"...การที่วุฒิสมาชิกใช้อำนาจสรรหาให้ความเห็นชอบในตำแหน่งใดๆตามรัฐธรรมนูญที่ตกเป็นโมฆะเสียเปล่ามาแต่แรก เช่น นายกรัฐมนตรี ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ บางตำแหน่งในศาลปกครองและอีกหลายตำแหน่ง ก็ย่อมตกเป็นโมฆะคือความเสียเปล่าตามมาทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้แหละเรื่องนี้จึงไม่อาจส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญหรือองค์กรอิสระที่มาจากการสรรหาหรือความเห็นชอบของวุฒิสภาตีความวินิจฉัยได้..."
...................
ขณะนี้กำลังมีประเด็นถกเถียงความเป็นนายกรัฐมนตรีของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะดำรงตำแหน่งรวมกันแล้วเกิน 8 ปี ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 158ได้หรือไม่
ผู้เขียนได้เคยแสดงความเห็นไว้ในหลายบทความ รวมทั้งในสำนักข่าวอิศราว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มิได้มีฐานะเป็นนายกรัฐมนตรีมาแต่แรกตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ที่เป็นโมฆะคือความเสียเปล่า ด้วยเหตุผล ดังนี้
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 (ฉบับที่ 2) พุทธศักราช 2559 มาตรา 4 วรรคห้า บัญญัติไว้ ดังนี้
“การจัดให้มีการออกเสียงประชามติ ให้ออกสียงประชามติว่า จะให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญนั้นทั้งฉบับ....”
ตามกฎตรรกะประชาชนที่จะต้องออกเสียง “เห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ “ทั้งฉบับ” วิเคราะห์ตามหลักตรรกะได้ ดังนี้
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ที่มีทั้งหมด 279 มาตรา มีประเด็นที่เกี่ยวข้องนับเป็นร้อย ๆ กว่าประเด็นประชาชนผู้จะต้องออกเสียงลงประชามติที่จะต้องพิจารณา
ไม่ใช่เรื่องแปลกหากว่าบางประเด็น บางมาตราของร่างรัฐธรรมนูญ จะมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ถูกใจและไม่ถูกใจ
ไม่ใช่เรื่องแปลก หากว่าบางคนจะเห็นด้วยในบางมาตรา บางประเด็น และมีอีกบางประเด็นหรือบางมาตราที่ไม่เห็นด้วยในร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ และความจริงก็ควรที่จะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันในเรื่องนี้
แต่การที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 (ฉบับที่2) พุทธศักราช 2559 บัญญัติว่า “....ให้ออกเสียงประชามติว่าจะให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญนั้นทั้งฉบับ....”
ถ้าอ่านกันอย่างผิวเผิน ๆ ก็อาจนึกว่าเป็นเพียงพลความ แต่ความเป็นจริงแล้ว คำว่า “ทั้งฉบับ”
เป็นใจความที่เน้นไว้ในมาตรานี้อย่างชัดเจน
ข้อความ “ทั้งฉบับ” นี้ มีความชัดเจนอยู่ในบัตรการออกเสียงลงประชามติ (โปรดดูตัวอย่างบัตรการลงประชามติ)
แต่เป็นการบัญญัติให้ทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้หรือเป็นการพ้นวิสัยด้วยเหตุผลทั้งข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และหลักตรรกะ ดังนี้
ร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับที่จะประชาชนออกเสียงประชามติมีสองประเด็นคือประเด็นที่ 1 ได้แก่ “ให้ความเห็นชอบ หรือ ไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ....ทั้งฉบับ”
และประเด็นเพิ่มเติมในประเด็นที่ 2 ที่มีความว่า “ท่านเห็นชอบหรือไม่ว่า เพื่อให้การปฎิรูปประเทศเกิดความต่อเนื่องตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ สมควรกำหนด ไว้ในบทเฉพาะกาลว่า ในระหว่างห้าปีแรกนับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้ ให้ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี”
ในประเด็นที่ 2 นี้มีข้อสังเกตว่า ได้เพิ่มเติมเข้ามาภายหลังและแม้จะเป็นประเด็นเดียว แต่ก็ให้ความสำคัญวุฒิสมาชิก 250 คนที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน แต่มาจากการเสนอของนายกรัฐมนตรีคือพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่นเอง และรัฐธรรมนูญให้ถือว่าเป็น “ผู้แทนปวงชนชาวไทย” ซึ่งก็ขัดกับหลักตรรกะ คือการแสดงข้อความอันเป็นเท็จโดยรัฐธรรมนูญเพราะเป็นการบัญญัติในสิ่งที่ไม่ดำรงอยู่จริง
ขอย้อนกลับมาในประเด็นที่ 1 การให้ความเห็นหรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ “ทั้งฉบับ” ย่อมประกอบด้วย คำปรารภที่มี หมวด และส่วนต่างๆ และบทเฉพาะกาลด้วย
หมวดต่าง ๆ แต่ละหมวด ย่อมประกอบด้วยมาตราต่าง ๆ
มาตราต่าง ๆ แต่ละมาตรานั้น แต่ละมาตราย่อมประกอบด้วยวรรคต่าง ๆ
วรรคต่าง ๆ แต่ละวรรคนั้น แต่ละวรรคย่อมประกอบด้วยประพจน์หรือประโยค (Statement) ต่าง ๆ
ประพจน์ หรือ ประโยคต่าง ๆ แต่ละประพจน์หรือประโยคอาจเป็นสิ่งที่คนเห็นชอบหรือสิ่งที่คนไม่เห็นชอบ เป็นอย่างใดอย่างหนึ่งได้เท่านั้น
เป็นไปไม่ได้เลยที่ประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติ จะเห็นชอบ ทุกประพจน์หรือทุกประโยค ซึ่งก็คือทุกมาตรา จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเห็นชอบทุกหมวด ทั้งฉบับ
อีกทั้งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่เห็นชอบ ทุกประพจน์หรือทุกประโยค ซึ่งก็คือทุกมาตรา จึงเป็นไปไม่ได้ที่ไม่เห็นชอบทุกหมวด ทั้งฉบับ
บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญมาตราตรงนี้ จึงบัญญัติในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้หรือเป็นการพ้นวิสัย ผลคือการนั้นตกเป็นโมฆะ เพราะบัญญัติในสิ่งที่ไม่ดำรงอยู่จริง
ผลคือบัญญัติในสิ่งที่เป็นเท็จ ย่อมทำลายตัวเอง ใช้บังคับไม่ได้ ไม่ว่าผลการออกเสียงประชามติจะเป็นอย่างไร
พิจารณาจากกฎตรรกะ (Logic)
(1) สิ่งที่เป็นไม่ได้ คือสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ใครบัญญัติสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ คือผู้ที่บัญญัติสิ่งที่ไม่มีอยู่ จริง หรือบัญญัติความเป็นเท็จ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ที่มาจากบทบัญญัติ สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เฉพาะในส่วนดังกล่าวนี้ มาจากสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง นั่นก็คือรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในส่วนนี้มาจากบทบัญญัติความเป็นเท็จ ประกาศใช้เมื่อใด ก็เป็นเท็จเมื่อนั้น ย่อมไม่มีผลใช้บังคับได้
(2) ทั้งฉบับ คือ ทั้งเซต (set)
หมวด คือ อนุเซต (subset) ของทั้งฉบับ
มาตรา คือ อนุเซตของหมวด
ประพจน์หรือประโยค คือ อนุเซตของมาตรา
เห็นชอบหรือไม่เห็นชอบทั้งฉบับ = เห็นชอบหรือไม่เห็นชอบทุกประพจน์หรือทุกประโยค ซึ่ง มีเป็นร้อยๆ พันๆ ประพจน์หรือประโยค เป็นไปไม่ได้ หรือเป็นการพ้นวิสัยที่บุคคลจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบทุกประพจน์หรือทุกประโยค จึงเป็นไปตามหลักกฎหมายทั่วไปที่บัญญัติไว้ว่า
“การใดเป็นการพ้นวิสัย การนั้นเป็น “โมฆะ” คือความเสียเปล่ามาแต่แรก และผู้มีส่วนได้เสียคนใดจะยกความเสียเปล่าแห่งโมฆะกรรม ขึ้นกล่าวอ้างก็ได้”
เมื่อรัฐธรรมนูญ 2560 ตกเป็น “โมฆะ” คือความเสียเปล่าไปทั้งฉบับ ผลสำคัญจะเป็น ดังนี้
1. จะต้องมีการยกร่างขึ้นใหม่ทั้งฉบับแทนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มิใช่เพียงแก้ไขเพิ่มเติมบางมาตราเท่านั้น
2. เมื่อไม่มีรัฐธรรมนูญตาม 1. ใช้บังคับแล้ว ให้นำประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมาใช้บังคับ เช่นหมวดพระมหากษัตริย์ สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย สภาผู้แทนราษฎรซึ่งมีสมาชิกมาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดนตรง
3. พิจารณาโดยนัยยะตาม 1. และ 2. การมีวุฒิสภาจำนวนสองร้อยห้าสินคนจึงตกเป็น “โมฆะ” ตามรัฐธรรมนูญที่ตกเป็นโมฆะมาแต่แรก
การที่วุฒิสมาชิกใช้อำนาจสรรหาให้ความเห็นชอบในตำแหน่งใดๆตามรัฐธรรมนูญที่ตกเป็นโมฆะเสียเปล่ามาแต่แรก เช่น นายกรัฐมนตรี ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ บางตำแหน่งในศาลปกครองและอีกหลายตำแหน่ง ก็ย่อมตกเป็นโมฆะคือความเสียเปล่าตามมาทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้แหละเรื่องนี้จึงไม่อาจส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญหรือองค์กรอิสระที่มาจากการสรรหาหรือความเห็นชอบของวุฒิสภาตีความวินิจฉัยได้