"...บทเรียนชีวิตที่เบนได้ฝากไว้คือ เบนมีความฝัน เป็นความฝันที่หลายคนอาจคิดว่าเกินเอื้อม แต่เบนได้พิสูจน์ให้พวกเราเห็นว่าจากเด็กที่ถูกดูแคลนว่าเป็นเด็กโง่ที่สุดในห้อง กลายมาเป็นประสาทศัลยแพทย์ที่เก่งที่สุดในโลก สิ่งที่ทำให้เบนก้าวข้ามอุปสรรคในชีวิตเกิดจาก ความมุ่งมั่น ความเสียสละของครอบครัว และความเชื่อในคุณค่าของตนเอง..."
“ความสำเร็จไม่ได้วัดว่าเราได้ผ่านความยากลำบากมาแค่ไหน แต่วัดว่าเราฝ่าฟันอุปสรรคนั้นอย่างไร หากเรามองอุปสรรคเหล่านั้นเป็นรั้วลวดหนามรอบตัวเราที่ไม่มีวันหลุดรอดไปได้ เราก็จะได้แต่อ้างว่าจะต้องอยู่กับความล้มเหลว แต่หากเรามองว่าอุปสรรคเป็นเหมือนกับรั้วที่ต้องข้ามไปให้ได้ เราก็จะมีความมุ่งมั่นไปสู่เป้าหมายให้สำเร็จ”1/
คำกล่าวข้างต้นเป็นของนายแพทย์เบนจามิน คาร์สัน (Dr. Benjamin Carson) ชาวอเมริกัน ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นแพทย์ด้านประสาทศัลยศาสตร์ที่เก่งที่สุดในโลก ถือเป็นศัลยแพทย์คนแรกที่สามารถผ่าตัดแยกเด็กฝาแฝดชาวเยอรมันที่เกิดมาศีรษะติดกันได้สำเร็จ โดยที่เด็กทั้งสองรอดชีวิต แต่เส้นทางชีวิตของคุณหมอเบนจามิน (เบน) เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ เพราะไม่มีใครคาดคิดว่า เด็กผิวดำอาศัยอยู่ในย่านแออัดในเมืองดีทรอยต์ ถูกเลี้ยงดูโดยซอนย่า คาร์สัน (Sonya Carson) ผู้เป็นแม่เพียงลำพังภายหลังที่พ่อไปมีครอบครัวใหม่ ซอนย่าจบการศึกษาเพียงชั้น ป. 3 อ่านหนังสือแทบไม่ออก และแต่งงานเมื่ออายุ 13 ปี และด้วยมรสุมชีวิตทำให้ช่วงหนึ่งเธอเป็นโรคเครียด ซึมเศร้า จนต้องเข้ารับการบำบัดในโรงพยาบาล แต่เมื่อรักษาหาย เธอกลับกลายเป็นหญิงแกร่งที่เลี้ยงดูเบนและพี่ชาย ด้วยการทำงานทุกอย่างที่ขวางหน้า2/
เบนเข้าเรียนในโรงเรียนประถมใกล้บ้าน นักเรียนส่วนใหญ่เป็นเด็กผิวขาว ซึ่งในยุคนั้นยังคงมีกลิ่นอายของการเหยียดผิว และด้วยสิ่งแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย จึงไม่แปลกใจว่าผลการเรียนของเขาอ่อนมากถูกเยาะเย้ยดูถูกจากเพื่อน คุณครูต่างส่ายหัวหมดหวังกับเขา ซึ่งในช่วงเวลานั้นมีเด็กผิวดำเพียงร้อยละ 15 สามารถเรียนจนจบชั้นมัธยมปลาย นอกจากผลการเรียนที่ถูกตีตราว่าเป็น “เด็กบ๊วย” แล้ว เบนยังเป็นเด็กอารมณ์ร้อน ครั้งหนึ่งเขาโกรธแม่มากที่ไม่ซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้ไปโรงเรียน จนถึงขนาดเกือบทำร้ายแม่ ดีที่พี่ชายมาห้ามไว้ก่อน อีกครั้งหนึ่งถูกเพื่อนแกล้ง เขาหยิบมีดพกออกมาแทง เคราะห์ดีที่ปลายมีดไปโดนหัวเข็มขัด
จุดหักเหเกิดขึ้นเมื่อซอนย่าได้รับจ้างทำความสะอาดบ้านของอาจารย์มหาวิทยาลัยท่านหนึ่ง และพบหนังสือในตู้เต็มห้องสมุด เธอถามอาจารย์ท่านนั้นว่า ได้อ่านหนังสือเหล่านี้ทั้งหมดหรือไม่ และได้รับคำตอบว่า “หมดทุกเล่ม” สร้างความประหลาดใจให้เธอมากจนเป็นแรงบันดาลใจที่ต้องการให้ลูกของเธอประสบความสำเร็จ รีบกลับบ้านเริ่มตั้งกติกาให้ลูกชายทั้งสองดูทีวีได้เพียง
สัปดาห์ละ 2 รายการ และให้ไปยืมหนังสือจากห้องสมุดสาธารณะมาอ่านสัปดาห์ละ 2 เล่ม พร้อมทั้งเขียนบทสรุป รวมทั้งให้ท่องสูตรคูณให้คล่อง
ด้วยกติกาที่เคร่งครัด พร้อมกับแม่ที่มีความเชื่อมั่นในตัวลูกเสมอ ไม่เคยโทษโชคชะตาของชีวิต ให้ลูกทั้งสองมองในมุมบวก เธอกล่าวกับลูกทั้งสองเสมอว่า “ลูกสามารถทำได้เหมือนกับคนอื่น ๆ และทำได้ดีกว่า ลูกอย่าได้หยุดเชื่ออย่างนั้นแม้แต่วินาทีเดียว” ทำให้ลูกทั้งสองมีผลการเรียนดีและมีวุฒิภาวะดีขึ้นเป็นลำดับ จนในที่สุดเบนก็ค้นพบตัวเอง ว่าจะต้องเป็นหมอรักษาคนให้ได้3/
เบนมุมานะในการเรียนมาก จบชั้นมัธยมปลายด้วยคะแนนสูงจนสามารถสมัครเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเยล ก่อนเข้าศึกษาต่อคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมิชิแกน และเลือกเรียนด้านศัลยกรรมประสาท ศึกษาจบด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ก่อนเข้าทำงานที่โรงพยาบาลจอนส์ ฮอปคินส์ โรงพยาบาลที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของโลก ที่แพทย์จบใหม่ต่างใฝ่ฝันเข้าทำงาน
จากนั้นเรื่องราวได้ร้อยเรียงตามมา เบนได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการแผนกศัลยกรรมระบบประสาทด้านเด็ก เมื่ออายุเพียง 33 ปี ถือเป็นศัลยแพทย์อายุน้อยที่สุดในประเทศที่ดำรงตำแหน่งนี้ เป็นคุณหมอที่มีความเชี่ยวชาญและชำนาญการในการผ่าตัดเด็กที่เป็นเนื้องอกในสมอง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเคสที่ศัลยแพทย์คนอื่นลงความเห็นว่าสิ้นหวัง โดยในแต่ละปีเบนผ่าตัดเคสยากกว่า 500 ราย และมาโด่งดังที่สุดเมื่อเขาผ่าตัดแยกเด็กฝาแฝดที่เกิดมาศีรษะติดกันสำเร็จ ซึ่งเบนค้นพบวิธีการที่จะไม่ให้เด็กฝาแฝดเสียเลือดมากเกินไปในช่วงการผ่าตัดกว่า 22 ชั่วโมง ด้วยการหยุดการเต้นของหัวใจของฝาแฝดชั่วคราว
บทเรียนชีวิตที่เบนได้ฝากไว้คือ เบนมีความฝัน เป็นความฝันที่หลายคนอาจคิดว่าเกินเอื้อม แต่เบนได้พิสูจน์ให้พวกเราเห็นว่าจากเด็กที่ถูกดูแคลนว่าเป็นเด็กโง่ที่สุดในห้อง กลายมาเป็นประสาทศัลยแพทย์ที่เก่งที่สุดในโลก สิ่งที่ทำให้เบนก้าวข้ามอุปสรรคในชีวิตเกิดจาก ความมุ่งมั่น ความเสียสละของครอบครัว และความเชื่อในคุณค่าของตนเอง
เบนเกษียณอายุในปี 2013 และได้เขียนหนังสือหลายเล่มที่เกี่ยวกับปรัชญาชีวิต ก่อนตัดสินใจลงเล่นการเมืองสังกัดพรรคริพับลิกัน ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในปี 2016 และดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี Housing and Urban Development ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีทรัมป์ ปัจจุบันนายแพทย์เบนจามิน อายุ 71 ปี ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับภรรยาที่เจอกันตั้งแต่เรียนที่มหาวิทยาลัยเยล ในปี 1971 และยังคงรับพูดในที่สาธารณะเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับทุกคน ทั้งนี้ พวกเราสามารถรับชมภาพยนตร์ “Gifted Hands: The BENCARSON Story” ชีวประวัติของเบนที่ถ่ายทำตั้งแต่ปี 2552 และถูกนำมาฉายใหม่ผ่าน Netflix ได้ในช่วงเวลานี้
รณดล นุ่มนนท์
2 พฤษภาคม 2566
แหล่งที่มา:
1/ “Success is determined not by whether or not you face obstacles, but by your reaction to them. And if you look at these obstacles as a
containing fence, they become your excuse for failure. If you look at them as a hurdle, each one strengthens you for the next.”
2/ SpiderMeaw, สองมือแห่งศรัทธา: ชีวิตแพทย์ผู้สร้างแรงบันดาลใจ นายแพทย์เบนจามิน คาร์สัน
https://board.postjung.com/986289
3/ วิจารณ์ พานิช, ชีวิตที่พอเพียง 2423 สองมือแห่งศรัทธา 14 เมษายน 2558
https://www.gotoknow.org/posts/590633
4/ Widley Marcelin, What can we learn from Benjamin Salomon Carson’s story and the neurosurgery?, February 9, 2020
https://www.linkedin.com/pulse/what-can-we-learn-from-benjamin-salomon-carsons-story-widley-marcelin
หมายเหตุ:
ขอขอบคุณ ผอส.จิตเกษม พรประพันธ์ ฝ่ายคุ้มครองและส่งเสริมความรู้ผู้ใช้บริการทางการเงิน ที่แนะนำให้เขียนเรื่องนี้ใน Weekly Mail สัปดาห์นี้