"...ถ้าอุ้มแบงก์เต็มที่จะแพงมากสำหรับรัฐบาล นอกจากนี้ยังไม่แฟร์เพราะต้องเอาเงินภาษีประชาชนไปค้ำแบงก์ที่อาจจะบริหารไม่ดี เวลาได้ไม่เห็นมาแบ่ง แต่เวลาเสียทุกคนช่วยแชร์ต้นทุน..."
เดือนมีนาคม 2023 คงจะถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ-การเงินโลก เพียงแค่ไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาเราได้เห็นธนาคารระดับกลาง-ใหญ่ในอเมริกาและยุโรปได้เผชิญปัญหาวิกฤตความเชื่อมั่นจนต้องได้รัฐบาลมาช่วย 'อุ้ม' ('Bailout') แม้แต่สถาบันการเงินระดับยักษ์ใหญ่ของโลกที่มีอายุถึง 167 ปีก็หนีไม่พ้น
มองไปข้างหน้าคำถามที่สำคัญสำหรับพวกเราคืออุ้มแล้วหยุดวิกฤตการเงินได้ไหม กระทบเราในประเทศไทยอย่างไร วันนี้ลองมาตอบคำถามที่มักจะได้ยินกันบ่อยๆเผื่อพอมีประโยชน์ (แต่ยาวหน่อยนะครับ)
1.ตกลงอเมริกา-ยุโรปอุ้มแบงก์หรือไม่
-ใช่ แต่ไม่ได้ “อุ้มเต็มๆ”และไม่อยากให้เรียกว่า 'อุ้ม'
- ทั้งในอเมริกาและยุโรปรัฐไม่ได้ออกมาบอกว่าจะการันตีเงินฝากของทุกคนในแบงก์ที่มีปัญหาและพยายามให้นักลงทุนในแบงก์เหล่านี้ไม่ล้มบนฟูก
- ในอเมริกาโปรแกรม Bank Term Funding Program (BTFP) ของ Fed ให้กู้กับธนาคารที่ถือพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้บางประเภทเท่านั้น ซึ่งตอบโจทย์บางธนาคาร (เช่น SVB) แต่ไม่ช่วยบางธนาคารที่มีปัญหา (เช่น First Republic Bank) ที่ไม่ค่อยมีสินทรัพย์เหล่านี้เท่าไรจึงต้องมีการ “ชวน” แบงก์ใหญ่ๆมาช่วย และตอนนี้รัฐบาลก็กำลังถกเถียงว่าจะขยายการการันตีเงินฝากให้ครอบคลุมกว้างขึ้นไหม เพราะเงินฝากกำลังไหลออกจากธนาคารขนาดเล็กไปสู่ธนาคารใหญ่ที่คนมองว่าปลอดภัยกว่า
- ในยุโรป ธนาคารกลางสวิสเป็นคนผลักดันคลุมถุงชนให้สองธนาคารที่เป็นคู่แข่งกันมานานแต่งงานกัน และมีทั้งการให้สินเชื่อพิเศษและการันตีว่าจะช่วยแบกรับการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นจากดีลนี้ถึงเกือบ 1หมื่นล้านเหรียญให้กับ UBS ที่จะเป็นผู้เข้าไปซื้อเครดิตสวิส
- แต่ในขณะเดียวกันก็พยายามไม่ให้นักลงทุนทั้งหลายล้มบนฟูก โดยการตัดสินใจที่สำคัญคือ การทำให้ตราสารหุ้นกู้แปลงสภาพ AT1 (ชื่อเล่นว่า Coco bond) ถูก write off คือ จากมูลค่าประมาณ 17,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐกลายเป็นศูนย์ ซึ่งมีผลกระทบกับกองทุนหลายรายและที่สำคัญส่งผลต่อความเชื่อมั่นต่อตราสารประเภทนี้ทั้งหมดที่มีตลาดใหญ่มูลค่าถึง 275,000 ล้านดอลลาร์
-ทั้งหมดนี้คือเหตุผลสำคัญว่าทำไมมีข่าว ‘รัฐอุ้มแบงก์’แล้วแต่ตลาดยังผันผวนและคนยังกังวลอยู่
2.ทำไมต้องอุ้มแบงก์ ปล่อยเจ๊งไม่ได้เหรอ
- ปล่อยแบงก์ล้มแบบไม่ระวังไม่ได้เพราะเสี่ยงจะเกิดวิกฤตการเงินที่สร้างแผลยิ่งกว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยธรรมดา
- ระบบธนาคารเป็นเสมือนเครือข่ายท่อน้ำที่ส่งน้ำหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจให้มีชีวิต หากเกิดวิกฤติธนาคาร-การเงินก็เหมือนระบบท่อพัง ต่อให้ในถังรวมมีน้ำอยู่เพียงพอก็จะไม่สามารถส่งต่อน้ำนี้ไปให้ผู้ที่ต้องการได้ ระบบการชำระเงิน ให้สินเชื่อ ฝากเงิน ฯลฯ อาจจะล่มหมด ทำเศรษฐกิจล้มแรงและไม่สามารถกลับมาฟื้นยาก
- ปัญหาคือดีไซน์ของระบบธนาคารมีจุดเปราะบางอยู่ เพราะธนาคารรับเงินฝากที่คนขอคืนได้ทุกเมื่อ แล้วเอาไปลงทุน-ปล่อยกู้กับสินเชื่อที่มักจะเป็นระยะกลาง-ยาวเรียกคืนไม่ได้ทันทีหรือหากเรียกคืนทันทีก็ต้องขายขาดทุน สิ่งที่จะต้องไม่ให้เกิดคือการที่คนฝากเงินตื่นตระหนกเรียกเงินคืนพร้อมๆกันจนธนาคารถูกบังคับให้ไปขายสินทรัพย์ที่ถืออยู่ในราคาแย่ๆ (กรณี SVB เป็นตัวอย่างล่าสุด)
- ที่สำคัญเวลาคนฝากเงินตื่นตระหนก เค้าจะไม่ได้หนีแค่ธนาคารที่เป็น ‘แบดบอย’ ก่อปัญหาเท่านั้นแต่จะถอนเงินหนีจากทุกธนาคารที่คล้ายกันเพราะมักสมมติก่อนว่าทุกเจ้ามีปัญหา ‘เด็กดี’จึงโดนทำโทษไปด้วย
- ดังที่มีปรมาจารย์ทางเศรษฐศาสตร์ท่านหนึ่งเคยบอกผมว่า “นักเศรษฐศาสตร์หลายคนชอบบอกว่าเชื่อในมือที่มองไม่เห็น (Invisible hands) แต่ในยามวิกฤตทุกคนเชื่อแต่มือที่มองเห็น(ของรัฐ) เท่านั้น”
3.ถ้างั้นทำไมไม่อุ้มให้สุดไปเลย
- ถ้าอุ้มแบงก์เต็มที่จะแพงมากสำหรับรัฐบาล นอกจากนี้ยังไม่แฟร์เพราะต้องเอาเงินภาษีประชาชนไปค้ำแบงก์ที่อาจจะบริหารไม่ดี เวลาได้ไม่เห็นมาแบ่ง แต่เวลาเสียทุกคนช่วยแชร์ต้นทุน
- นอกจากนี้ยังสร้างนิสัยเสียให้กับระบบการเงิน (Moral Hazard) หากนักลงทุน/ผู้บริหารล้มบนฟูกไปด้วยต่อไปก็ไม่ต้องระวังความเสี่ยงกันเท่าที่ควร
- ดังนั้นหลังจากการอุ้มแบงก์รัฐบาลมักจะมีการออกกฎเกณฑ์-มาตราการใหม่ๆมาเพื่อคุมพฤติกรรมของสถาบันการเงินประเภทที่เพิ่งก่อปัญหาไป (เช่นหลังวิกฤต 2008-9 ก็มี Dodd-Frank และคราวนี้ก็เชื่อว่าคงมีมาตราการออกมากำกับธนาคารขนาดเล็ก-กลางมากขึ้นในอเมริกา)
- แต่ส่วนใหญ่สุดท้ายก็เป็น “เกมแมวจับหนู” เพราะสถาบันการเงินก็มักจะหาท่าใหม่ๆในการหาความเสี่ยง-เพิ่มรายได้เสมอ โดยเฉพาะหากอัตราดอกเบี้ยอยู่ต่ำๆเป็นเวลานานทำให้แบงก์หารายได้ยากขึ้นก็จะมีการหาผลตอบแทนสูงโดยรับความเสี่ยงมากขึ้น (yield-seeking)
- นี่คือหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ธนาคารกลางแต่ละประเทศล้วนไม่อยากเก็บดอกเบี้ยต่ำนานๆ
4. แล้วทั้งหมดนี้มันกระทบเรายังไงบ้าง
- ต้องระวัง หนึ่ง วิกฤตการเงินโลก (ความเสี่ยงยังไม่สูงนัก) สอง ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในโลกตะวันตกฉุดการส่งออก (ความเสี่ยงสูง) และ สาม ดอกเบี้ยอาจขึ้นไม่สูงเท่าที่เคยคาด
- เพราะรัฐบาล-ธนาคารกลางในอเมริกาและยุโรปกำลังเดินบาลานซ์ตัวเองบนเชือก ไม่ให้อุ้มแบงก์มากไปจนเสียระบบแต่ก็ไม่น้อยไปจนวิกฤตศรัทธาลามต่อไป โอกาสที่จะ “พลาด” เกิดเป็นวิกฤตการเงินจึงมีอยู่
- แม้ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่จะมองตรงกันว่าความเสี่ยงต่อวิกฤตรอบนี้ค่อนข้างต่ำเพราะระบบธนาคารในอเมริกาและยุโรปมีความแข็งแกร่งทางการเงินกว่าเดิมมาก ไม่ว่าจะดูจากสัดส่วนเงินทุน สภาพคล่อง ฯลฯ โดยเฉพาะธนาคารใหญ่ๆที่มีความสำคัญต่อระบบ (รวมทั้งเครดิตสวิสเอง) แต่เราไม่ควรประมาทเพราะวิกฤตการเงินมักจะเกิดจากจุดที่เรามองไม่เห็นและมีต้นตอที่แตกต่างจากรอบก่อนๆเสมอ
- นอกจากนี้ถึงจะรอดจากวิกฤตการเงินก็อาจไม่รอดจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยในโลกตะวันตกที่มีโอกาสสูงขึ้นยิ่งกว่าเดิมเพราะปัญหาในภาคธนาคารเหล่านี้
- เหตุผลก็เพราะวิกฤตศรัทธาในระบบธนาคารกำลังทำให้ธนาคารและสถาบันการเงินต่างรัดเข็มขัดไม่ปล่อยสินเชื่อเพราะกลัวไม่มีเงินหากคนมาถอนเงิน โดยเฉพาะกลุ่มขนาดกลางและเล็กในอเมริกา ที่มีบทบาทสำคัญด้านการปล่อยสินเชื่อทั้งเพื่อภาคอุตสาหกรรม (50%) ที่อยู่อาศัย (60%) และผู้บริโภค (45%)
- เมื่อเศรษฐกิจอเมริกาและยุโรปทรุดลงอีกผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยน่าจะออกมาในรูปการฉุดการส่งออกของเราจากที่ติดลบอยู่แล้วให้อาการหนักกว่าเดิม ต้องหันไปพึ่งพาการท่องเที่ยวมากขึ้นและหวังว่าจีนจะยังฟื้นตัวต่อ
- แต่ในขณะเดียวกันความกังวลเหล่านี้อาจทำให้ Fed ระมัดระวังการขึ้นดอกเบี้ยมากขึ้น เพราะเกรงว่าน้ำลดเร็วอาจมีตออื่นๆผุดขึ้นมาอีกจนแก้ไม่ทัน นี่เองน่าจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เมื่อคืน แม้ Fed จะยังขึ้นดอกเบี้ย 0.25% แต่ก็เริ่มไกด์ตลาดว่าอาจการขึ้นดอกเบี้ยอาจใกล้สิ้นสุดแล้ว ซึ่งทั้งหมดนี้ก็จะมีส่วนลดแรงกดดันต่อการขึ้นดอกเบี้ยของธปทด้วยเช่นกัน
- ดังนั้นแม้ไม่มีวิกฤตการเงินก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีปัญหา และเวลามีปัญหาก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีโอกาสเลย ต้องอ่านเกมดีๆและคอยติดตามกันอย่างใกล้ชิดครับ
ปล 1 ผมเคยทำงานที่เครดิตสวิสสำนักงานใหญ่ของภูมิภาคอยู่หลายปีก่อนออกไปทำงานภาคเทคโนโลยี บอกได้เลยว่าธุรกิจเครดิตสวิสในอาเซียนนั้นแข็งแกร่งและมีแต่คนเก่งๆทั้งนั้น ขอเป็นกำลังใจให้อดีตเพื่อนร่วมงานทุกคนที่ต้องมาเจอสถานการณ์แบบนี้ทั้งที่ไม่ใช่ความผิดเขาเลย
ปล 2 เรื่องนี้มีรายละเอียดและประเด็นปลีกย่อยเยอะมากที่คงเล่าได้ไม่หมดในโพสต์เดียวและก็มีท่านที่เขียนอธิบายได้ดีมากๆอยู่หลายท่านผมจึงขอแปะลิ้งค์ไว้ในคอมเมนท์เผื่อใครอยากอ่านกันต่อนะครับ
ขอบคุณภาพประกอบจาก Facebook page : สันติธาร เสถียรไทย - Dr Santitarn Sathirathai