"...การตรวจ ATK ที่เกินความจำเป็น ไม่สมเหตุผล ดังกล่าวไม่มีประโยชน์ ไม่ได้ช่วยให้ใครปลอดภัย เพราะ ATK ไม่ใช่เครื่องมือในการป้องกัน ATK เป็นลบไม่ได้เท่ากับไม่ติดเชื้ออยู่ การป้องกันโควิดที่ถูกต้อง คือการสวมหน้ากากอนามัย การรับวัคซีน การจัดสิ่งแวดล้อมให้อากาศถ่ายเท ในกรณีที่ต้องอยู่แบบแออัด..."
สถานการณ์ของโควิด 19 ในปัจจุบัน แตกต่างจากการแพร่ระบาดในปีผ่านมา โควิดสายพันธุ์โอมิครอนมีความรุนแรงน้อยกว่า คนส่วนใหญ่ได้รับวัคซีน หรือเคยติดเชื้อโควิดมาแล้ว วัคซีนช่วยลดการแพร่ระบาด ลดการเจ็บป่วยรุนแรง ลดการตาย ลดโอกาสการเกิดภาวะ Post COVID ถึงแม้จะยังคงมีคนที่ติดเชื้อ แต่ส่วนใหญ่ไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อย ซึ่งสามารถหายเองได้
สถานการณ์ของ “ตัวโรค” เปลี่ยน แต่ความกลัวความไม่เข้าใจของคนส่วนใหญ่ยังไม่เปลี่ยน การทำให้รู้สึกกลัวโควิดทั้งจาก สื่อและมาตรการต่างๆของรัฐ ตอกย้ำความไม่เข้าใจ นำไปสู่การรังเกียจ กีดกัน ผู้ติดเชื้อและครอบครัว ความไม่เข้าใจเรื่องการดูแลรักษา นำไปสู่การเข้าใช้บริการในระบบสุขภาพที่เกินความจำเป็นสร้างผลกระทบทั้งต่อผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการ
“การป้องกันที่ถูกต้องเหมาะสม ทำให้เราและคนอื่นปลอดภัย อยู่ร่วมกันได้ ไม่กลัว ไม่รังเกียจ ไม่สิ้นเปลือง ไม่สร้างขยะ”
โควิด 19 เป็นโรคติดต่อได้ในระบบทางเดินหายใจ โอกาสที่จะรับเชื้อหรือส่งเชื้อ คือ การอยู่ใกล้ชิดกันโดยไม่สวมหน้ากากอนามัย
การป้องกันที่ถูกต้อง และเพียงพอในการป้องกันโควิด คือ
1. สวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ใกล้ชิดกัน ถ้าถอดหน้ากากให้อยู่ห่างกัน 2 เมตร หรือเมื่ออยู่คนเดียว
2. การได้รับฉีดวัคซีนครบจะช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อและลดการแพร่เชื้อ
3. การล้างมือ เพราะมืออาจสัมผัสเชื้อ แล้วมาจับบริเวณใบหน้า (เป็นช่องทางที่มีโอกาสแต่พบได้น้อย)
การป้องกันที่เกินความจำเป็น ควรยกเลิก หรือไม่ควรทำ
1. การฉีดพ่นน้ำยา ตามสถานที่ต่างๆ หรือตามร่างกาย เพราะไม่มีประโยชน์ (เอกสารแนบ สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย)
2. การสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันตนเอง (ชุด PPE) ที่เกินความจำเป็น ในกิจกรรมบริการที่มีความเสี่ยงในการรับเชื้อน้อย เช่น การเคลื่อนย้ายศพ การเคลื่อนย้าย/รับส่งผู้ป่วย การเยี่ยมผู้ป่วยที่บ้าน/ชุมชน การให้บริการตรวจ ATK ในชุมชนซึ่งส่วนใหญ่ทำในที่โล่ง การให้บริการฉีดวัคซีนโควิด
3. การจัดการศพของผู้เสียชีวิตจากโควิด เช่น การใส่ถุงเก็บศพ ห้ามเปิดถุง ห้ามอาบน้ำศพ ฯลฯ ทำให้ศพของผู้เสียชีวิต ไม่ได้รับการจัดการตามความเชื่อทางศาสนา ซึ่งในความเป็นจริงแล้วโอกาสที่ศพจะแพร่เชื้อโควิดมีน้อยมาก
4. การให้พนักงาน หรือผู้ใช้บริการ ในห้องอาหารของโรงแรม ในเครื่องบิน ฯลฯ ต้องสวมถุงมือ เพราะเชื้อไม่ได้เข้าสู่ร่างกายทางผิวหนัง และการสวมถุงมือทำให้คนละเลยการล้างมือ
5. สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆของผู้ติดเชื้อโควิด ถูกจัดว่าเป็นขยะติดเชื้อ ต้องทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ หรือแยกทิ้ง แยกกำจัด
การป้องกันที่เกินความจำเป็นดังกล่าว เป็นสิ่งที่คนเห็นได้ทั่วไป และเห็นผ่านทางสื่อต่างๆ ทำให้ตอกย้ำความเข้าใจผิดและทำตามกัน โดยไม่ได้เข้าใจว่าเชื้อโควิดติดต่อทางไหน ติดต่ออย่างไร ผลกระทบที่สำคัญ “ความกลัว” นำไปสู่การรังเกียจ กีดกัน ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญของการใช้ชีวิตร่วมกันในชุมชนสังคม
การตรวจ ATK แบบสมเหตุผล ไม่สิ้นเปลือง ไม่เป็นภาระงบประมาณ ไม่สร้างขยะ แต่ทำให้คนที่ติดเชื้อโควิดได้รับการดูแลรักษาที่เหมาะสมคนที่ควรตรวจ ATK
1. ผู้สัมผัสเสี่ยงสูง* และเป็นผู้สูงอายุ หรือมีโรคประจำตัว หรือเป็นหญิงตั้งครรภ์ เป็นเด็กเล็ก
2. ผู้สัมผัสเสี่ยงสูงที่มีอาการของโควิด
* สัมผัสเสี่ยงสูง หมายถึง อยู่ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อโควิดโดยไม่สวมหน้ากากอนามัย
คนที่สัมผัสเสี่ยงสูงแต่ไม่ได้อยู่ใน 2 ข้อดังกล่าว ยังไม่จำเป็นต้องตรวจ ATK เหตุผลเพราะ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นบวก หรือ ลบ การดูแลหรือการปฏิบัติตัวไม่มีความแตกต่างกัน คือ ไม่จำเป็นต้องรับการรักษาใดๆ สิ่งที่ต้องปฏิบัติคือ การสวมหน้ากากอนามัย การแยกตัวจากคนอื่น และการสังเกตอาการตัวเอง การตรวจ ATK มีประโยชน์ ในคนที่สัมผัสเสี่ยงสูงและถ้าติดเชื้อจำเป็นต้องได้รับการรักษา การตรวจ ATK ที่เกินความจำเป็น ไม่สมเหตุผล ควรยกเลิก หรือหยุดทำ
1. การตรวจเด็กที่จะไปโรงเรียน /ไปสอบ
2. การให้พนักงาน หรือเจ้าหน้าที่ ตรวจเป็นประจำ
3. การตรวจก่อนเข้าใช้ ห้องประชุม สำนักงาน/อาคาร หรือเข้าพื้นที่
4. การให้ผู้ติดเชื้อตรวจซ้ำเพื่อเป็นการยืนยันว่าหายแล้ว
5. การตรวจแบบไม่มีข้อบ่งชี้ ตรวจเพราะกังวล
การตรวจ ATK ที่เกินความจำเป็น ไม่สมเหตุผล ดังกล่าวไม่มีประโยชน์ ไม่ได้ช่วยให้ใครปลอดภัย เพราะ ATK ไม่ใช่เครื่องมือในการป้องกัน ATK เป็นลบไม่ได้เท่ากับไม่ติดเชื้ออยู่ การป้องกันโควิดที่ถูกต้อง คือการสวมหน้ากากอนามัย การรับวัคซีน การจัดสิ่งแวดล้อมให้อากาศถ่ายเท ในกรณีที่ต้องอยู่แบบแออัด
การตรวจ ATK ที่เกินความจำเป็นมีสาเหตุมาจากความกลัว กลายเป็นเครื่องมือในการกีดกัน เลือกปฏิบัติ สร้างความแตกแยกของคนในชุมชนสังคม
การดูแลตนเองและการเข้ารับบริการในระบบสาธารณสุข ของผู้ติดเชื้อโควิด
ระบบการรักษาในปัจจุบัน คือ ให้ผู้ติดเชื้อที่เป็นสีเขียวไปรับบริการแบบผู้ป่วยนอกตามสิทธิการรักษา ผลกระทบของที่เกิดขึ้น คือมีผู้ติดเชื้อจำนวนมากไปโรงพยาบาล โดยคาดหวังจะได้รับการรักษา ซึ่งสร้างปัญหาให้กับผู้ให้บริการ ทั้งในด้านจำนวนผู้ป่วยที่มากเกินที่ระบบจะรับมือได้ และความคาดหวังของผู้ติดเชื้อโควิดที่จะต้องได้รับยาต้านไวรัส และต้องเข้านอนในโรงพยาบาล ซึ่งไม่สอดคล้องกับองค์ความรู้โควิดในปัจจุบัน
แนวทางการลดผลกระทบ และสร้างความมั่นใจในการใช้ชีวิตร่วมกับโควิดอย่างปลอดภัย
1. ตรวจ ATK เมื่อสัมผัสเสี่ยงสูงและมีปัจจัยที่เสี่ยงจะป่วยรุนแรง* หรือเมื่อมีอาการของโควิด เท่านั้น
2. สื่อสารทำความเข้าใจว่า คนที่ติดเชื้อโควิดและไม่มีปัจจัยที่เสี่ยงจะป่วยรุนแรง สามารถหายจากการติดเชื้อได้เองภายใน10 วัน นับไปจากวันที่เริ่มมีอาการ โดยไม่จำเป็นต้องรักษาด้วยยาต้านไวรัสใดๆ
3. คนที่ตรวจพบว่าติดเชื้อโควิด สิ่งแรกที่ต้องทำก่อนนึกถึงการไปโรงพยาบาลคือ
- ประเมินตนเองว่ามีปัจจัยที่เสี่ยงจะป่วยรุนแรงหรือไม่ ถ้าใช่ เข้าระบบการรักษาแบบ HI ซึ่งเป็นบริการแบบ Virtual Hospital หรือไปรพ. ตามความเร่งด่วนของอาการ
- กรณีไม่มีปัจจัยที่เสี่ยงจะป่วยรุนแรง สามารถดูแลเบื้องต้นตามอาการ สังเกตอาการ ถ้า 3- 4 วัน อาการไม่ดีขึ้น เช่น ยังมีไข้สูง จึงไปโรงพยาบาลตามสิทธิ
* ปัจจัยที่เสี่ยงจะป่วยรุนแรง หมายถึง
1) อายุเกิน 60 ปี
2) มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคหลอดเลือดสมอง ความดันสูง โรคอ้วน โรคไตเรื้อรัง มะเร็งระยะรักษา โรคปอดเรื้อรัง โรคหัวใจ โรคตับแข็ง ภูมิคุ้มกันต่ำ (เม็ดเลือดขาว< 1000)
3) หญิงตั้งครรภ์
4) เด็กอายุน้อยกว่า 1 ปี
4. ยกเลิกการที่ผู้ติดเชื้อโควิดต้องกักตัว ปรับเป็นการแยกตัว หมายถึงสามารถออกจากบ้าน ออกไปทำงาน ไปหาซื้ออาหาร ฯลฯ โดยต้องสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ใกล้ชิดคนอื่น ถ้าถอดหน้ากากให้เว้นระยะอย่างน้อย 2 เมตรจากคนอื่น
5. ยกเลิกการห้ามผู้ติดเชื้อโควิดใช้บริการขนส่งสาธารณะ เนื่องจากในการใช้บริการขนส่งสาธารณะทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัย ลดการพูดคุย ลดการกินอาหารในการใช้บริการอยู่แล้ว
กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายที่จะประกาศว่า “ โควิดเป็นโรคประจำถิ่น ” แต่หากคนยังคงไม่เข้าใจกลัวการอยู่ร่วมกับโควิด คงเป็นเรื่องที่สวนความรู้สึก และสร้างความสับสน ดังนั้นการหยุดการกระทำหรือยกเลิกมาตรการ ที่สร้างความกลัว ความเข้าใจผิด ควบคู่กับการสร้างความมั่นใจว่าสามารถใช้ชีวิตร่วมกับโควิดได้เป็นสิ่งสำคัญเร่งด่วน กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานภาครัฐต้องเร่งทำความเข้าใจกับบุคคลากร และทำให้เกิดแนวทางการปฏิบัติเป็นต้นแบบที่ถูกต้องกับคนในชุมชนสังคม
“เครือข่ายคอมโควิดเป็นเครือข่ายที่รวมตัวกันขององค์กรภาคประชาสังคมในช่วงวิกฤตโควิด-19 ระบาดในปี 2564 มีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ติดเชื้อโควิดเข้าถึงการรักษาที่รวดเร็วขึ้น โดยการพัฒนาศักยภาพของชุมชน ให้มีส่วนร่วมในการดูแลให้บริการผู้ติดเชื้อโควิดในชุมชน โดยยึดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง เพื่อเติมเต็มช่องว่างของบริการสุขภาพ นอกจากนี้ทีมคอมโควิดยังพยายามรณรงค์สร้างความเข้าใจกับสังคมเรื่องการอยู่ร่วมกับโควิด เพราะเราเชื่อว่าการสื่อสารด้วยความเข้าใจ ด้วยข้อเท็จจริง โดยไม่สร้างความหวาดกลัว และสนับสนุนให้สังคมมีข้อมูลที่ถูกต้อง จะนำไปสู่การป้องกันตัวเองอย่างมีเหตุผล ไม่ตื่นกลัวและ ลดการรังเกียจตีตราต่อผู้ติดเชื้อโควิด 19”