"...เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นสองปัจจัยคือ “ความตื่นตัวภาคประชาชนและการเปลี่ยนแปลงระบบราชการ” ซึ่งเป็นพลังบวกในการต่อต้านคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นจริง แต่ยังน้อยไปและไม่เข้มแข็งพอจะต่อกรกับเหล่าคนโกง ดังนั้น เพื่ออนาคตของสังคมไทย เราทุกคนต้องมองไปข้างหน้า ช่วยกันผลักดันต่อไปให้ภาครัฐมีประสิทธิภาพสูงขึ้นไม่เป็นภาระกับสังคม..."
หมายเหตุ สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) : ดร.มานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว เกี่ยวกับสถานการณ์คอร์รัปชันไทย ปี 2565
****************
สถานการณ์คอร์รัปชันไทย ปี 2565
การระบุว่า “สถานการณ์คอร์รัปชันประเทศไทยดีขึ้นหรือเลวลง” ผู้เขียนประเมินจากปัจจัยที่เกิดขึ้น 3 ประการคือ 1. พฤติกรรมคอร์รัปชันของเจ้าหน้าที่รัฐในช่วงที่ผ่านมา 2. การเปลี่ยนแปลงของ ภาครัฐ และ 3. ความตื่นตัวของประชาชนต่อปัญหาคอร์รัปชัน
1. พฤติกรรมคอร์รัปชันของเจ้าหน้าที่รัฐในช่วงที่ผ่านมา
การประเมินประเด็นนี้มีข้อจำกัดของข้อมูลจากหน่วยราชการหรืองานวิจัยมาสนับสนุน มีเพียงงานของ ศ.ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร และคณะ (2557) เรื่อง “คอร์รัปชันในระบบราชการไทย การสำรวจทัศนคติและประสบการณ์ของหัวหน้าครัวเรือน” ที่ระบุว่า การจ่ายสินบนเมื่อไปติดต่อหน่วยราชการของหัวหน้าครัวเรือนลดลง เมื่อเทียบกับผลการสำรวจในปี 2547
การสำรวจอื่นๆ มักเป็นข้อมูลเชิงภาพลักษณ์ (Perception) ซึ่งมีโอกาสเบี่ยงเบนสูง เช่น Corruption Perception Index และ Global Corruption Barometer ขององค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ และ Control of Corruption ของธนาคารโลก
ส่วนงานที่จับต้องได้มากกว่าเพราะสัมภาษณ์คนไทยและผู้ประกอบการโดยตรง เช่น Corruption Situation Index ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ผลการศึกษาของสถาบัน IOD รวมทั้งผลงานของบริษัท PwC ที่ชี้ว่า คอร์รัปชันยังวิกฤตอยู่
อย่างไรก็ตามผู้เขียนมีข้อมูลสำคัญบางประการ ที่ควรพิจารณา คือ
ก. มีแนวโน้มว่า คอร์รัปชันของนักการเมือง คอร์รัปชันเชิงนโยบาย และคอร์รัปชันในเมกะโปรเจค ยังสูงมากเช่นเดียวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ขณะที่คอร์รัปชันในระบบราชการยังวิกฤต อาจลดลงบ้างอันเป็นผลมาจากข้าราชการรุ่นใหม่ ระบบราชการ กฎหมาย แรงต้านจากสังคมและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป
แต่ยังลดลงช้าและน้อยมากเพราะการขาดความใส่ใจของผู้นำในระดับต่างๆ ผสมกับวัฒนธรรมของคนในองค์กร เช่น ความเกรงใจ ธุระไม่ใช่ ระบบอุปถัมภ์ การไกล่เกลี่ยภายในหน่วยงานให้เรื่องเงียบ ขาดการเปิดเผยอย่างโปร่งใส อำนาจนิยม ฯลฯ
ข. มีรายงานระบุว่า ในแต่ละปีมีการโอนเงินเข้าออกประเทศไทยอย่างผิดกฎหมายจำนวนมาก เป็นการโอนเงินออกราว 4 แสนล้านบาทและโอนเข้าราว 2 แสนล้าน แน่นอนว่าจำนวนหนึ่งเป็นเงินจากพวกโกงชาติ ปล้นประชาชน
ค. การดำเนินคดีล่าช้าและการลงโทษคนโกงยังมีข้อจำกัดมาก มีหลายคดีที่อัยการสั่งไม่ฟ้องคดี ปล่อยให้ ป.ป.ช. ฟ้องเอง ศาลตัดสินว่าทำผิดจริงแต่ให้รอลงอาญา คนผิดติดคุกเดี๋ยวเดียวก็ได้ลดโทษอภัยโทษ ยังไม่นับรวมปัญหาการช่วยเหลือปกป้องกันเองของเครือข่ายผู้มีอำนาจ และปัญหาขาดมาตรการปกป้องประชาชนและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องอย่างเพียงพอ
ง. ในปี 2565 ป.ป.ง. ประเมินให้การทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการเป็นความผิดที่มีความเสี่ยงในการฟอกเงินสูงอันดับ 1 และมีแนวโน้มพัวพันกับความผิดที่เสี่ยงรองลงมา ได้แก่ การค้ายาเสพติด บ่อนและการพนัน จากการที่มีเจ้าหน้าที่รัฐร่วมรู้เห็นกับการกระทำผิด
จ. จากการศึกษา ผู้เขียนพบว่านักการเมืองรุ่นใหม่ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีแนวโน้มการทำงานอย่างมีธรรมาภิบาลมากขึ้น ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชนมากขึ้น
2. การเปลี่ยนแปลงของภาครัฐ
ก. เทคโนโลยีกับข้อมูลข่าวสาร ที่ผ่านมาภาครัฐได้ลงทุนเพื่อจัดตั้งและพัฒนาหน่วยงานด้านเทคโนโลยีหลายแห่ง เช่น สถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ (GBDI) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล เป็นต้น
ทำให้เกิดนวัตกรรมที่ใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) อย่างหลากหลายมากขึ้น เช่น เว็บไซต์ “ภาษีไปไหน” ของ DGA เว็บไซต์ “ไทยมี” ของสภาพัฒน์ ระบบ e - GP และ GF - MIS ของกรมบัญชีกลาง และอีกหลายแอปพลิเคชันของหลายหน่วยงาน ส่งผลให้ไทยถูกจัดอันดับการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลที่ดี อันดับ 2 ของอาเซียนเป็นรองแค่สิงคโปร์ อันดับโลกที่ 21 จาก 65 ประเทศในปี 2563
ความก้าวหน้าเช่นนี้ทำให้เชื่อว่า ในวันข้างหน้า หาก “เจ้าหน้าที่รัฐยอมปรับเปลี่ยนทัศนคติและพัฒนาตัวเองมากขึ้น” แล้วยอมเชื่อมโยงฐานข้อมูลและเปิดเผยข้อมูลต่างๆ อย่างโปร่งใส เมื่อถึงวันนั้นความพร้อมทางเทคโนโลยีและข้อมูลที่ถูกเก็บกระจัดกระจายอยู่จำนวนมาก จะถูกนำไปใช้เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสร้างความเป็นธรรมในสังคมได้เป็นอย่างดี
ข. กฎหมายและมาตรการของรัฐ ที่สำคัญคือ พ.ร.บ. จัดซื้อจัดจ้างฯ เพื่อจัดระเบียบสร้างมาตรฐานในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐฯ กฎหมายนี้ส่งผลต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐและภาคเอกชนเป็นหลัก
ส่วนที่มีผลต่อประชาชนและภาคธุรกิจทั่วไปคือ พ.ร.บ. การอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการฯ และ พรฎ. การทบทวนความเหมาะสมของกฎหมายฯ ที่มุ่งหวังให้หน่วยงานของรัฐต้องปฏิรูปการบริการประชาชนให้สะดวกรวดเร็ว ลดภาระและลดเงื่อนไขการเรียกรับสินบนของเจ้าหน้าที่ ส่งผลให้มีการปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานของราชการอย่างมาก อาทิ เปิดบริการ E-Service แล้วกว่า 350 งานบริการ พัฒนาระบบ E-License และระบบ Digital ID ฯลฯ
เครื่องมือเพื่อยกระดับธรรมาภิบาลภาครัฐที่สำคัญคือ การประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส (ITA) และ Anti-Corruption Toolbox ของ ป.ป.ช. นอกจากนี้ ศอตช. ได้สำรวจพบว่า ผลจากแผนปฏิรูปประเทศฯ นโยบายของรัฐบาล และผลกระทบจากการระบาดของโควิด ทำให้หน่วยงานต่างๆ จำเป็นต้องเร่งสร้างเครื่องมือบริการประชาชนลดขั้นตอนการทำงานภาครัฐและสร้างความโปร่งใส ไม่น้อยกว่า 1,430 เครื่องมือ
จุดอ่อนคือ เครื่องมือเหล่านี้ยังขาดการยืนยันว่าใช้งานได้จริงหรือไม่ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะแอบสร้างเงื่อนไขซ่อนไว้อีกหรือไม่
ยังมีปัญหาขาดความใส่ใจของผู้นำที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลง เกิดภาวะเมินเฉยและจำยอมของเจ้าหน้าที่ต่อสภาพแวดล้อม รวมถึงวัฒนธรรมการทำงานไม่โปร่งใส ความเกรงใจและระบบอุปถัมภ์ในองค์กร
ที่ต้องชื่นชมไม่แพ้กันคือ การปรับตัวให้กระชับ ทำงานเชิงรุกและมีประสิทธิภาพมากขึ้นของ ป.ป.ช. สตง. ป.ป.ท. ศาลคอร์รัปชัน และ สนง. อัยการ
3. ความตื่นตัวของประชาชน และภาคเอกชน
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราได้เห็นความพยายามแก้ปัญหาในภาคเอกชนกันเองหลากหลายมากขึ้น ทั้งภาคการค้า อุตสาหกรรม สมาคมวิชาชีพ ธนาคารและตลาดทุน มีการรวมตัวเป็นแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (CAC) กำหนดแนวปฏิบัติเพื่อสร้างธรรมาภิบาลและความรับผิดชอบร่วมกัน
เช่น การทำธุรกิจอย่างรับผิดชอบต่อสังคม (ESG-C) มาตรฐานจรรยาบรรณดีเด่น หอการค้าไทย (BEST) การผลักดันมาตรการตรวจสอบบัญชีใหม่ (NOCLAR) เป็นต้น
เราได้เห็นการเพิ่มขึ้นของตำราประกอบการเรียนการสอนหลักสูตรเกี่ยวกับคอร์รัปชันและธรรมาภิบาลตั้งแต่โรงเรียนถึงมหาวิทยาลัย รวมถึงงานวิจัยและบทความทางวิชาการ ความตื่นตัวของสื่อมวลชนในการทำข่าวลึก ข่าวเจาะ คอลัมน์รายการที่เกี่ยวกับคอร์รัปชัน
ที่น่าจับตาคือ การรวมตัวเป็นองค์กร กองทุนระดมเงินสนับสนุนและเครือข่ายอาสาสมัครภาคประชาชนเกิดขึ้นแล้วมากกว่า 50 องค์กร ในปัจจุบัน พลังต่อต้านคอร์รัปชันของคนไทยวันนี้จึงเข้มแข็งขึ้น โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่กล้าวิพากษ์วิจารณ์ ทักท้วงและเรียกให้พรรคพวกออกมาช่วยกันลงมือแก้ไขปัญหาบ้านเมือง
เพื่อช่วยให้ประชาชนทุกสาขาอาชีพสามารถร่วมติดตาม ตรวจสอบการใช้งบประมาณและใช้อำนาจในการบริหารบ้านเมืองได้ง่ายและแม่นยำ ผ่านสมาร์ทโฟน แท็บเล็ตและคอมพิวเตอร์
องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ ได้ร่วมมือกับภาคเอกชนจำนวนมากสร้างนวัตกรรมจับโกงด้วยเทคโนโลยี เช่น ACT Ai เว็บไซต์ตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ, ACT Covid Ai เว็บไซต์ตรวจสอบการใช้งบโควิด, Build better life by CoST โครงก่อสร้างขนาดใหญ่ภาครัฐที่ใกล้ตัวประชาชน, ACT Ai Corrupt Zero คลังข้อมูลนักการเมือง, ACT Ai Connection ระบบตรวจจับสายสัมพันธ์คนโกง, Corruption Watch ประชาชนรายงานคอร์รัปชันเรื่องใกล้ตัว เป็นต้น
จุดอ่อนของข้อนี้คือ สภาพแวดล้อมทางธุรกิจและการติดต่อหรือใช้บริการของรัฐขาดความเป็นธรรมอยู่มาก การแสดงความคิดเห็นของประชาชนยังขาดเสรีภาพและการปกป้องอย่างเหมาะสมจากรัฐ
ไม่เข้าใจหรือมองแต่ผลประโยชน์
เราเคยเข้าใจกันว่า การมีกฎหมายที่เข้มงวดจำนวนมากจะทำให้คอร์รัปชันลดลง แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงหรือ? ลองทบทวนดูเรื่องการจ่าย “สินบนและรางวัลนำจับ” แก่เจ้าหน้าที่รัฐ เช่น กรณีผู้กำกับโจ้นายตำรวจที่จัดฉากชี้เบาะแสให้จับรถหรูที่ถูกลักลอบนำเข้า แต่ตนและพวกคือผู้รับสินบน/รางวัลนำจับ แล้วตามไปซื้อรถเหล่านั้นจากการขายทอดตลาด ทำเงินหลายต่อสบายๆ สรุปว่า กฎหมายกลายเป็นเครื่องมือของคนโกง วันนี้กฎหมายที่ยอมให้มีการจ่ายสินบนนำจับทั้ง 147 รายการ ยังคงถูกใช้กันต่อไป
ตรงกันข้าม กฎหมายสำคัญที่ทั่วโลกพิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์กลับถูกเตะถ่วงในบ้านเรา เป็นต้นว่า พ.ร.บ. ป้องกันการมีผลประโยชน์ทับซ้อน ตั้งแต่ปี 2550 พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารฯ ตั้งแต่ปี 2557 มาตรการควบคุมเจ้าหน้าที่ของรัฐมิให้รับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากบุคคลอื่น มาตรการทางภาษีและมาตรการให้เจ้าหน้าที่ของรัฐทุกคนต้องแสดงบัญชีทรัพย์สิน หรือแม้แต่ “มาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในระบบราชการ” ตามมติ ครม. เมื่อ 27 มีนาคม 2561 และ 28 ม.ค. 2563 ก็ไม่มีผลในทางปฏิบัติ
บทสรุป
เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นสองปัจจัยคือ “ความตื่นตัวภาคประชาชนและการเปลี่ยนแปลงระบบราชการ” ซึ่งเป็นพลังบวกในการต่อต้านคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นจริง แต่ยังน้อยไปและไม่เข้มแข็งพอจะต่อกรกับเหล่าคนโกง ดังนั้น เพื่ออนาคตของสังคมไทย เราทุกคนต้องมองไปข้างหน้า ช่วยกันผลักดันต่อไปให้ภาครัฐมีประสิทธิภาพสูงขึ้นไม่เป็นภาระกับสังคม
ดร. มานะ นิมิตรมงคล
เลขาธิการ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)
6/12/2565