"...Joker จะไม่กลายเป็นปีศาจร้าย หากคนรอบข้างรับฟังและเข้าใจเขา อาเธอร์รู้ดีว่า คนป่วยทางจิตต้องการความช่วยเหลือ แต่ไม่มีใครสนใจปล่อยให้ต้องต่อสู้เพียงลำพัง คำพูดของอาเธอร์ที่กินใจที่สุดก่อนหนังจะจบมีว่า “ตลอดชีวิตของผม เหมือนกับไม่เคยได้อยู่บนพื้นโลกนี้ พึ่งจะมีตัวตนและได้รับการยอมรับก็เมื่อผมได้กลายเป็นปีศาจร้ายไปแล้ว” (For my whole life, I didn’t know if I even existed. But I do, and people are starting to notice.)..."
พวกเราคงจะมีซูเปอร์ฮีโร่อมตะในดวงใจจากการอ่านการ์ตูนหรือดูภาพยนตร์มาตั้งแต่สมัยเด็ก สำหรับผม “มนุษย์ค้างคาว” หรือ “Batman” การ์ตูนภายใต้ค่าย DC Comics ที่ถือกำเนิดมาเมื่อ 80 กว่าปีก่อนในปี 1939 น่าจะเป็นหนึ่งในฮีโร่ที่ชื่นชม แบทแมนเป็นเรื่องราวของบรูซ เวย์น ทายาทมหาเศรษฐีแห่งเมืองก็อตแธม (Gotham) ที่แปลงกายสวมใส่ชุดและหน้ากากค้างคาว แสดงตัวเป็นตำรวจนอกกฎหมายปราบเหล่าอาชญากร เพื่อแก้แค้นแทนบุพการีที่ถูกสังหารโหด อาชาญกรกลุ่มนี้มีโจ๊กเกอร์เป็นหัวหอก แม้จะไม่มีพลังพิเศษ แต่เป็นวายร้ายเต็มไปด้วยอสรพิษ มีอาการป่วยวิปริตทางจิต พอใจกับความสุขที่ทรมานผู้อื่นและคิดว่าเป็นเรื่องสนุกสนาน มนุษย์ค้างคาวต่อกรกับโจ๊กเกอร์มาอย่างยาวนาน จึงไม่น่าแปลกใจ ที่โจ๊กเกอร์จะกลายเป็นที่เกลียดชังของเหล่าบรรดาแฟนคลับแบทแมน
อย่างไรก็ดี ความคิดร้าย ๆ เกี่ยวกับโจ๊กเกอร์ได้พลิกผันไปอย่างสิ้นเชิงหลังจากผมได้ดูภาพยนตร์เรื่อง Joker ที่ Netflix นำกลับมาฉายอีกครั้งหนึ่ง หลังจากเข้าฉายในโรงภาพยนตร์เมื่อปี 2019 Joker เป็นหนังจิตวิทยาสะเทือนขวัญ สร้างโดยท็อดด์ ฟิลลิปส์ (Todd Phillips) เป็นภาพยนตร์ที่แฟนหนังทั่วโลกตั้งหน้าตั้งตาคอย วาคีน ฟินิกซ์ (Joaquin Phoenix) สวมบทบาทเป็นโจ๊กเกอร์ ตัวละครที่จะหานักแสดงมารับบทยากที่สุด ฟินิกซ์ แสดงอย่างสมจริงสมจังจนได้รับรางวัลออสการ์ปี 2021 ในฐานะนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 11 สาขา สามารถคว้ามาได้ 2 รางวัล คือนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม และรางวัลสาขาดนตรีประกอบยอดเยี่ยม ทั้งยังเป็นภาพยนตร์เรทอาร์ (Rate R) เรื่องแรกที่ทำรายได้เกิน 1 พันล้านดอลลาร์ สรอ. [1]
Joker หนังแนวดราม่าเป็นเรื่องราวชีวิตของอาเธอร์ เฟล็ค (Arthur Fleck) ชายวัยกลางคนที่หาเลี้ยงชีพแสดงเป็นตัวตลก เขาใฝ่ฝันว่าสักวันหนึ่งจะได้เป็นศิลปินตลกเดี่ยว แต่ด้วยมีปัญหาสุขภาพจิตไม่สามารถควบคุมเสียงหัวเราะของตัวเองได้ มักจะโพล่งหัวเราะออกมาในเวลาที่ไม่สมควร นับเป็นอุปสรรคสำคัญทำให้ความใฝ่ฝันดูจะมืดมน อาเธอร์อาศัยอยู่กับแม่ในอะพาร์ตเมนต์บริเวณแหล่งเสื่อมโทรมในเมืองก็อตแธมแม้ว่าแม่จะสอนให้ทำหน้ายิ้มไว้เสมอ (wear a happy face) แต่ไม่มีใครเข้าใจ ทุกคนมองด้วยสายตายิ้มเยาะ รังเกียจ ไม่อยากเข้าใกล้ อาเธอร์ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว แร้นแค้น ท่ามกลางความบีบคั้นจากการถูกกดทับทางสังคมที่เหลื่อมล้ำและระบบความยุติธรรมซึ่งล้มเหลว [2]
และแล้วสิ่งที่เลวร้ายที่สุดของชีวิตก็มาถึง เมื่ออาเธอร์ซึ่งเคยคิดว่าจะสามารถพึ่งพาคนใกล้ชิดที่ให้ความหมายในการดำรงชีวิตได้ กลับไม่เป็น เช่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นแม่ผู้พร่ำสอนให้คอยสร้างเสียงหัวเราะและความสุขให้กับโลก เพราะความเป็นจริงแม้ว่าลูกจะมีอายุเพิ่มมากขึ้นแค่ไหนก็ยังต้องการความรัก คำชมเชย กำลังใจ และคำปลอบใจจากแม่เสมอ และยังมีเมอร์เรย์ แฟรงคลิน (Murray Franklin) ศิลปินเดี่ยวไอดอลที่อาเธอร์ชื่นชมและหวังจะเจริญรอยตาม รวมทั้ง โทมัส เวย์น (Thomas Wayne) เศรษฐีใจดีที่ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีเมืองก็อตแธมและอาเธอร์เชื่อว่าเป็นพ่อแท้ ๆ ก็ปฏิเสธ การที่บุคคลทั้งสามต่างมองเขาในแง่ลบ ได้สร้างความผิดหวัง หมดความหมายต่อชีวิตภายในชั่ววันทุกอย่างจบสิ้น เป็น “วันแย่ ๆ เพียงวันเดียว” (One Bad Day) จึงเกิดระเบิดความรู้สึกเกรี้ยวกราด กระทำการรุนแรงประชดสังคม กลายเป็น อาชญากรตัวร้ายตั้งแต่นั้นมา
ภาพยนตร์เรื่อง Joker เป็นหนังที่ดูแล้วเครียด แต่ได้ให้ข้อคิดในหลาย ๆ แง่มุมโดยเฉพาะการยอมรับความจริงที่ว่า ผู้ป่วยทางจิตมีความยากลำบากในการใช้ชีวิตเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้น โอกาสจึงเป็นสิ่งสำคัญในการคืน “คุณค่า” และความเป็น “ตัวตน” ให้กับพวกเขาคำพูดของอาเธอร์ที่ว่า “สิ่งที่เลวร้ายที่สุดสำหรับผู้ป่วยทางใจ คือการที่ผู้คนรอบข้างคาดหวังว่าจะต้องใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติ” (The worst part about having a mental illness is people expect you to behave as if you don’t) น่าจะสะท้อนความรู้สึกนั้นได้ชัดเจน [3] คำถามสำคัญคือ ผู้ป่วยทางจิตจะเป็นอสูรร้ายได้แค่ไหน ถ้าหากสังคมมันเลวร้ายเกินเยียวยา
Joker จะไม่กลายเป็นปีศาจร้าย หากคนรอบข้างรับฟังและเข้าใจเขา อาเธอร์รู้ดีว่า คนป่วยทางจิตต้องการความช่วยเหลือ แต่ไม่มีใครสนใจปล่อยให้ต้องต่อสู้เพียงลำพัง คำพูดของอาเธอร์ที่กินใจที่สุดก่อนหนังจะจบมีว่า “ตลอดชีวิตของผม เหมือนกับไม่เคยได้อยู่บนพื้นโลกนี้ พึ่งจะมีตัวตนและได้รับการยอมรับก็เมื่อผมได้กลายเป็นปีศาจร้ายไปแล้ว” (For my whole life, I didn’t know if I even existed. But I do, and people are starting to notice.) [4]
คนมักจะเข้าใจว่า อยากเป็นอะไรก็ให้พาตัวเองไปถึงจุดนั้น อาจเป็นเรื่องง่ายสำหรับบางคน แต่บางคนไม่มีสิทธิเลือก เพราะสภาพแวดล้อมที่บีบบังคับ ดังนั้น การเอาใจเขามาสู่ใจเรา รู้สึกเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน มองเห็นคุณค่าของมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน ตั้งใจฟังและรับรู้ในสิ่งที่คนรอบข้างต้องการ นับเป็นข้อเตือนใจที่ผมได้รับจากการดูภาพยนตร์เรื่องนี้ครับ
แหล่งที่มา:
[1] Th.wikipedia.org. 2021. โจ๊กเกอร์ (ภาพยนตร์ พ.ศ. 2562) - วิกิพีเดีย. [online] Available at: <https://th.wikipedia.org)> [Accessed 19 December 2021].
[2] The Observing Mind. 2021. บทเรียนจากภาพยนตร์ Joker - อะไรคือความดี อะไรคือความเลว?. [online] Available at: <https://www.theobservingmind.co/joker-movie-review/> [Accessed 19 December 2021].
[3] update, g., 2021. 3 ข้อความสำคัญจากตัวละคร และ 5 ข้อคิดดี ๆ จากหนังเรื่อง JOKER. [online] GoodLife Update. Available at: <https://goodlifeupdate.com/lifestyle/178713.html> [Accessed 19 December 2021].
[4] FicQuotes. 2021. For my whole life, I didn't know if I even really ... - Joker Quotes. [online] Available at: <https://ficquotes.com/quotes/5969/> [Accessed 19 December 2021].