"...เรื่องนางปุณณทาสีอาจเปรียบเทียบได้กับลูกศิษย์ที่ขงจื๊อโปรดปรานคนหนึ่งชื่อ “เหยียนหุย” ซึ่งครอบครัวจนมากอาศัยอยู่ในตรอกซอยที่เป็นสลัม ชีวิตของเขายากเข็ญ แต่ลูกศิษย์ผู้นี้ก็มีความพอใจ ซึ่งบางคนอาจอ้างว่าความรวยความจนก็คือชีวิตและคนจนก็ต้องทนอยู่ไปวันๆ แต่ทว่าเหยียนหุยผู้นี้ได้รับความชมชอบนับถือไม่ใช่เพราะเขาทนได้กับภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ แต่เป็นเพราะทรรศนะของเขาต่อการดำรงชีวิตซึ่งคนทั้งหลายจะรู้สึกว่าวิถีชีวิตเช่นนี้ก็คือความยากลำบาก แต่สำหรับเหยียนหุยแล้ว เขารักษาทรรศนะที่เป็นรูปธรรมได้เสมอ ขงจื๊อจึงสรุปว่า บุคคลที่เป็น “ผู้เป็นเลิศ (เสียนเจ่อ) คือคนที่ไม่เคยให้วัตถุปัจจัยมากำหนดชีวิตของตนซึ่งทำให้เขาสามารถรักษาชีวิตอันสงบนิ่งได้”..."
.................................
ในวันพระราชเพลิงศพ ดร.มารวย ผดุงสิทธิ์ ในวันพฤหัสบดีที่ 21 ตุลาคม 2564 ที่วัดเทพศิรินทราวาส เวลา 17.00 นี้ มีหนังเล่มหนึ่งที่ทางท่านเจ้าภาพจะมอบให้ท่านผู้ที่มาในงานพระราชเพลิงศพ คือหนังสือชื่อว่า “ธรรมศาสตร์วินัยทางการเงินการคลังที่แท้จริงและกรณีศึกษาฟองสบู่ทางการเงินที่เกิดขึ้นในโลก” หนังสือเล่มนี้ผมได้เขียนขึ้นโดยได้รับคำแนะนำจากท่านดร.มารวย ผดุงสิทธิ์ ว่าในการสอนวิชากฎหมายการคลังของผมที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และมหาวิทยาลัยอื่นที่ผมได้ความรู้ในวิชานี้มาจากที่เคยทำงานร่วมกับดร.มารวย ผดุงสิทธิ์ ที่กองระบบบัญชีและการคลัง กรมบัญชีกลาง โดย ดร.มารวย ได้ให้ข้อคิดที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการสอนวิชานี้ว่า
“....เพียงนำรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวการเงินการคลังมาเป็นหลักในการสอนน่าจะ ยังไม่พอเพียง เพราะวินัยทางการเงินและการคลังที่เป็นแก่นที่แท้จริงมีอยู่ในธรรมของพระพุทธองค์และในทุกศาสนา ที่เป็น “อกาลิโก” ต่างกับที่บัญญัติไว้ในกฎหมายของรัฐที่บัญญัติขึ้นโดยมนุษย์ปุถุชนที่มีกิเลศมีการเปลี่ยนแปลงยกเลิกอยู่เสมอ....”
ในโอกาสเพื่อเป็นการรำลึกถึง ดร.มารวย ผดุงสิทธิ์ ผมขอนำบทความของพระเทพเวที (ฟื้น ชุตินธโร) สมณศักดิ์ครั้งสุดท้ายสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา ท่านผู้เป็นอุปัชณาย์ของผม ที่ปฏิบัติแนวสมถะ ไม่สะสมทรัพย์สินเงินทองที่ท่านได้มาจากการถวายจะมอบให้วัดทั้งหมด ท่านจะนั่งอยู่ในกุฎิเล็กๆ ใช้ครกตำหมากฉันบนเตียงไม้เป็นประจำ
บทความของท่านอยู่ในหนังสือชื่อว่า “องค์การพระพุทธศาสนา “ พิมพ์ในหนังสือของบริษัท สหธรรมมิก 2553 ผมขออัญเชิญ มาตอนหนึ่งเพื่อเผยแพร่ ดังนี้ ครับ
“.... การมีหน้าที่เสียภาษีให้แก่หลวงเป็นราชพลี มีนิทัสนะในชาดกที่เล่าไว้ว่า ได้แก่ “บ้านส่วย” อันเป็นสถานที่เก็บภาษีอากรที่มีมาแล้วในพุทธกาล(เปรียบได้กับหน่วยงานที่มีหน้าที่เกี่ยวกับเก็บภาษีในปัจจุบันของกระทรวงการคลัง เช่นกรมสรรพากร กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต: ผู้เขียน) ผู้ใดเป็นเจ้าของหรือมีอำนาจใน “บ้านส่วย”ที่จะต้องได้รับพระราชทานจากพระมหากษัตริย์ต้องเป็นผู้ที่มีความสื่อสัตย์สุจริตมีความชอบถึงขนาดเป็นที่ประสบพระราชอัธยาศัยจึงจะได้รับพระราชทาน “บ้านส่วย” ดังมีนิทัศที่เล่าไว้อย่างน่าใคร่ครวญเพื่อเป็นแนวทางพิจารณาวิเคราะห์วิจารณ์เรื่องความ “พอใจ” และ“กิเลส” ของมนุษย์ที่เป็น “นานาจิตตัง” ดังนี้
“ท่านปุโรหิตแห่งพาราณสีนอกราชการ กระทำความชอบขนาดเป็นที่สบพระราชอัธยาศัยของพระเจ้าพระพาราณสี จึงได้รับพระราชทานพรให้เลือกขอรับพระราชทานในสิ่งที่ตนประสงค์ได้ ท่านขอโอกาสกลับมาหารือกันดูก่อนว่าจะขอรับพระราชทานสิ่งใด เพื่อมิให้เป็นที่ขัดใจกันในระหว่างผู้อยู่ร่วมกัน เมื่อมาถึงบ้านแล้ว ท่านก็เรียกประชุมคนในบ้าน คือ ภรรยา ลูกชาย ลูกสะใภ้ และนางปุณณทาสี ตนเอ็งเป็นประทานในที่ประชุม ท่านปุโรหิตผู้เป็นประทาน เปิดประชุม กล่าวถึงที่ได้รับพระราชทานพรจากพระราชา ดำเนินอนุสนธิว่า เราจะขอรับพระราชทานอะไรถึงจะดี และเสนอขึ้นก่อนว่า
“เราจะขอรับพระราชทานบ้านส่วยจะเห็นเป็นอย่างไร”
ภรรยา “ดิฉันใคร่ขอรับพระราชทานรถเทียมโคนมสัก 100”
ลูกชาย “ผมใคร่จะขอรับพระราชทานรถเทียมม้าอาชาไนย”
ลูกสะใภ้ “ดิฉันใคร่ขอรับพระราชทานเครื่องประดับงามๆ”
นางปุณณาทาสี “ดิฉันใคร่ขอรับพระราชทาน ครกและสาก”
ท่านปุโรหิตไม่ได้รับความเห็นร่วมจากคนของตนเลย ความพอใจของท่านที่จะขอรับพระราชทาน “บ้านส่วย” ไม่อาจทำให้ผู้อื่นคล้อยตามได้ ครั้นจะถือความพอใจของตนเป็นประมาณก็จะเป็นเหตุทำลายความอยู่เย็นเป็นสุขอันเคยมีมาแต่ก่อน ท่านปุโรหิตต้องพิเคราะห์หนักในที่สุดไม่รู้จะชี้ขาดได้อย่างไร ต้องนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาถึงความพอใจที่ต่างกันนั้นๆ ดังนี้
“ ขอเดชะพระบารมีปกเกล้า
ข้าพระพุทธเจ้า จะรอรับพระราชทานบ้านส่วย
ภรรยา อยากรวยให้รับพระราชทานโคนมหนึ่งร้อย
ลูกชาย สำออยให้ขอรับพระราชทานรถม้าอาชาไนย
ลูกสะใภ้ อ้อนใหญ่ให้ขอรับพระราชทานอลังการดีๆ
นางปุณณาทาสี คะยั้นคะยอให้ขอรับพระราชทาน “ครกและสาก”
เป็นความยากล้นเกล้าล้นกระหม่อมอยู่แล้ว สุดแต่จะทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้า เถิดพระเจ้าข้า”
พระเจ้าพาราณสีทรงพระสรวล และพระราชทานให้ทุกอย่างแก่ทุกคน
จากเรื่องนี้แสดงว่า ความพอใจแล้วแต่อัธยาศัยของคน ความพอใจที่ประกาศออกมานั้นเป็นเครื่องส่องอัธยาศัย และความพอใจของคนในบ้านเดียวกัน อยู่ร่วมร่มไม้ชายคายังต่างกัน 5 คน เป็น 5 อย่าง หากกว้างกว่านั้น เป็นเมือง เป็นประเทศ เป็นโลก จะต่างกันประการไร?
อนึ่ง ผู้เขียนขออนุญาตมีความเห็นเพิ่มเติมว่า นางปุณณาทาสีเป็นผู้มีความต้องการตามอัตภาพของตนถึงขนาดคะยั้นคะยอเพียงขอรับพระราชทานเพียง “ครกและสาก” เท่านั้น ทั้งๆที่ถ้ามีความโลภหรือไม่มีความ “พอ”เหมือนเช่นบุคคลอื่นๆแล้วจะขอพระราชทานมากกว่านั้นก็ได้ จึงเป็นบุคคลน่าจะเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องสรรเสริญ เพราะเป็นผู้ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
เรื่องนางปุณณทาสีอาจเปรียบเทียบได้กับลูกศิษย์ที่ขงจื๊อโปรดปรานคนหนึ่งชื่อ “เหยียนหุย” ซึ่งครอบครัวจนมากอาศัยอยู่ในตรอกซอยที่เป็นสลัม ชีวิตของเขายากเข็ญ แต่ลูกศิษย์ผู้นี้ก็มีความพอใจ ซึ่งบางคนอาจอ้างว่าความรวยความจนก็คือชีวิตและคนจนก็ต้องทนอยู่ไปวันๆ แต่ทว่าเหยียนหุยผู้นี้ได้รับความชมชอบนับถือไม่ใช่เพราะเขาทนได้กับภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ แต่เป็นเพราะทรรศนะของเขาต่อการดำรงชีวิตซึ่งคนทั้งหลายจะรู้สึกว่าวิถีชีวิตเช่นนี้ก็คือความยากลำบาก แต่สำหรับเหยียนหุยแล้ว เขารักษาทรรศนะที่เป็นรูปธรรมได้เสมอ ขงจื๊อจึงสรุปว่า บุคคลที่เป็น “ผู้เป็นเลิศ (เสียนเจ่อ) คือคนที่ไม่เคยให้วัตถุปัจจัยมากำหนดชีวิตของตนซึ่งทำให้เขาสามารถรักษาชีวิตอันสงบนิ่งได้”