"...เครื่องดื่มทั้ง 6 ชนิด กำเนิดขึ้นมายาวนานกว่า 10,000 ปี มีอิทธิพลต่อโลก ไม่เพียงแต่รสชาติที่มีอัตลักษณ์ของตนเอง แต่ทำให้ขนบธรรมเนียม และวัฒนธรรมในสังคมแปรผันตามไปด้วย และเชื่อมั่นว่าจะเป็นเครื่องดื่มที่ยังคงอยู่กับพวกเราไปอีกนานแสนนาน..."
สัปดาห์ที่แล้ว ผมได้เขียนถึงความเป็นมาของเบียร์ ไวน์ เหล้า ที่มีอิทธิพลต่อสังคม วัฒนธรรม และความเป็นอยู่ของพวกเรา ในสัปดาห์นี้จะเขียนถึงเครื่องดื่มอีก 3 ชนิด ได้แก่ กาแฟ ชา และโคลา เครื่องดื่มแบบไม่มีแอลกอฮอล์ จากหนังสือ “ประวัติศาสตร์โลกใน 6 แก้ว” (A History of the World in 6 Glasses) เขียนโดยทอม สแตนเดจ (Tom Standage)
การนำเมล็ดกาแฟมาปรุงเป็นเครื่องดื่ม ถูกค้นคิดมาตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 15 โดยชาวเยเมน (Yemen) ตอบโจทย์ชาวมุสลิมในเรื่องเครื่องดื่มที่ถูกหลักศาสนา แต่ในยุคสมัยนั้น กาแฟถือเป็นยาขมสำหรับผู้ครองอำนาจ เนื่องจากร้านกาแฟเป็นแหล่งสนทนาของคนทั่วไป ทั้งในเรื่องปรัชญา ศาสนา และการเมือง จนทำให้ผู้ปกครองเกรงว่าจะเป็นแหล่งชุมนุมของผู้ต่อต้าน นำไปสู่การห้ามค้าและบริโภคกาแฟ แม้กระทั่งชาวยุโรปเองก็ไม่นิยมดื่มกาแฟเพราะไม่อยากจะโอนเอียงไปเข้าข้างชาวอาหรับ แต่เมื่อสมเด็จพระสันตะปาปาเคลเมนต์ที่ 8 ได้ลองลิ้มรสกาแฟ พระองค์พึงพอใจกับรสชาติและความหอมหวานของกาแฟมาก ถึงขั้นอนุญาตให้ชาวคริสต์ดื่มกาแฟได้โดยไม่ผิดกฎมายก่อนจะสิ้นพระชนม์ในปี 1605 [1]
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 วิชาวิทยาศาสตร์ และดาราศาสตร์เริ่มเป็นที่เฟื่องฟู ทำให้เกิดกระแสความสว่างไสวทางปัญญา (Enlightenment) เพราะมีความเชื่อว่า กาแฟจะช่วยเสริมสร้างความเฉียบแหลมและความกระจ่างทางปัญญา กาแฟจึงกลายเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของนักวิทยาศาสตร์ ปัญญาชน พ่อค้า และเสมียน ในขณะที่ช่วงเวลาดังกล่าว น้ำในเมืองสกปรกเต็มไปด้วยเชื้อโรค ชาวเมืองดิ้นรนหาน้ำที่ต้มแล้ว ซึ่งผู้คนที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์จึงดื่มกาแฟเป็นทางเลือก ทำให้เมืองในยุโรปตะวันตกโดยเฉพาะในกรุงลอนดอน และกรุงปารีส เกิดร้านกาแฟผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด
ทั้งนี้ ร้านกาแฟแห่งแรกไม่ได้เปิดในย่านการค้า แต่เปิดในมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดเมื่อปี 1650 ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างกาแฟกับแวดวงวิชาการในช่วงเริ่มต้นไม่ได้ราบรื่นนัก เพราะคณาจารย์ในมหาวิทยาลัยเกรงว่าร้านกาแฟจะทำให้นักศึกษาใช้เวลาสนทนากันนอกกรอบที่ได้สอน อย่างไรก็ดี ร้านกาแฟหนีไม่พ้นสถานที่ในการถกเถียงประเด็นการเมือง เช่น ในกลุ่มผู้สนับสนุนพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 ที่ลี้ภัยในต่างประเทศและกลับมาขึ้นครองราชย์ เป็นต้น
ปัจจุบัน แม้รูปแบบของร้านกาแฟจะปรับเปลี่ยนไปบ้างจากเทคโนโลยีที่โถมเข้ามาจนเกิดร้านกาแฟอินเทอร์เน็ตทั่วเมือง แต่กาแฟยังคงเสน่ห์ทำให้ผู้คนได้มาพบปะกัน เกิดบทสนทนาที่ออกอรรถรส ไปจนถึงสถานที่ทำงานเคลื่อนที่ [2]
ชา เครื่องดื่มที่ถูกค้นพบโดยบังเอิญจากจักรพรรดิเฉินหนง ในช่วง 2,600 ปีก่อนคริสตกาล เล่าขานกันว่า จักรพรรดิเฉินหนงกำลังต้มน้ำไว้ดื่ม ทรงใช้ช่อชาป่ามาพัดไฟให้คุ ทำให้พัดใบชาร่วงหล่นลงไปในหม้อจนได้เครื่องดื่มรสละมุนและให้ความสดชื่น กลายเป็นความเชื่อที่ว่า ดื่มชาจะดีต่อสมาธิ รวบรวมสติและขจัดความเหนื่อยล้า โดยที่ชาเป็นที่นิยมในประเทศเอเชียตะวันออกแพร่หลายจากจีนลงไปถึงญี่ปุ่น จนทำให้พิธีชงชาของญี่ปุ่นกลายเป็นวัฒนธรรมของชาวญี่ปุ่นที่ซับซ้อน พิธีกรรมมีความประณีต และละเอียดอ่อน [3]
อย่างไรก็ดี กว่าชาจะถูกนำเข้าไปในทวีปยุโรป ต้องล่วงเลยมาถึงศตวรรษที่ 17 เมื่อชาวจีนตัดสินใจค้าขายกับต่างประเทศ เริ่มกับชาวโปรตุเกสเป็นประเทศแรก ส่งผ้าไหมและถ้วยชามลายครามเพื่อแลกเปลี่ยนกับเงินและทอง ก่อนจะมาค้าขายกับชาวดัตช์และชาวอังกฤษในเวลาต่อมา โดยพ่อค้าชาวดัตช์เป็นชาติแรกที่นำเข้าชาจากประเทศจีน แต่ถือว่าเป็นเครื่องดื่มราคาแพงเพราะถูกส่งมาจากแดนไกล
อย่างไรก็ตาม ประเทศที่ชาเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมอย่างรวดเร็วกลับกลายเป็นอังกฤษเพราะในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 มีการนำเข้าชาในแต่ละปีกว่า 6 ตัน และเพิ่มขึ้นไปถึง 11,000 ตัน ในช่วงปลายศตวรรษที่ 17
ทำไมคนอังกฤษถึงนิยมดื่มชา คงจะเป็นเรื่องของการเข้าสังคมเป็นหลัก เริ่มจากชาถือเป็นเครื่องดื่มในราชวงศ์และระดับขุนนาง แต่สามัญชนอยากมีสถานภาพเช่นนั้นบ้าง จึงได้ขวนขวายหาชามาดื่มกัน และด้วยคุณภาพใบชามีหลากหลาย ทำให้ปุถุชนคนธรรมดาสามารถหาซื้อในราคาที่ถูกลงได้ นอกจากนั้น ชายังตอบโจทย์นายทุนในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรมเพราะเชื่อว่า การให้คนงานดื่มชาจะทำให้คนงานตื่นตัวตลอดเวลา ในขณะที่ชาเป็นที่นิยมของสตรีชาวอังกฤษเพราะสามารถเข้าร้านดื่มชาได้ จากที่ถูกห้ามเข้าร้านกาแฟ จนทำให้เกิดวัฒนธรรมดื่มชายามบ่าย (Afternoon Tea) ในเวลาต่อมา
ด้วยชาเป็นที่ต้องการของชาวอังกฤษเป็นอย่างมาก อังกฤษจึงอาศัยพื้นที่ของประเทศที่เป็นอาณานิคม ไม่ว่าจะเป็นประเทศอินเดียและศรีลังกาในการปลูกใบชา พร้อมกับจัดตั้งบริษัทอินเดียตะวันออกเพื่อทำการค้าและรับซื้อชา จนทำให้บริษัทกลายเป็นบริษัทที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก มีรายได้ที่สูงกว่ารายได้ของรัฐบาลอังกฤษเสียอีก เป็นชนวนทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหรัฐ กลายเป็นสงครามที่อังกฤษถือโอกาสเข้ามายึดครองนครเซี่ยงไฮ้และเกาะฮ่องกงจากสงครามฝิ่นในปี 1842 และสงครามอิสรภาพของสหรัฐ ที่ประทุจากกฎหมายชาในปี 1773 จากการที่อังกฤษบังคับให้ชาวอาณานิคมในอเมริกาต้องเสียภาษีนำเข้าชา [4]
เครื่องดื่มชนิดสุดท้ายคือ โคคา-โคลา เครื่องดื่มที่กลายพันธุ์จากการค้นพบการผลิตโซดา โดยเกิดจากการค้นคิดของ จอห์น เพมเบอร์ตัน (John Pemberton) เภสัชกรชาวอเมริกันที่อาศัยอยู่ในเมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย เขาพยายามค้นคิดยาอายุวัฒนะ ลองผิดลองถูกแต่ไม่ประสบความสำเร็จ จนกลายเป็นบุคคลล้มละลาย แต่โชคเข้าข้างเมื่อเขาได้นำใบของโคคา และเมล็ดของโคลาจากแอฟริกาตะวันตก ที่มีสรรพคุณรักษาสารพัดโรค มาผสมกันเพื่อทำเป็นยาเม็ด ยาน้ำ และยาทา ใช้ชื่อว่า ไวน์โคคา (French Wine Coca) และเมื่อเมืองแอตแลนตา ออกคำสั่งห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปี 1886 ทำให้เพมเบอร์ตันตัดสินใจพัฒนาเครื่องดื่มที่ปราศจากแอลกอฮอล์มาทดแทน โดยนำส่วนผสมของโคคาและโคลามาเติมน้ำตาลและใส่ไปในน้ำโซดา เพื่อให้ตอบโจทย์เป็นเครื่องดื่มที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป ซึ่งได้รับการตอบรับดีมาก จนในเดือนพฤษภาคม ปี 1886 เขาได้ตั้งชื่อเครื่องดื่มนี้ว่า “โคคา-โคลา” ตามส่วนผสมทั้งสองชนิด โดยเพมเบอร์ตันให้เหตุผลง่าย ๆ ว่า “อักษรซีทั้งสองตัวคงจะเตะตามากเมื่อปรากฏในโฆษณา” [5]
จากวันนั้น โคคา-โคลา ได้กลายเป็นเครื่องดื่มที่ติดตลาด จากเครื่องดื่มที่ราคาเพียง 5 เซ็นต์ยอดขาย 25,000 ขวดต่อเดือน แต่ด้วยวิธีการเริ่มต้นขายหัวน้ำเชื่อมกระจายไปทั่วประเทศไปจนถึงบรรจุขวดขาย เป็นปรากฏการณ์ใหม่ของคนดื่ม จนปัจจุบันมียอดขายทั่วโลกกว่า 1.8 พันล้านขวดต่อวัน
โคคา-โคลา ได้กลายเป็นเครื่องดื่มที่ทำให้สหรัฐมีบทบาทในฐานะประเทศมหาอำนาจทุนนิยม ภายหลังจากที่ตัดสินใจเลิกการโดดเดี่ยว เริ่มค้าขายกับนานาชาติจน โคคา-โคลา กลายเป็นสินค้าติดตลาดโลก ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อทหารอเมริกันต้องออกเดินทางไปยังสมรภูมิรบทั่วโลก และรู้สึกผูกพันกับความรักชาติและต้องการระบุสินค้าที่มีความเป็น “ชาวอเมริกัน” ทำให้ โคคา-โคลา เห็นโอกาสออกนโยบาย “ไม่ว่าทหารอเมริกันจะอยู่ที่ไหน พวกเราทุกนายต้องซื้อ โคคา-โคลา ได้ในราคาขวดละ 5 เซ็นต์” ถือเป็นจุดเริ่มต้นทำให้บริษัทได้ไปจัดตั้งโรงงานผลิตทั่วโลก [6]
โคคา-โคลา กลายเป็นเครื่องดื่มที่ร้อนระอุในช่วงสงครามเย็น เพราะผู้นิยมคอมมิวนิสต์มองว่าเครื่องดื่มนี้เป็นสัญลักษณ์ของทุนนิยม และพลังอำนาจของสหรัฐ ถึงกับมีการต่อต้านจากผู้นำโซเวียต ในขณะที่ชาวอเมริกันลงความเห็นว่า “หากคิดถึงประชาธิปไตย เราจะคิดถึง โคคา-โคลา” ก่อนที่จะกลับมาขายดีภายหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 1991
เครื่องดื่มทั้ง 6 ชนิด กำเนิดขึ้นมายาวนานกว่า 10,000 ปี มีอิทธิพลต่อโลก ไม่เพียงแต่รสชาติที่มีอัตลักษณ์ของตนเอง แต่ทำให้ขนบธรรมเนียม และวัฒนธรรมในสังคมแปรผันตามไปด้วย และเชื่อมั่นว่าจะเป็นเครื่องดื่มที่ยังคงอยู่กับพวกเราไปอีกนานแสนนาน [7]
อ่านเพิ่มเติม : เครื่องดื่ม : เปลี่ยนโลก เปลี่ยนชีวิต
แหล่งที่มา
[1] ทอม สแตนเดจ (Tom Standage) ประวัติศาสตร์โลกใน 6 แก้ว” (A History of the World in 6 Glasses) แปลโดย คุณากร วาณิชย์วิรุฬห์ สำนักพิมพ์ bookscape พิมพ์ครั้งที่ 7 (ฉบับปรับปรุงใหม่) มิถุนายน 2565 หน้า 152-153
[2] ทอม สแตนเดจ (Tom Standage) ประวัติศาสตร์โลกใน 6 แก้ว หน้า 163-184
[3] ทอม สแตนเดจ (Tom Standage) ประวัติศาสตร์โลกใน 6 แก้ว หน้า 191-198
[4] ทอม สแตนเดจ (Tom Standage) ประวัติศาสตร์โลกใน 6 แก้ว หน้า 213-234
[5] ทอม สแตนเดจ (Tom Standage) ประวัติศาสตร์โลกใน 6 แก้ว หน้า 248-254
[6] ทอม สแตนเดจ (Tom Standage) ประวัติศาสตร์โลกใน 6 แก้ว หน้า 266
[7] Tom Standage, A History of the World in 6 Glasses Summary and Review, Lifeclub https://lifeclub.org/books/a-history-of-the-world-in-6-glasses-tom-standage-review-summary
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก gourmetandcuisine.com , eatwellconcept.com , The Wild Chronicles