฐานแห่งความเป็นจริง ปีราศีของพวกเราจับกันเป็นคู่ๆ หมุนเวียนกันหกรอบ แสดงถึงความหวังและความต้องการของบรรพบุรุษของเราที่มีต่อพวกเราทุกคน”
เสียงฮาเฮเริ่มค่อยๆ เบาบางลง แต่สีหน้าของชาวต่างชาติแทบทุกคนยังคงแฝงไว้ด้วยแววตาที่เย้ยหยัน
“ราศีคู่แรก คือหนูและวัว หนูคือ ตัวแทนของความเฉลียวฉลาด วัวคือ สัญลักษณ์ของความขยัน
หากคนเราฉลาด แต่ขี้เกียจ ก็ไปไม่ได้ไกล
แต่ถ้าขยันแล้ว แต่ไร้หัวคิด ก็กลายเป็นไอ้โง่
สองสิ่งนี้ ต้องบวกกันเป็นหนึ่ง ก็คือคนฉลาดที่ขยัน นั่นคือสิ่งแรกและเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่บรรพบุรุษคาดหวังในตัวพวกเรา”
“คู่ที่สองคือเสือและกระต่าย เสือ มีความกล้าหาญเต็มร้อย กระต่าย มีความระมัดระวังเป็นคุณสมบัติประจำตัว
ความกล้าบวกกับความระมัดระวัง ถึงจะเรียกว่าคนใจถึง แต่รอบคอบ
หากมีแต่ความกล้า มันคือ ความมุทะลุ
หากมีแต่ความระแวดระวังเกินกว่าเหตุ มันคือความขี้ขลาด”
คนจีนผู้นั้น มองกลุ่มฝรั่งนิดนึง แล้วพูดต่อ เพื่อรักษามารยาทอันดีงาม
“บางครั้ง อาจเห็นพวกเรามักนิ่งเงียบ คงจะกำลังครุ่นคิด จงอย่าเข้าใจว่าพวกเราไม่มีความกล้าซ่อนอยู่”
“คู่ที่สามคือมังกรและงู (งูใหญ่และงูเล็กของไทย) มังกรคือความแข็งแกร่ง งูคือ ความพลิ้วไหว ชีวิตที่แข็งทื่อเกินไปอาจต้องเผชิญกับการแตกหัก
‘ยอมหักไม่ยอมงอ’ จึงอาจไม่ใช่สิ่งดีเสมอไป แต่พลิ้วไหวไป ก็ไร้จุดยืน เพราะฉะนั้น ในความแข็งแกร่ง ต้องมีความอ่อนโยนซ่อนอยู่ ผู้ใหญ่ท่านสอนไว้แบบนี้”
“ชุดต่อไปคือ ม้าและแพะ ม้า มุ่งตะลุยไปข้างหน้าอย่างเดียว แพะ คือ สัญลักษณ์ของความอ่อนโยน
หากคนเราเอาแต่ลุยไปข้างหน้า ไม่สนใจสิ่งแวดล้อมรอบข้าง คงต้องกระทบกระทั่งเขาไปทั่ว หนทางสู่จุดหมายปลายทาง คงทุลักทุเลน่าดู
แต่ถ้ามีแต่ความอ่อนโยน ว่านอนสอนง่าย สุดท้ายต้องหลงทางแน่นอน สองสิ่งนี้ ต้องรวมกัน เส้นทางสู่จุดหมายจึงจะราบรื่น”
“คู่ต่อไปคือ ลิงกับไก่ ลิง มีความว่องไว ไก่ ขันตามเวลาทุกเช้า มันคือความแน่นอน ความว่องไว ที่ปราศจากความแน่นอน เขาเรียกว่าความวุ่นวาย
ความแน่นอน แต่เชื่องช้าเกินเหตุ อันนี้ชีวิตอับเฉา ไร้รสชาติ ชีวิตต้องดำเนินไปด้วยความสมดุลของสองสิ่งนี้ แล้วชีวิตจะสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น”
“คู่สุดท้ายคือสุนัขและสุกร สุนัข มีความซื่อสัตย์สูงสุด สุกรว่านอนสอนง่ายที่สุด
คนเรา ถ้าซื่อตรงจนเกินไป ไม่รู้จักผ่อนกฎผ่อนเกณฑ์กันบ้าง จะสร้างศัตรูโดยไม่รู้ตัว หรืออาจเครียดเกินเหตุ
แต่หากหัวอ่อนไป ก็จะไม่มีบรรทัดฐานของตัวเอง ลู่ไปตามลม คงไม่ดีแน่ แต่การรวมกันของสองสิ่งนี้เข้าด้วยกัน ความสมดุลจะเกิดขึ้นภายในจิตใจเรา”
พออธิบายที่มาของสิบสองราศีจนครบถ้วน ชาวจีนผู้นั้นจึงถามชาวยุโรปว่า
“คงต้องขอทราบว่า สิบสองราศีของพวกคุณ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มดาวแมงป่อง คนแบกหม้อ คนยิงธนู มีความหมายต้องการจะสื่ออะไรหรือเปล่า
แล้วที่บรรพบุรุษพวกคุณคัดสรรพวกนี้ออกมา ต้องการหรือคาดหวังอะไรจากพวกคุณบ้าง ช่วยชี้แนะด้วยครับ”
มีแต่ความเงียบ......
ไม่มีคำตอบ ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงหายใจแรงๆ
ชาวจีนที่อาสาเป็นผู้อธิบายถึงความหมายและที่มาของสิบสองราศีคนนั้นคืออดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศจีน ที่ชื่อว่า “โจว เอิน ไหล”
(“ขจรศักดิ์” แปลจาก http//www.winnews.tv/news/21566)
ใครที่ศึกษาเรื่องจีน จะระลึกได้ว่า ผู้นำจีนเกือบทุกคนล้วนรับภูมิปัญญาจีนโบราณ มาปรับใช้และอ้างอิงอยู่เสมอ
จีนเป็นประเทศเก่าแก่ มีอายุมากกว่า 5,000 ปี มีคำโบราณจีนสอนไว้ว่า “ได้ดื่มน้ำแล้วอย่าลืมต้นธาร” นี้เป็นกตัญญุตาธรรมที่แฝงฝังอยู่ในจิตวิญญาณคนจีน เหมาเจ๋อตง ยังสอนไว้ว่าให้ “นำอดีตมารับใช้ปัจจุบัน”
เมื่อ 40 กว่าปีก่อนในยุค “หวาง จาง เจียง เหยา” คือกลุ่ม 4 คน (Gang of Four) เรืองอำนาจ พวกเขาให้จีนยกเลิกวัฒนธรรม ยกเลิกศาสนา ยกเลิกรากเหง้าทั้งหมด แต่แล้วพวกเขาก็ถูกกวาดล้างออกไปทั้งหมด เดี๋ยวนี้จีนฟื้นคืนปรัชญาและภูมิปัญญาโบราณอย่างเอาการเอางาน สถาบันขงจื่อได้รับการส่งเสริมและแพร่ขยายสู่สถาบันการศึกษาในต่างประเทศมากมาย
อีกมุมหนึ่ง คือ ปรัชญาหยิน-หยาง ที่อธิบาย ความเป็นคู่ หญิงกับชาย ดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์ ร้อนกับเย็น ดินกับฟ้า น้ำกับไฟ
เป็นภูมิปัญญาของความคิดสองด้าน ที่อาจเป็นคู่ตรงกันข้าม หรือคู่ไม่ตรงกันข้าม แต่มีความโยงใยในลักษณะพึ่งพิง อาศัยกันและกัน เป็นคมปัญญาโบราณที่คนจีนพร่ำสอนให้แฝงฝังและสืบทอดกันตลอดมา วาทะของผู้นำจีนจึงมักเอื้อนเอ่ยถึงปัญญาจีนโบราณอย่างภาคภูมิใจไม่เว้นแม้แต่สีจิ้นผิง ในปัจจุบัน
เมื่อ 8 มกราคม 1976
หลังจากโจวเอินไหล นายกรัฐมนตรีจีนถึงแก่อสัญกรรม สหประชาชาติแสดงความอาลัยด้วยการลดธงครึ่งเสา หน้าสำนักงานใหญ่ ณ นครนิวยอร์ค
การลดธงครึ่งเสาเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากยิ่ง นับตั้งแต่สหประชาชาติก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ 75 ปีก่อน ประมุขหลายรัฐหลายๆประเทศถึงแก่อสัญกรรม แต่สหประชาชาติไม่เคยลดธงครึ่งเสาให้ใคร ทำให้นักการทูตบางประเทศ ไปรวมกันหน้าตึกสำนักงานใหญ่ แล้วตั้งคำถามทางสำนักงานสหประชาชาติว่า :
“เหตุใด... เมื่อครั้งประมุขแห่งรัฐเราถึงแก่อสัญกรรม ธงสหประชาชาติยังปลิวไสวอยู่บนยอดเสา
แต่... เมื่อนายกรัฐมนตรีจีนถึงแก่อสัญกรรมกลับมีการลดธงครึ่งเสา”
เคิร์ท วัลไฮม์ ...เลขาธิการสหประชาชาติเวลานั้นออกมาแถลงที่หน้าประตูอาคารสหประชาชาติใช้เวลาสั้นไม่ถึง หนึ่งนาทีว่า :
“การที่สหประชาชาติลดธงลงครึ่งเสาเพื่อไว้อาลัยโจวเอินไหลครั้งนี้ เป็นการตัดสินใจของผม เหตุผลคือ.....
ประการแรก...
จีนเป็นอาณาจักรเก่าแก่ ทรัพย์สินเงินทองของอาณาจักรนี้มากมายก่ายกอง เงินหยวนที่คนในชาตินี้ใช้จ่ายกันนั้นมีมากจนสุดคณานับ แต่... โจวเอินไหลกลับไม่มีเงินฝากธนาคารเลยแม้แต่เพียงหยวนเดียว
ประการต่อมา...
จีนมีประชากรกว่า 1000 ล้านคน คิดเป็น 1ใน4 ของประชากรโลก แต่...นายกฯโจวเอินไหล ของพวกเขากลับไม่มีทายาทเลยแม้แต่เพียงคนเดียว
ประมุขแห่งชาติของพวกท่าน... ขอให้ทำได้เพียงข้อใดข้อหนึ่ง เมื่อถึงแก่อสัญกรรม... ทางสำนักงานใหญ่สหประชาชาติก็จะลดธงลงครึ่งเสาเพื่อไว้อาลัยแด่ท่านนั้น”
เมื่อกล่าวจบ... ก็หันหลังเดินจากไป
นักการทูตที่ชุมนุมอยู่ที่ลานทุกคนเงียบกริบไปพักหนึ่ง...
... แล้วเสียงปรบมือก็ดังกึกก้องตามมา
การลดธงครึ่งเสาแสดงความคารวาลัยให้แก่บุคคลสำคัญสะท้อนนัยยะให้แก่ธงแห่งความตายที่มองไม่เห็น (The Invisible Flag of Death) ให้โบกตระหง่านเด่นเป็นสง่า แสดงว่าความตายเป็นพลังอำนาจที่ยังคงอยู่ และความตายเป็นที่หมายซึ่งไม่มีการยกเว้นให้แก่ใครผู้ใด
ประสาร มฤคพิทักษ์ : [email protected]