"...อีฟ เอ็กแมน (Eve Ekman) ผู้อำนวยการฝ่ายฝึกอบรม ประจำศูนย์สุขภาวะด้านจิตวิทยา สังคมวิทยา และประสาทวิทยา “Greater Good Science Center” มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย-เบิร์กลีย์ กล่าวถึงประโยชน์ของการผ่อนคลายทางอารมณ์ว่าจะช่วยให้สุขภาพดีขึ้น ที่สำคัญ ช่วยให้เราเกิดความคิดใหม่ ๆ เพราะในเวลาที่เรากำลัง “ไม่ทำอะไร” นั้น สมองเรายังคงประมวลผลข้อมูลต่าง ๆ แก้ไขปัญหาที่ยังค้างคา รวมทั้ง ยังสามารถเพิ่มความตระหนักรู้ในตนเอง มีเวลาวางแผนเป้าหมายให้ชีวิตในระยะยาวมากขึ้น..."
ในยุคสังคมสมัยนี้ ทุกอย่างดูยุ่งเหยิงวุ่นวาย ชีวิตต้องวิ่งแบบไม่หยุดยั้งกับกิจกรรมทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวทำให้ชีวิตไม่ได้หยุดนิ่งแม้แต่วินาทีเดียว แม้กระทั่งอยู่ในลิฟต์ขึ้นไปเพียงไม่กี่ชั้น หลายคนยังอดใจไม่ได้ต้องหยิบมือถือขึ้นมาอ่านข้อความ มีความรู้สึกว่า หากไม่ได้ทำอะไรจะรู้สึกผิด จนทำให้รู้สึกเครียด มีอาการเหนื่อยล้า จนกระทั่งมีภาวะหมดไฟ (burnt out) ในท้ายที่สุด
สำหรับชาวดัตช์ที่ถูกปลูกฝังให้ทำงานอย่างขยันขันแข็ง และเชื่อในการทำงานหนัก จึงไม่ค่อยเข้าใจต่อการใช้ชีวิตแบบชิล ๆ อย่างสุขสบายของชาวสแกนดิเนเวีย ที่เรียกว่า “ฮุกกะ” (Hygge) สำหรับชาวเดนมาร์ก และ “ลากอม” (Lagom)สำหรับชาวสวีเดน เช่น การรวมตัวของเพื่อนสนิทพร้อมจิบกาแฟและกินขนมเค้กอร่อย ๆ[1]
แต่ความคิดของชาวดัตช์ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาเริ่มเปลี่ยนไป พวกเขาโหยหาความสมดุลในชีวิตมากขึ้น จนเป็นที่มาของแนวคิดนี้เรียกว่า “นิกเซน” (Niksen) หรือพลังของการไม่ทำอะไรเลย อย่างไรก็ดี การนั่งเฉย ๆ มองออกไปนอกหน้าต่างสังเกตลมฟ้าอากาศที่เปลี่ยนไป หรือการพักบนเก้าอี้สักตัว นั่งเหม่อลอยไปโดยไม่ต้องคุยกับใคร เป็นการทำตัวค้านสายตาตัวเองเพราะพวกเราคงรู้สึกว่า กำลังทำตัวไม่มีคุณค่า ไม่ “productive” และเป็นบาปที่ไม่น่าให้อภัย แต่สำหรับแอนเนท ลาฟไรห์เซน (Annette Lavrijsen) ผู้เขียนหนังสือ “NIKSEN” (ศิลปะของการไม่ทำอะไรเลย) กลับมีความเห็นว่า “หากเราปล่อยตัวเองให้อยู่เฉย ๆ และลดความสนใจต่อโลกภายนอกให้มากขึ้น เราจะอยู่ในภาวะที่ “นิ่ง” และ “เงียบสงบ” ภาวะทางอารมณ์แบบนี้จะช่วยให้เราสามารถเคลียร์เรื่องราวที่ว้าวุ่นจิตใจ และกระตุ้นให้ได้ใช้เวลาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและมีเวลาว่างที่จะทำอะไรได้มากขึ้น” [2]
ปัจจุบัน ชาวดัตช์ทำงานเพียง 29.3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ นอนเฉลี่ย 8 ชั่วโมง 5 นาทีต่อคืน[2] แต่เนเธอร์แลนด์กลับเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 17 ของโลก มีรายได้ต่อประชากรสูงเป็นอันดับที่ 11 และถูกจัดให้เป็นประเทศที่มีความสมดุลด้านการทำงานและการใช้ชีวิต ประชากรมีความสุขที่สุดเป็นอันดับที่ 5 ของโลก แน่นอน ส่วนหนึ่งเกิดจากนำนิกเซนมาใช้กับชีวิตประจำวันมากขึ้น[3]
การเสาะหาเวลาที่จะ “ไม่ทำอะไรเลย” ดูเหมือนว่าง่าย ผมจึงแปลกใจว่าทำไมลาฟไรห์เซนจึงสามารถเขียนอธิบายแนวคิดนี้ออกเป็นตัวหนังสือได้หนาถึง 140 หน้า แต่เมื่อได้อ่านหนังสือจนจบเล่ม พบว่าในทางปฏิบัติ นิกเซนไม่ง่ายอย่างที่คิด การขอให้พวกเราไม่ทำอะไรเลย หาช่วงเวลาอยู่เฉย ๆ โดยไม่มีจุดประสงค์ใด ๆ เข้าสู่โหมดคล้าย ๆ กับฝันกลางวัน เป็นเรื่องยากมาก เพราะจิตใต้สำนึกของเราคงจะปฏิเสธ ไม่เชื่อเราลองนั่งเฉย ๆ ผมเชื่อมั่นว่าไม่เกิน 1 นาที พวกเราจะรู้สึกกระวนกระวายใจไม่สบายใจกลัวคนอื่นจะหาว่าเป็นคนเฉื่อย
ลาฟไรห์เซนเสริมว่า การจะทำให้เกิดนิกเซนนั้น เราต้องกล้าปฏิเสธพร้อมทิ้งความเชื่อที่ว่าต้อง “ยุ่ง” ตลอดเวลา การอยู่เฉย ๆ ไม่ได้แปลว่าขี้เกียจ หรือการพักเป็นเรื่องที่ไม่ดี รวมทั้งสลัดความกลัวว่าคนอื่นจะผิดหวัง คิดว่าเราเห็นแก่ตัว ลาฟไรห์เซนแนะนำว่าควรเริ่มต้นฝึกนิกเซนวันละ 2-3 นาที ฝึกให้เป็นนิสัย และค่อย ๆ เพิ่มเวลาไปเรื่อย ๆ ซึ่งการ “ไม่ทำอะไรเลย” ไม่ได้หมายความว่าการใช้เวลากับโทรศัพท์เล่นไลน์ เล่นวิดีโอเกมส์ หรือการดูหนัง ดูหนังซีรีย์ แต่เป็นช่วงที่อุทิศเวลาให้กับตัวเราคนเดียว เช่นการเดินเล่นในสวนโดยไม่พกโทรศัพท์ติดตัว หรือเก็บของที่รกรุงรังบนโต๊ะทำงาน ซึ่งนอกจากจะช่วยให้เราเข้าสู่โหมดนิกเซนแล้วยังจะทำให้เราได้จัดระเบียบการทำงานไปในตัวด้วย
อีฟ เอ็กแมน (Eve Ekman) ผู้อำนวยการฝ่ายฝึกอบรม ประจำศูนย์สุขภาวะด้านจิตวิทยา สังคมวิทยา และประสาทวิทยา “Greater Good Science Center” มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย-เบิร์กลีย์ กล่าวถึงประโยชน์ของการผ่อนคลายทางอารมณ์ว่าจะช่วยให้สุขภาพดีขึ้น ที่สำคัญ ช่วยให้เราเกิดความคิดใหม่ ๆ เพราะในเวลาที่เรากำลัง “ไม่ทำอะไร” นั้น สมองเรายังคงประมวลผลข้อมูลต่าง ๆ แก้ไขปัญหาที่ยังค้างคา รวมทั้ง ยังสามารถเพิ่มความตระหนักรู้ในตนเอง มีเวลาวางแผนเป้าหมายให้ชีวิตในระยะยาวมากขึ้น[2]
ลาฟไรห์เซนทิ้งท้ายไว้ว่า “นิกเซนเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ในชีวิตที่เรากดปุ่มพักชั่วคราวและถอนตัวออกมาจากงานและกิจกรรมสังคมในชีวิตประจำวัน ปล่อยให้ตัวเองเฉื่อยชาโดยไม่ต้องรู้สึกผิดหรือคิดถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ควรทำในช่วงเวลาดังกล่าว”
เรามาลองมาพิสูจน์ด้วยตนเองกันง่าย ๆ ด้วยการอยู่เฉย ๆ ไม่ทำอะไรเลย แบบหลบหลีกไปสู่พื้นที่ปราศจากความวุ่นวายนิกเซนอาจเป็นพลังช่วยให้เราได้ค้นพบกับการใช้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบมากขึ้น
แหล่งที่มา:
[1] workpointTODAY. 2022. รู้จักแนวคิด "Niksen" เมื่อการ "ไม่ทำอะไร" อาจช่วยให้เราเอาชนะความเครียดในช่วง work from home ได้. [online]
Available at: <https://workpointtoday.com/niksen-covid19/> [Accessed 20 March 2022].
[2] แอนเนท ลาฟไรห์เชน NIKSEN ศิลปะของการไม่ทำอะไรเลย อณรรขวีร์ เติมสิบสุข แปล พิมพ์ครั้งที่ 2 กรุงเทพฯ อมรินทร์ฮาวทู อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง 2565
[3] Th.wikipedia.org. 2022. ประเทศเนเธอร์แลนด์ - วิกิพีเดีย. [online] Available at: <https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B9%8C> [Accessed 20 March 2022].