"...ร่างที่ 7 สำคัญมากเช่นกัน เพราะหากทำได้สำเร็จจะเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในระบบเศรษฐกิจชุมชนและเศรษฐกิจฐานรากทั่วประเทศ อาจเป็นหนึ่งในทางเยียวยาวิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้น และที่มีความหมายอย่างมีนัยสำคัญยิ่งทางการเมืองด้วยก็คือร่างพระราชบัญญัตินี้เสนอโดยส.ส.พรรคฝ่ายค้าน พรรครัฐบาลแพ้โหวตในวาระที่ 1 โดยมีพรรคร่วมรัฐบาลบางส่วนโหวตให้ด้วย จึงน่าจับตาการลงมติวาระ 3 ในสภาผู้แทนราษฎร รวมทั้งระดับการตอบสนองจากวุฒิสภา..."
วันนี้เป็นวันแรกของครึ่งปีหลัง 2565
จากวันนี้จนถึงวันที่ 24 มีนาคม 2566 อันเป็นวันที่สภาผู้แทนราษฎรชุดปัจจุบันจะครบวาระ 4 ปี เหลือเวลากลม ๆ อยู่อีก 8 เดือน
ภาพรวมของการเมืองไทยในช่วง 8 เดือนนี้ถือว่าร้อนแรงทีเดียว
มาเปิดปฏิทินการเมืองดูกันโดยสังเขป
5-6 กรกฎาคม 2565 - ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับที่จำเป็นสำหรับการเลือกตั้ง และอาจจะต่อเนื่องไปถึงวันต่อไปหากยังไม่เสร็จ
13-17 กรกฎาคม 2565 - วันหยุดยาว
19-22 กรกฎาคม 2565 - อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี 11 คนในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร
24 สิงหาคม 2565 - นายกรัฐมนตรีดำรงตำแหน่งครบ 8 ปี
24-26 สิงหาคม 2565 - สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2566 วาระ 2 และ 3
29-30 สิงหาคม 2565 - วุฒิสภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2566 (วาระเดียว)
ระหว่างหลังจาก 22 กรกฎาคมถึงไม่เกิน 18 กันยายน 2565 - พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม 5 ฉบับ
18 กันยายน 2565 - ปิดสมัยประชุมรัฐสภาที่ 1/2565
1 พฤศจิกายน 2565 - เปิดสมัยประชุมรัฐสภาที่ 2/2565
18-19 พฤศจิกายน 2565 - ประชุมสุดยอดผู้นำเอเปค 2022
28 กุมภาพันธ์ 2566 - ปิดสมัยประชุมรัฐสภาที่ 2/2565
24 มีนาคม 2566 - สภาผู้แทนราษฎรชุดปัจจุบันครบวาระ 4 ปี รัฐธรรมนูญกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่ภายใน 45 วัน
ทั้งหมด เป็นปฏิทินโดยสังเขป
ต้องรอวันกำหนดวาระการประชุมของทั้ง 2 สภา และการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ให้ชัดเจนก่อนนะครับ แต่ที่ชัดเจนคือวันปิดและเปิดสมัยประขุมรัฐสภา วันครบวาระสภาผู้แทนราษฎร
ตามปฏิทินนี้เห็นได้ว่ามีด่านหินอยู่ 3 ด่าน และอีก 1 หลักชัยสำคัญ
ด่านที่ 1 ญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ด่านที่ 2 ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2566 วาระ 3
ด่านที่ 3 คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาจะสามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปตามรัฐธรรมนูญ 2560 หลังจาก 24 สิงหาคม 2565 แล้ว ได้หรือไม่ ถ้าได้ ได้ถึงเมื่อใด
ด่านที่ 1 และ 2 แม้จะไม่หินเกินไปนัก แต่ก็ประมาทไม่ได้
ด่านที่ 3 หินที่สุด และคาดการณ์ได้ยากที่สุด
เพราะด่านนี้ขึ้นอยู่กับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ โดยเชื่อว่าจะมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคฝ่ายค้านใช้สิทธิกันเข้าชื่อเสนอความเห็นผ่านประธานสภาผู้แทนราษฎรว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาครบ 8 ปีเต็มตามกำหนดรัฐธรรมนูญมาตรา 158 วรรคสี่ และมาตรา 264 แล้วตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2565 หากยังคงดำรงตำแหน่งอยู่หลังจากวันนั้นถือว่าขาดคุณสมบัติ
ความเห็นทางกฎหมายของกรณีนี้ เคยสรุปไว้แล้วว่ามีอย่างน้อย 3 แนวทาง แต่ละแนวทางล้วนมีเหตุผลรับฟังได้
มติของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะออกมาในแนวทางใดยังยากจะคาดการณ์
ส่วน 1 หลักชัยสำคัญของรัฐบาลคือการที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพประชุมสุดยอดผู้นำเอเปค ซึ่งมีความสำคัญมาก โดยเฉพาะช่วงหลังวิกฤตโควิด-19 ที่ผู้นำประเทศไม่ได้ไปเยือนเขื่อมสัมพันธ์กันโดยตรง การครั้งนี้จึงเป็นโอกาสอันดียิ่งโดยมีการวิเคราะห์กันว่าหากผ่านพ้นงานนี้ไปแล้ว รัฐบาลพร้อมยุบสภาผู้แทนราษฏร
ทั้งนี้ โดยไม่นับร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. … ที่กำลังพิจารณาอยู่ และร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับที่รอคิวพิจารณา 5-6 มิถุนายน 2565 มีร่างพระราชบัญญัติที่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงประเทศอย่างมีความหมายและนัยสำคัญอยู่ในกระบวนการพิจารณาของรัฐสภาในช่วงเวลาตั้งแต่หลัง 22 กรกฎาคม 2565 เป็นต้นไป อย่างน้อย 6-7 ฉบับ และร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม รอให้พิจารณาอีก 5 ฉบับ
1. ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. ….
2. ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการกำหนดระยะเวลาการดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรม พ.ศ. ….
3. ร่างพระราชบัญญัติมาตรการป้องกันการกระทำผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง พ.ศ. ….
4. ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. …
5. ร่างพระราชบัญญัติกัญชากัญชง พ.ศ. …
6. ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. … (สมรสเท่าเท่าเทียม) และร่างพระราชบัญญัติคู่ชีวิต พ.ศ. …
7. ร่างพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ …) พ.ศ. … (สุราก้าวหน้า)
ร่างที่ 1 และ 2 เป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศ พิจารณาโดยที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ขณะนี้รอเข้าสู่การพิจารณาในวาระ 2 และ 3
ทั้ง 2 ร่างไม่น่าจะมีปัญหา เขื่อว่าผ่านออกมามีผลบังคับใช้ได้แน่ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างใหญ่ที่จะเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่าเป็นการปฏิรูป
ร่างที่ 3 แม้เป็นร่างร่างพระราชบัญญัติทั่วไป พิจารณา 2 สภาทีละสภาตามปกติ แต่ก็ถือว่าเป็นมิติใหม่ที่มีความก้าวหน้า เป็นวิธีการเพิ่มความปลอดภัยแก่สังคมวิธีหนึ่ง ถือเป็นการปฏิรูปเช่นกัน ขณะนี้กรรมาธิการของวุฒิสภาพิจารณาใกล้เสร็จแล้ว รอนำส่งประธานวุฒิสภาเพื่อบรรจุระเบียบวาระเพื่อพิจารณาในวาระที่ 2 และ 3 ต่อไป แต่เนื่องจากคณะกรรมการของวุฒิสภาอาจแก้ไขเพิ่มเติมในประเด็นสำคัญบางประเด็น หากที่ประชุมวุฒิสภาลงมติเห็นด้วยกับกรมมาธิการ อาจมีผลให้สภาผู้แทนราษฎรไม่เห็นด้วย และต้องตั้งกรรมาธิการร่วมกันของ 2 สภา
เช่นเดียวกับร่างที่ 4 เพียงแต่ร่างนี้คณะกรรมาธิการของวุฒิสภายังพิจารณาไม่เสร็จ เพิ่งต่อเวลาออกไปอีก 30 วัน
ร่างที่ 5 - 7 เป็นร่างพระราชบัญญัติทั่วไปที่เป็นมิติใหม่เช่นเดียวกัน ขณะนี้อยู่ในชั้นกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎร หากผ่านสภาผู้แทนราษฎร 3 วาระแล้ว ยังจะต้องผ่านการพิจารณาของวุฒิสภาอีก 3 วาระด้วย
ร่างที่ 5 สำคัญมาก เพราะขณะนี้การปลดกัญชาออกจากยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 มีผลสมบูรณ์แล้วตั้งแต่เมื่อ 9 มิถุนายน 2565 ยังไม่มีกฎหมายกำกับควบคุมที่ครบถ้วนรอบด้าน ถือเป็นสุญญากาศอยู่ ร่างที่ 5 นี้คือกฎหมายกำกับควบคุมที่สามารถทำให้ครบถ้วนรอบด้านได้ หากมีผลใช้บังคับได้เร็วเท่าใด ก็จะเป็นการอุดช่องสุญญากาศได้เร็วเท่านั้น
ร่างที่ 7 สำคัญมากเช่นกัน เพราะหากทำได้สำเร็จจะเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในระบบเศรษฐกิจชุมชนและเศรษฐกิจฐานรากทั่วประเทศ อาจเป็นหนึ่งในทางเยียวยาวิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้น และที่มีความหมายอย่างมีนัยสำคัญยิ่งทางการเมืองด้วยก็คือร่างพระราชบัญญัตินี้เสนอโดยส.ส.พรรคฝ่ายค้าน พรรครัฐบาลแพ้โหวตในวาระที่ 1 โดยมีพรรคร่วมรัฐบาลบางส่วนโหวตให้ด้วย จึงน่าจับตาการลงมติวาระ 3 ในสภาผู้แทนราษฎร รวมทั้งระดับการตอบสนองจากวุฒิสภา
กล่าวโดยสรุป ร่างที่ 3 - 7 ทั้ง 5 ร่างนี้หากมีการยุบสภาก่อนครบวาระ มีโอกาสที่จะมีปัญหาเกิดขึ้นแน่นอน เพราะโดยเงื่อนเวลาแล้วกระบวนการพิจารณาอาจไม่ทัน มีผลให้ต้องตกไป
โดยเฉพาะกับบางร่างที่อาจยืดเยื้อถึงขั้นต้องตั้งกรรมาธิการร่วมระหว่าง 2 สภา
และคำว่า ‘บางร่าง’ ที่ว่านี้อาจหมายความว่าอย่างน้อยคือ 3 ใน 5 ร่างทีเดียว
ส่วนร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม 5 ฉบับนั้นได้รับการบรรจุอยู่ในระเบียบวาระการประชุมร่วมกันของรัฐสภาแล้ว ขอสรุปในชั้นนี้แต่เพียงสั้น ๆ ว่ามีอยู่ 1 ฉบับที่มีความหมายและนัยสำคัญยิ่ง โดยเป็นการเข้าชื่อเสนอของภาคประชาชนกว่า 6 หมื่นคนนำโดยนายสมชัย ศรีสุทธิยากร เสนอให้ตัดอำนาจของสมาชิกวุฒิสภาในการร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี
ผ่านหรือไม่ผ่าน มีผลโดยตรงต่อการเมืองไทยในอนาคตอันใกล้หลังการเลือกตั้งทั่วไปไม่ว่าจะโดยเหตุยุบสภาหรือสภาผู้แทนราษฎรครบวาระแน่นอน
คำนูณ สิทธิสมาน
สมาชิกวุฒิสภา