"...เลข 9 เป็นเลขมงคล คนไทยส่วนใหญ่ที่มีชีวิตอยู่ขณะนี้เกิดในรัชกาลที่ 9 และมีความภูมิใจที่จะประกาศว่า “ฉันเกิดในรัชกาลที่ 9” อัจฉริยะกษัตริย์ที่เขารักและเทิดทูนในฐานะที่ทรงเป็นมนุษย์สุดประเสริฐ ทรงเป็นทุนอันยิ่งใหญ่เพื่อสันติภาพโลก หากคนไทยร่วมกันใช้ทุนเพื่อสันติภาพที่ประเทศไทยมีมากกว่าชาติอื่น ขับเคลื่อนเขยื้อนโลกไปสู่สันติภาพได้ ก็จะเป็นการบูชาคนที่ควรบูชาดีที่สุด และเป็นการแสดงให้โลกเห็นว่า คนไทยมีศักยภาพที่จะเขยื้อนโลกได้ King Bhumibol International Peace Foundation จะจารึกอยู่ในหัวใจของคนทั้งโลก ชั่วฟ้าดินสลาย..."
โลกใหม่หลังโควิดคือโลกทั้งใบเป็นหนึ่งเดียวกัน
วิกฤตโควิดแสดงให้เห็นว่า โลกทั้งใบเป็นหนึ่งเดียวกัน
การเอาชนะโควิดต้องใช้ปัญญาและความร่วมมือ ไม่ใช่ใช้อำนาจ ความเป็นศัตรูก็ใช้ไม่ได้ การคิดอะไรเป็นเงินเป็นทองไปหมดก็ใช้ไม่ได้ เช่น ประเทศจะยากจนเพียงใดก็ต้องเข้าถึงวัคซีน เข้าถึงยา จะถูกทอดทิ้งเพราะไม่มีเงินไม่ได้ หัวใจเพื่อเพื่อนมนุษย์เข้ามาแทนที่การมุ่งค้ากำไร เพราะไม่ว่าประเทศใดล้วนเป็นส่วนขององค์รวมเดียวกัน เหมือนในร่างกายเดียวกันจะทิ้งให้ส่วนใดอดอยาก ขาดแคลน เน่าเปื่อยผุพังไม่ได้ เพราะจะกระทบองค์รวมทั้งหมด
ผลทางบวกใหญ่ที่สุดของวิกฤตโควิดคือ “การเปลี่ยนโลกทัศน์ – วิธีคิด – จิตสำนึก” ของมนุษย์ทั่วโลก
ที่ผ่านมามนุษย์มีโลกทัศน์ – วิธีคิด – จิตสำนึก เล็กและคับแคบ เห็นเป็นส่วนๆ หรือเห็นแยกส่วน ไม่เห็นว่ามนุษย์และสรรพสิ่งเป็นองค์รวมหนึ่งเดียวกันทั้งโลก คิดเป็นเขาเป็นเรา แยกข้างแยกขั้ว คิดเชิงปฏิปักษ์ ทำให้เกิดความขัดแย้ง ต่อสู้ แย่งชิง ผู้คนล้มตาย และลำบากยากเข็ญเหลือคณานับ เป็นสภาวะไร้สันติภาพ
ในขณะที่เด็กๆ หลายร้อยล้านคน ต้องอดอยากยากแค้นแสนลำเค็ญ ประเทศต่างๆ แข่งกันสะสมอาวุธจำนวนมหาศาล รวมทั้งหัวรบนิวเคลียร์ที่มีปริมาณมากที่จะทำลายโลกทั้งใบได้หลายเที่ยว ถ้าโลกมีสันติภาพไม่ต้องสร้างและสะสมอาวุธกันอย่างนี้ จะมีทรัพยากรและความรู้พอที่จะทำให้คนทุกคนบนโลกนี้กินอิ่ม นอนหลับ และปลอดภัย สุขภาวะกับสันติภาวะต้องไปด้วยกันหรือสิ่งเดียวกัน นั่นคือ Peace Is Health สันติภาพ คือ สุขภาพ
โลกสันติภาพ คือ อนาคตของมนุษยชาติ
โควิดทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้เป็นไปได้ นั่นคือมาเปลี่ยนจิตสำนึกของมนุษย์ให้เป็นจิตใหญ่ เห็นโลกทั้งใบเป็นองค์รวมหนึ่งเดียวกัน จิตสำนึกแห่งองค์รวมนำไปสู่บูรณภาพและดุลยภาพ ดุลยภาพคือสันติภาวะ หรือสันติภาพ
ฉะนั้นหลังโควิด มนุษยชาติควรมีความมุ่งมั่นร่วมกันสร้างโลกใหม่ที่เป็นโลกแห่งสันติภาพ
แล้วความขัดแย้งระหว่างอเมริกันกับโลกมุสลิม และการที่ตะวันตกพยายามสกัดกั้นจีน เล่า
ความขัดแย้งอย่างเข้ากระดูกดำระหว่างอเมริกากับโลกมุสลิม 1,500 ล้านคน จะคลายไปได้หรือ ประเทศตะวันตกซึ่งเคยครองโลกอยู่ก็กำลังวิกฤตกังวลกับการผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจของจีน และพยายามสกัดกั้นรวมทั้งสร้างความเกลียดชัง การรวมกลุ่มกันเป็น QUAD ก็ดี AUKUS ก็ดี คือรูปธรรมของความพยายามสกัดกั้น ที่เป็นเช่นนี้เพราะสัญชาตญาณเดิมคือ สัญชาตญาณของการแย่งชิงต่อสู้ ยังตกค้างอยู่ตั้งแต่สังคมดึกดำบรรพ์ที่เต็มไปด้วยอันตราย
สัญชาตญาณใหม่คือ ความรักและความร่วมมือ (Love and Collaboration) แทนที่จะคิดเชิงปฏิปักษ์ ประเทศต่างๆ ร่วมมือกันขจัดความยากจน สร้างสันติภาพ และความสมดุลของสิ่งแวดล้อม
หากทุกประเทศร่วมมือกันขจัดความยากจน สร้างสันติภาพ และความสมดุลของสิ่งแวดล้อม จะเกิดโลกใหม่ที่ไม่มีใครยากจนเลย มีการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสมดุล
ถึงเวลาที่จะต้องช่วยกันถอดถอนสัญชาตญาณแห่งความหวาดกลัว ชิงชัง แย่งชิง ต่อสู้ ด้วยกระบวนการสันติภาพ
ไทยมีทุนทางสันติภาพมากกว่าใคร
ประเทศใหญ่หรือราชสีห์มีทุนทางสันติภาพน้อย เพราะได้ใช้อำนาจไปในการสร้างความแค้นฝังใจไว้กับประเทศอื่น ประเทศเล็กอย่างไทยหรือหนูอาจช่วยราชสีห์ที่ติดบ่วงได้ เพราะมีทุนทางสันติภาพมาก ที่สำคัญที่สุดคือมีวัฒนธรรมแห่งความเป็นกันเอง ยืดหยุ่น ประนีประนอม ไม่หัวชนฝา หรือมีความแค้นฝังใจต่อใครแบบชนบางเผ่าบางชาติ ความยืดหยุ่นประนีประนอมและรู้เท่าทันสถานการณ์ ทำให้เป็นประเทศเดียวที่รอดจากการตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศมหาอำนาจตะวันตกที่มาล่าเมืองขึ้น ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านล้วนสูญเสียอธิปไตย
ความยืดหยุ่นประนีประนอมทำให้มีความสามารถในการเจรจาทางการทูตสูง ซึ่งแสดงให้ประจักษ์หลายครั้งหลายครา เมื่อเรือปืนอังกฤษเข้ามาในแม่น้ำเจ้าพระยาด้วยเจตนาน่าสงสัย ลอร์ดเฮย์กัปตันเรือได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจาก ร.4 ก็เปลี่ยนใจจากเจตนาร้ายกลายเป็นดี เมื่อเรือรบฝรั่งเศสมาทอดสมอในแม่น้ำเจ้าพระยาห่างจากพระบรมมหาราชวังนิดเดียว ทหารไทยยิงโชคดีที่ยิงผิดแต่ก็ก่อให้เกิดความตึงเครียดมาก เพราะฝรั่งเศสเจตนาให้เกิดการสู้รบแล้วถือโอกาสยึดประเทศไทย เสนาบดีต่างประเทศไทยขึ้นไปเหยียบเรือรบฝรั่งเศส เริ่มต้นฝ่ายฝรั่งเศสเครียดมาก แต่โดนสุนทรียวาจาของไทยสักพักก็อ่อนตัว ถึงกับยกไวน์มาเลี้ยงกันด้วยความเป็นมิตร ล้มเลิกความคิดที่จะยึดไทยเป็นเมืองขึ้น
เมื่อคืนวันสถาปนาพระบรมโอรสาธิราชในรัชกาลที่ 9 กลุ่มกันยายนทมิฬ (Black September) ยึดสถานทูตอิสราเอลในกรุงเทพฯ กลุ่มนี้มีประวัติมาก่อนว่าในการทำงานของเขาต้องมีผู้เสียชีวิต ไทยส่งทูตไปเจรจา ๓ คน มีเสธ.ทวี จุลละทรัพย์ พล.ต.ชาติชาย ชุณหะวัณ กับอีกท่านหนึ่ง กลุ่มนี้มีลูกล่อลูกชนและความเป็นกันเองสูงมาก จนสนิทกับผู้ก่อการร้ายมีการรับประทานอาหารด้วยกัน และขึ้นเครื่องบินไปส่งออกนอกประเทศโดยไม่ได้ฆ่าใครเลย
ในสงครามระหว่างรัฐกับพรรคคอมมิวนิสต์ไทยที่นักศึกษาปัญญาชนเข้าร่วม หลังกรณี 6 ตุลาคม 2519 ยิงกันไปยิงกันมา ไม่ช้าไม่นานมีคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523 ออกมา การสู้รบยุติทันทีเพราะเป็นคำสั่งที่พลิกความคิด พลิกว่าผู้ที่จับอาวุธขึ้นต่อสู้อำนาจรัฐไม่ใช่ศัตรูแต่เป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย เมื่อไม่ใช่ศัตรูก็ไม่มีอะไรจะรบกัน นักศึกษาปัญญาชนก็คืนเมืองมาเป็นนักวิชาการบ้าง เป็นนักการเมืองบ้าง เป็นนักธุรกิจบ้าง เป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติจริงๆ ผสมกลมกลืนกันไปหมด ทำได้อย่างสวยงามจริงๆ ไม่มีใครเหมือน แสดงให้เห็นทุนทางสันติภาพของไทย
ถ้าดูความขัดแย้งใหญ่ในปัจจุบัน คือ
1. ระหว่างสหรัฐอเมริกากับโลกมุสลิม 1,500 ล้านคน เป็นความแค้นฝังใจที่มีรากลึก ไม่มีทางประนีประนอมกันง่ายๆ เป็นเหตุให้เกิด 9/11 และความรุนแรงอื่นๆ
2. ระหว่างสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นเจ้าโลกกับจีน ซึ่งผงาดขึ้นมาทัดเทียมหรือกำลังแซงหน้า ปรกติเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้จะต้องเกิดสงครามใหญ่ สหรัฐและพันธมิตรตะวันตกก็กำลังพยายามสกัดกั้นจีนอย่างสุดกำลัง
ในความขัดแย้ง สหรัฐ – มุสลิม และ สหรัฐ – จีน เช่นนี้ ประเทศไทยอยู่ในฐานะพิเศษอย่างยิ่งคือ ด้านหนึ่งมีความสนิทกับจีนโดยสายเลือด จีนรักสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ประดุจองค์หญิงของเขา แต่ขณะเดียวกันไทยก็เป็นมิตรกับตะวันตก และเป็นมิตรกับโลกมุสลิม นี่ก็เป็นทุนทางสันติภาพที่ยิ่งใหญ่ของไทย ที่สามารถใช้ทุนนี้ที่คนอื่นไม่มีเท่า พุทธศาสนาก็เป็นทุนทางสันติภาพอันยิ่งใหญ่ของไทย ในการสร้างสันติภาพโลก เป็นโอกาสและความท้าทายต่อบทบาทใหญ่ของไทย ขนาดเขยื้อนโลกได้
“ประเทศไทยเหมาะแก่การที่นานาชาติจะมาคุยกันเรื่องสันติภาพ” พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.๙
ตลอดเวลา 70 ปี ทรงครองราชย์ พระเจ้าอยู่หัว ร.9 ทรงแสดงถึงอัจฉริยภาพและความเป็นคนดี ที่ดีที่สุดเท่าที่มนุษย์จะดีได้ ทรงเป็นสุภาพบุรุษและบุคคลสันติภาพ การที่ตรัสเกี่ยวกับประเทศไทยเช่นนั้น แสดงว่าทรงเล็งเห็นทุนทางสันติภาพของไทยและความเหมาะสมที่ “นานาประเทศจะมาคุยกันเรื่องสันติภาพ” พระเจ้าอยู่หัว ร.9 และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงเป็นบุคคลสันติภาพและเป็นทุนทางสันติภาพของประเทศไทยที่ยิ่งใหญ่
หลายสิบปีมาแล้ว ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล กับผมปรึกษากันว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล ทรงเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะทรงได้รับการถวายรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ แต่เมื่อมาคิดดูอีกทีไม่น่าจะดี เพราะผู้ที่ได้รับรางวัลสันติภาพที่ผ่านๆ มา ถึงจะทำเรื่องดีๆ ก็เป็นเพียงบางด้าน บางแง่มุม หรือเฉพาะกิจ เช่น หยุดยิง หยุดทิ้งระเบิด ไปไม่ถึงรากลึกของสันติภาพ งานของพระเจ้าอยู่หัว ร.9 ทั้งลึกทั้งครอบคลุมคือ ลึกถึงโลกกระทัศน์ วิธีคิด จิตสำนึก สติปัญญา การพัฒนาเศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุล เมื่อสมดุลก็จะมีความสงบหรือสันติภาวะ
พระเจ้าอยู่หัวภูมิพล จึงเป็นบุคคลสันติภาพเหนือรางวัลโนเบล ในวัฒนธรรมจีนถ้าใครทำอะไรดีๆ เขาจะยกให้เป็นเทพกราบไหว้บูชา ให้เรื่องดีๆ เข้าไปสู่จิตสำนึกของคนทั้งประเทศ ตามคติที่ว่านี้พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลก็ทรงเป็นประดุจเทพแห่งสันติภาพ ที่สามารถก่อความบันดาลใจในสันติภาพแก่โลกได้ ควรมีการตั้ง
King Bhumibol International Peace Foundation
มูลนิธิสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลเพื่อสันติภาพนานาชาติ
เป็นเครื่องมือให้ “นานาประเทศมาคุยกันเรื่องสันติภาพในประเทศไทย” ตามพระราชดำรัส
ถ้าประเทศไทยมีบทบาทใหญ่ในการขับเคลื่อนสันติภาพโลก จะเกิดผลดีหลายประการกับประเทศไทย หนึ่งจะเป็นการวางบทบาทของประเทศไทยไว้ที่ความเป็นกลาง ท่ามกลางความขัดแย้งใหญ่ในโลก ซึ่งทุกฝ่ายต่างพยายามหาพวก ถ้าเราถูกมองว่าเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งล้วนเป็นอันตรายต่อเรา หนึ่ง จะทำให้คนไทยเกิดความภาคภูมิใจว่าประเทศของตนสามารถทำเรื่องใหญ่ได้ ไม่ใช่ประเทศเด็กๆ ประเทศไทยมีทรัพยากรเพื่อการพัฒนามากแต่ขาดการคิดใหญ่ หนึ่ง โดยที่เรื่องสันติภาพเป็นเรื่องที่ลึกและครอบคลุมทุกมิติของมนุษย์ การมีบทบาทขับเคลื่อนสันติภาพโลก จะมีผลทำให้ประเทศไทยยกระดับการพัฒนาทุกมิติอย่างเชื่อมโยง ทำให้ประเทศออกจากการติดอยู่ในวิกฤตการณ์เรื้อรัง
สภาวัฒนธรรมไทย – จีนและส่งเสริมความสัมพันธ์ ก็เป็นทุนทางสันติภาพ
จีนเป็นประเทศที่สำคัญในการสร้างสันติภาพโลก
ในฐานะเป็นประเทศที่มีจำนวนพลเมืองมากที่สุด และกำลังผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจที่กำลังแซงขึ้นสู่อันดับ 1 ก่อให้เกิดความหวาดกลัวแก่มหาอำนาจที่ครองโลกมาแต่เดิม คือ สหรัฐอเมริกา และพันธมิตรชาติตะวันตก ซึ่งกำลังรวมตัวสกัดกั้น เสี่ยงต่อการเกิดสงคราม
จีนก็ประกาศซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า ไม่ต้องการทำสงครามเพราะมีบทเรียนทางประวัติศาสตร์มามาก โดยประกาศว่าเราจะแข็งแรงแต่ไม่ก้าวร้าว ถ้าดูตามลักษณะการลงทุนโครงสร้างขนาดใหญ่คือ Belt and Road Initiative ก็เชื่อว่าไม่น่าจะอยากทำสงคราม
หากตะวันตกต้องการทำสงครามแต่ฝ่ายเดียว ก็เหมือนตบมือข้างเดียวจะไม่ดัง ยุทธศาสตร์สันติภาพจึงน่าจะอยู่ที่ให้กำลังใจจีนในการรุกเพื่อสันติภาพ ลดความกลัวของพันธมิตรตะวันตก
ถ้าประเทศไทยจะมีบทบาทในการสร้างสันติภาพโลก สภาวัฒนธรรมไทย – จีนและส่งเสริมความสัมพันธ์ ซึ่งมีอดีตรองนายกรัฐมนตรี พินิจ จารุสมบัติ เป็นประธาน น่าจะเป็นทุนทางสันติภาพที่สำคัญอีกประการหนึ่งของไทย โดยร่วมสร้างวัฒนธรรมสันติภาพ (Peace Culture) คุณพินิจ จารุสมบัติ ก็เป็นผู้มีวิสัยทัศน์และความเป็นผู้นำสูง น่าจะเป็นกำลังขับเคลื่อนสันติภาพโลกได้ผู้หนึ่ง
หากสันติภาพคือสุขภาพ (PEACE IS HEALTH) PMAC ก็เป็นทุนทางสันติภาพที่ยิ่งใหญ่ของไทย
วิธีขับเคลื่อนเรื่องใหญ่ๆ วิธีหนึ่งคือ นำไปเชื่อมโยงกับโครงสร้างทางความคิด และการปฏิบัติที่เข้มแข็ง
เรื่องสุขภาพเป็นโครงสร้างทางความคิดและการปฏิบัติที่ใหญ่โตทั่วโลกและเข้มแข็ง แนวคิด Health For All ขององค์การอนามัยโลก หรือ Health and Well - Being of Mankind Around The World ของมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์เมื่อแรกตั้ง เป็นความคิดใหญ่ที่คนเห็นคุณค่าทั้งโลก โครงสร้างขององค์การอนามัยโลกครอบคลุมทั่วโลก โดยมีสำนักงานใหญ่ สำนักงานภูมิภาค สำนักงานในประเทศ สมาชิกทุกประเทศทั่วโลก และโครงสร้างของระบบสุขภาพในแต่ละประเทศ และเรื่องของบริการสุขภาพก็สัมผัสกับชีวิตของคนทุกคน ตั้งแต่ครรภ์มารดาจนถึงเชิงตะกอน วิกฤตโควิด-19 ก็ยิ่งทำให้คนทั้งโลกตระหนักรู้ถึงความสำคัญของระบบสุขภาพยิ่งขึ้น
สุขภาพคือทั้งหมด (Health is the whole)
ฉะนั้น แน่นอนว่า สันติภาพคือสุขภาพ (PEACE IS HEALTH)
สันติภาพหรือสันติภาวะเกิดจากบูรณาภาพและดุลยภาพ อะไรที่ไม่สมดุลจะวุ่นวาย ปั่นป่วน รุนแรง ความสมดุลทำให้เกิดความสงบ ความเป็นปรกติ และสุขภาวะ เพราะฉะนั้นความสงบหรือสันติภาวะกับสุขภาวะจึงเป็นเรื่องเดียวกัน ลองจินตนาการดูก็ได้ว่าถ้าโลกมีสันติภาพ ไม่มีการรบราฆ่าฟัน ผู้คนต้องล้มตาย บ้านแตกสาแหรกขาด ไม่ต้องสะสมอาวุธมูลค่ามหาศาล แต่ทุกประเทศร่วมมือกันในการขจัดความยากจน และความไม่เป็นธรรมต่างๆ ทรัพยากรและความรู้ที่มีร่วมกันทั้งโลกพอเพียงที่จะทำให้คนทุกคนที่เกิดมาบนโลกนี้ กินอิ่ม นอนหลับ และปลอดภัย
สุขภาพของคนทั้งมวล (Health For All) เป็นไปได้จริงๆ
ฉะนั้น สันติภาพจึงสำคัญยิ่งนักต่อสุขภาพ
ประเทศไทยมีทุนใหญ่ในระบบสุขภาพ ทุนระบบสุขภาพของไทยจึงเป็นทุนทางสันติภาพด้วย
นอกเหนือไปจากกระทรวงสาธารณสุข สถาบันการแพทย์ที่ทันสมัยและเป็นสากล สสส. สปสช. สวรส. สช. แล้ว ยังมีมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล (Prince Mahidol Award Foundation) ซึ่งมอบรางวัลระดับโลกให้แก่ผู้มีผลงานดีเด่นทางการแพทย์และสาธารณสุข ทำนองเดียวกับรางวัลโนเบล แต่กว้างกว่าทางด้านสาธารณสุข มูลนิธินี้ทำงานมากกว่า 20 ปี ด้วยมาตรฐานอันสูงยิ่ง หลายคนได้รับรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลก่อนได้รับรางวัลโนเบล ผู้ได้รับรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลคนหนึ่งไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก กระบวนการสรรหาและคัดเลือก ตลอดจนตัวผู้ได้รับรางวัลเอง ทำให้ประเทศไทยมีการเชื่อมต่อกับระบบสุขภาพทั่วโลก
นอกจากนั้นมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ยังจัดให้มีการประชุมนโยบายสุขภาพระดับโลกที่เรียกว่า PMAC (Prince Mahidol Award Conference) เป็นประจำทุกปี โดยมีผู้ร่วมจัดหลายองค์กร เช่น กระทรวงสาธารณสุขไทย องค์การอนามัยโลก มูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ มูลนิธิบิลและเมลินดาเกตส์ เป็นต้น ผู้นำนโยบายสุขภาพคนสำคัญๆ ทั่วโลกต่างมาร่วมประชุม ในการประชุม PMAC กระบวนการเตรียมประชุม การประชุม และเนื้อหาของการประชุม ทำให้ PMAC เป็นจุดเชื่อมโยงระบบสุขภาพทั่วโลก ผู้ประสานงานการประชุม PMAC คนสำคัญคือ นายแพทย์สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ ซึ่งมีความสามารถในการติดต่อเชื่อมโยงได้ทั่วโลก
เมื่อสันติภาพคือสุขภาพ PMAC จึงเป็นทุนยิ่งใหญ่ เพื่อการขับเคลื่อนสุขภาพโลก
King Bhumibol International Peace Conference (การประชุมสันติภาพนานาชาติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล)
เพื่อสนองพระราชดำรัสที่ว่า “ประเทศไทยเหมาะการที่นานาประเทศจะมาคุยกันเรื่องสันติภาพ” ควรจัดให้มี King Bhumibol International Peace Conference (KBIPC) ในประเทศไทยเป็นประจำ
โดยมีการตั้ง King Bhumibol International Peace Foundation มูลนิธิสันติภาพนานาชาติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล
ผู้ที่เหมาะจะดำเนินการจัดตั้งมูลนิธินี้คือ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ร่วมกับ มูลนิธิสิริวัฒนภักดี โดยมีนายฐาปน สิริวัฒนภักดี เป็นตัวแทน ดร.สุเมธ ในฐานะที่ทำงานโครงการในพระราชดำริอย่างใกล้ชิดเป็นเวลานาน และเคยมีดำริว่าพระเจ้าอยู่หัวน่าจะทรงได้รับการถวายรางวัลโนเบลสันติภาพ มูลนิธิสิริวัฒนภักดี ในฐานะที่ถวายเงินสมทบมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลเป็นประจำ จึงถือว่าเป็นผู้เห็นคุณค่าเรื่องนี้
PMAC และสภาวัฒนธรรมไทย – จีนและส่งเสริมความสัมพันธ์ อาจเป็นเจ้าภาพร่วมจัด หรือทำงานเชื่อมโยงในรูปใดรูปหนึ่ง นอกจากนั้น APRC (Asian Peace and Reconciliation Council) ที่ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย เป็นประธาน ก็อาจจะเชื่อมโยงกับงานของมูลนิธิสันติภาพนานาชาติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล ทางใดทางหนึ่ง
วิธีการขับเคลื่อนเรื่องสันติภาพโลก
1. จัดประชุมวิชาการสันติภาพนานาชาติในประเทศไทย เป็นประจำ
โดยเริ่มต้นเชิญนักวิชาการสันติภาพที่มีชื่อเสียงจาก 4 กลุ่ม คือ
• อเมริกัน
• โลกอิสลาม
• จีน
• รัสเซีย
(ร่วมกับไทย)
นักวิชาการสันติภาพไทยที่เหมาะจะดำเนินการประชุมนี้คือ ศาสตราจารย์ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ อาจารย์ชัยวัฒน์เป็นมุสลิมด้วย และเป็นนักวิชาการสันติภาพที่มีความลึกซึ้งอย่างยิ่ง และอยู่ในฐานะที่จะรู้จักนักวิชาการสันติภาพนานาชาติ ทั้งอเมริกัน ทั้งมุสลิม สำหรับจีนประธานสภาวัฒนธรรมไทย – จีนและส่งเสริมความสัมพันธ์ อาจช่วยได้
นักสันติภาพอาวุโสไทยก็ยังมีอีกหลายท่าน เช่น พิชัย รัตนพล, มาร์ค ตามไท, โคทม อารียา, พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์, วันชัย วัฒนศัพท์, สุริชัย หวันแก้ว, พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศ เป็นต้น
การที่สามารถจัดประชุมวิชาการสันติภาพระหว่าง อเมริกัน – มุสลิม – จีน – รัสเซีย ถ้าทำให้เป็น high profile จะส่งกระแสความเป็นกลางของประเทศไทยทันที เมื่อการประชุมนี้ได้รับความนิยม ก็ขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
2. เชื่อมโยงการประชุมสันติภาพกับ PMAC ให้ระเบียบวาระเรื่อง สันติภาพคือสุขภาพ ซึมซ่านเข้าไปสู่ระบบสุขภาพโลก และตีกลับมาเป็น All For Peace หรือ คนทั้งมวลเพื่อสุขภาพ
3. เครือข่ายสันติภาพและสุขภาพ ดำเนินการสร้างจิตสำนึกใหม่ (New Consciousness) จิตสำนึกเก่าที่เล็กและคับแคบนำไปสู่การคิดและทำแบบแยกส่วน ทำให้โลกเสียสมดุลและไร้ สันติภาพ จิตสำนึกใหม่เป็นจิตใหญ่ที่เข้าถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันของทั้งหมด (One Wholeness) เกิดความเป็นอิสระ ความสุข และไมตรีจิตอันไพศาลต่อเพื่อนมนุษย์และสรรพสิ่ง อันเป็นไปเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสมดุล
เมื่อจิตสำนึกเปลี่ยน โลกก็เปลี่ยน
เพราะฉะนั้น การสร้างจิตสำนึกใหม่คือปัจจัยสำคัญที่สุดสำหรับโลกใหม่ ซึ่งเป็นโลกแห่งสันติภาพ New Consciousness and Peace ต้องไปด้วยกัน
4. การพัฒนาอย่างสมดุล ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระเจ้าอยู่หัว ร.๙ เป็นไปเพื่อการพัฒนาอย่างสมดุล สันติภาวะ หรือสันติภาพเกิดจากการพัฒนาอย่างสมดุล โลกต้องการการพัฒนาใหม่ คือการพัฒนาอย่างสมดุล เพราะฉะนั้นกระบวนการสันติภาพ ต้องส่งเสริมการพัฒนาอย่างสมดุล ประเทศไทยต้องสร้างการพัฒนาอย่างสมดุลให้เป็นตัวอย่างที่ชาวโลกจะมาดูได้
5. เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้เรื่องสันติภาพ ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกปีละหลายสิบล้านคน ถ้าจัดระบบการเรียนรู้เรื่องสันติภาพให้เป็นที่น่าสนใจ เช่น พิพิธภัณฑ์แสงสีเสียงที่น่าตื่นตาตื่นใจ ก็เป็นโอกาสที่ชาวโลกจะมาเรียนรู้เรื่องสันติภาพปีละหลายสิบล้านคน
6. การเรียนรู้ร่วมกันของคนทั้งโลกด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เมื่อเป็นการขับเคลื่อนร่วมกันของคนทั้งโลก โดยเทคโนโลยีดิจิทัลสามารถสร้างแพลตฟอร์มที่เป็นการเรียนรู้ร่วมกัน (Interactive learning) ขนาดใหญ่ทั้งโลก เกิดจิตสำนึกใหม่และปัญญาร่วม (Collective wisdom) ขนาดใหญ่เพื่อสันติภาพ นวัตกรรมต่างๆ จะเกิดขึ้นจากการเรียนรู้ร่วมกันเป็นเครือข่ายทั้งโลก
7. มอบรางวัล King Bhumibol for Peace ให้ดีกว่ารางวัลโนเบลสันติภาพ
8. ความร่วมมือระหว่างศาสนาเพื่อสันติภาพ ศาสนาทุกศาสนาสอนเรื่อง ความเมตตาและการอยู่ร่วมกัน ไม่มีศาสนาใดเลยที่สอนว่าจงไปแข่งขันแย่งชิงกันอย่างเสรี ความเมตตาหรือมิตตะ ได้แก่ ความเป็นมิตรนำไปสู่การอยู่ร่วมกัน ความเมตตาและการอยู่ร่วมกันนำไปสู่สันติภาพ หัวใจของศาสนาทุกศาสนาคือสันติภาพ ศาสนาจึงเป็นพลังเพื่อสันติภาพ มีความพยายามส่งเสริมความร่วมมือระหว่างศาสนาโดยองค์กรต่างๆ อย่างหลากหลาย ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี อีกวิธีหนึ่งคือให้การขับเคลื่อนเรื่องความร่วมมือระหว่างศาสนา ให้เชื่อมโยงกับความเคลื่อนไหวอีก 7 เรื่อง ดังกล่าวใน 1 - 7 อันเนื่องมาจากมูลนิธิสันติภาพนานาชาติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล รวมกันเป็น 8 เรื่อง หรือมรรค 8 เพื่อสันติภาพโลก
องค์กรที่เหมาะที่จะประสานการขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างศาสนาเพื่อสันติภาพ อาจเริ่มต้นด้วย 3 องค์กร คือ มหาวิทยาลัยสงฆ์ 2 แห่ง ทั้งมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กับมูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ ที่มหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้ง 2 แห่ง มีปัญญาชนชาวพุทธที่เก่งๆ จำนวนมาก ส่วนมูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ โดยที่ท่านอาจารย์พุทธทาสได้พูดและเขียนเรื่องสันติภาพโลกเอาไว้เป็นอันมาก และอีกประการหนึ่งมูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาสฯ มี 4 อุบาสก ซึ่งมีคุณภาพสูงอันได้แก่
1) ศาสตราจารย์นายแพทย์วิจารณ์ พานิช ประธานคณะกรรมการมูลนิธิฯ
2) ดร.วิรไท สันติประภพ ประธานคณะกรรมการบริหารมูลนิธิฯ
3) นายแพทย์บัญชา พงษ์พานิช กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการมูลนิธิฯ
4) สันติกโร คนอเมริกันที่เคยบวชเรียนอยู่กับท่านอาจารย์พุทธทาส และเป็นศิษย์ที่เรียนรู้จากท่านอาจารย์พุทธทาสอย่างมากที่สุด กับมีความรู้ทางศาสนาสากลอีกด้วย
นายแพทย์วิจารณ์นั้นยังเป็นประธานคณะกรรมการรางวัลนานาชาติ มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล และประธานจัดประชุม PMAC ดังกล่าวในตอนที่ 6 ด้วย ดร.วิรไท นักเศรษฐศาสตร์ผู้เคยดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ย่อมมีวิสัยทัศน์โลกและทักษะในการจัดการ ส่วนคุณหมอบัญชาเป็นศิษย์ใกล้ชิดท่านอาจารย์พุทธทาส และผู้ริเริ่มตั้ง มูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาสฯ และเป็นผู้จัดการด้วย
ผมเรียกทั้ง 4 ว่าเป็น 4 อุบาสกสวนโมกข์ มีสมรรถนะที่จะทำการใหญ่ และการใหญ่ที่สุดในโลกคือ การสร้างสันติภาพโลก ชาวพุทธจงรวมกันเพื่อการนี้
ฉันเกิดในรัชกาลที่ 9
เลข 9 เป็นเลขมงคล คนไทยส่วนใหญ่ที่มีชีวิตอยู่ขณะนี้เกิดในรัชกาลที่ 9 และมีความภูมิใจที่จะประกาศว่า “ฉันเกิดในรัชกาลที่ 9” อัจฉริยะกษัตริย์ที่เขารักและเทิดทูนในฐานะที่ทรงเป็นมนุษย์สุดประเสริฐ ทรงเป็นทุนอันยิ่งใหญ่เพื่อสันติภาพโลก หากคนไทยร่วมกันใช้ทุนเพื่อสันติภาพที่ประเทศไทยมีมากกว่าชาติอื่น ขับเคลื่อนเขยื้อนโลกไปสู่สันติภาพได้ ก็จะเป็นการบูชาคนที่ควรบูชาดีที่สุด และเป็นการแสดงให้โลกเห็นว่า คนไทยมีศักยภาพที่จะเขยื้อนโลกได้ King Bhumibol International Peace Foundation จะจารึกอยู่ในหัวใจของคนทั้งโลก ชั่วฟ้าดินสลาย
ขอเสนอต่อเพื่อนคนไทยเพื่อพิจารณาตามสมควร