“...ความรู้สึกขอโทษนี้มีอยู่ตลอดเวลาในใจ ขอโทษตลอดเวลา ที่มีการเสียชีวิตของทุกคน เสียใจยิ่งกว่าญาติตัวเองตายโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสียชีวิตที่เราเข้าไปดูแลไม่ทัน ทำไมจะไม่ขอโทษครับ ยิ่งกว่าขอโทษ แล้วก็พยายามทำทุกวิถีทางที่จะให้สถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้น...”
---------------------------------------------
หมายเหตุสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) : นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์พิเศษเมื่อวันที่ 23 ก.ค.2564 เพื่อชี้แจงข้อสงสัยในหลายเรื่อง โดยมีประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้
@ ไขปมจดหมายลับ'แอสตร้าเซนเนก้า'
นายอนุทิน กล่าวถึงกรณีแอสตร้าเซนเนก้ามีหนังสือถึงไทยเกี่ยวกับการเจรจาจัดซื้อวัคซีนโควิด ว่า จดหมายฉบับนี้เป็นจดหมายที่ไม่ได้เป็นทางการ เป็นจดหมายที่ระบุว่า ผู้บริหารของแอสตร้าเซนเนก้าส่งมาขอบคุณประเทศไทยที่ได้สนับสนุนให้เขาตั้งโรงงานสายการผลิตในประเทศไทยได้ และเขาก็สามารถที่จะจัดส่งวัคซีนให้กับคนไทยได้ตามกำหนด
ส่วนกรณีที่เอกสารระบุตารางเวลาการสั่งซื้อวัคซีนของแต่ละประเทศ ที่พบว่าไทย สั่งซื้อเดือน ม.ค.2564 และ พ.ค.2564 นายอนุทิน ชี้แจงว่า เป็นวันที่เขาบันทึกลงไปในสารบบของเขา แต่รัฐบาลไทยได้ลงนามไปตั้งแต่วันที่ 27 พ.ย.2563 ที่มีพิธีลงนามที่ทำเนียบรัฐบาล โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีประธานของแอสตร้าเซนเนก้าจากอังกฤษร่วมลงนามผ่านวีดีโอคอนเฟอเรนซ์ ส่วนงานเอกสารคือ กว่าเขาจะส่งกลับมาใช้เวลาอีก 2 เดือนกว่า
“อันนี้เป็นระบบของเขา ไม่เกี่ยวกับเรา แต่สำหรับเราออเดอร์คอนเฟิร์มเรียบร้อยแล้ว ส่วนอีก 35 ล้านโดสที่เขียนว่าเดือน พ.ค.2564 เอกสารเราส่งไปตั้งแต่เดือน มี.ค.2564 เช่นเดียวกันครับ ใช้เวลาในกระบวนการของเขา 2 เดือน ถึงจะส่งเอกสารกลับมาที่เรา”
ส่วนกรณีที่มีการระบุตัวเลขการฉีดวัคซีนในไทย 3 ล้านโดส นายอนุทิน กล่าวว่า ในเอกสารพยายามบอกว่า ตอนที่เจอกันเมื่อ 7 ก.ย.2563 มีคนของท่านรัฐมนตรี ซึ่งไม่รู้ว่าใครด้วยนะ ไม่ได้ระบุชื่อ บอกว่าประเทศไทยฉีดได้เดือนละ 3 ล้านโดส แต่เขาส่งมาให้ถึง 6 ล้านโดส ในทางการตลาดหรือเป็นการบลัฟกัน เพื่อให้บอกว่าเขาได้ทำมากกว่าที่เราต้องการ
“ผมโทรไปถาม country manager ของเขา ผมบอกว่า ฉันไม่เคยได้ยินเลยนะว่าใครพูด 3 ล้านโดส เขาก็บอกว่า เขาโน้ตเอาไว้ ผมก็เลยบอกว่า โน้ตไว้แบบนี้ไม่ได้ เพราะวันที่ 7 ก.ย.2563 ที่พบกัน นั่นคือการพบกันครั้งแรก ระหว่างผมกับผู้บริหารแอสตร้าเซนเนก้า ไม่ใช่เป็นการเจรจาใดๆทั้งสิ้น คือแค่จับมือ ทำความรู้จักกัน และยังไม่รู้ว่าจะมีการทำสัญญาใดๆหรือไม่”
นายอนุทิน ยืนยันว่า ในจดหมายที่ตอบกลับไปได้ยืนยันว่า ไทยต้องการวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 10 ล้านโดสต่อเดือน เนื่องจากจดหมายจากแอสตร้าเซนเนก้าระบุว่า จะจัดส่งให้ไทย 5-6 ล้านโดสต่อเดือน
นายอนุทิน ชี้แจงที่มาฐานคิดการฉีดวัคซีน 10 ล้านโดสต่อเดือน ว่า เป็นแผนการฉีดมาจากกรมควบคุมโรค ก่อนมีโควิด กรมควบคุมโรคฉีดวัคซีนสูงสุดในแต่ละปีประมาณ 8 ล้านโดส แต่สำหรับสถานการณ์โควิด เราก็นับจำนวนประชากร นับความเร่งด่วนของสถานการณ์ให้อธิบดีกรมควบคุมโรคไประดมทุกอย่างให้มากที่สุด ประเมินว่าฉีดได้ประมาณ 8 ล้านโดสต่อเดือน จึงได้มีการกำชับไปว่า ต้องวางแผนฉีดให้ได้ 10 ล้านโดสต่อเดือน
เมื่อถามถึงเสียงเรียกร้องให้ใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ.2561 เพื่อระงับการส่งออกแอสตร้าเซนเนก้า หรือไม่ นายอนุทิน ตอบว่า แล้วต้องดูสถานการณ์ ดูว่าเขามีความบกพร่องหรือตั้งใจที่จะไม่ส่ง เขากลั่นแกล้งอะไรเราหรือไม่ แต่ที่ผ่านมา 2 เดือน เขายังทำตามข้อตกลง ภายใต้ขอบเขตของสัญญาจัดซื้อจัดหาทุกประการ
“มาตรการมันง่ายครับ เซ็นหนังสือฉบับเดียวก็มีผล บริษัทผลิตวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลก ถ้าเราไปทำอะไรเขามาก ไปบีบเขามากไม่ได้ ถ้าไปบีบปุ๊บ เดี๋ยวประเทศอื่นเขาบีบด้วย เขาอาจจะบอกขอยกเลิกสัญญาและยังไม่นับรวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน ทุกประเทศในภูมิภาคนี้มีความต้องการวัคซีนโควิด ถ้าเราไปบล็อกตรงนั้น เขาก็จะมากดดันประเทศไทยทันทีในหลายๆเรื่อง ทุกวันนี้กรมควบคุมโรคบอกแล้วว่าฉีดได้เดือนละ 10 ล้านโดส เราก็หาได้ใกล้เคียงทุกครั้ง เอามามากก็ฉีดไม่ไหว แล้วก็เอามาดองเก็บไว้ ก็ไม่ได้”
(ข่าวประกอบ : (คลิป) ISRA TALK อนุทิน ชาญวีรกูล : ไขปมจดหมายลับ'แอสตร้าเซนเนก้า')
@ ทำไมต้องวัคซีน ‘ซิโนแวค’ ?
นายอนุทิน อธิบายเหตุผลที่ไทยใช้วัคซีนซิโนแวค ว่า ถ้าไม่มีซิโนแวคเนี่ย วันนี้ประเทศไทยปั่นป่วนกว่านี้เยอะ เพราะสัญญาจัดซื้อวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า จะส่งครั้งแรกต้นเดือน มิ.ย.2564 แต่เมื่อเดือน ธ.ค.2563 มีเหตุการณ์ระบาดที่จังหวัดสมุทรสาคร และได้ใช้เวลา 2 เดือนในการหาวัคซีนที่จะมาจัดการสถานการณ์เฉพาะตรงนั้น และมีซิโนแวครายเดียวที่สามารถส่งวัคซีนให้ได้ เดือน มี.ค.2564 เป็นที่มาของการจัดส่งซิโนแวค 2 แสนโดส เมื่อวันที่ 28 ก.พ.2564 จากนั้นจึงเจรจาเพิ่มได้ 2 ล้านโดส ที่จัดส่งระหว่างเดือน มี.ค.-เม.ย.2564
“2 ล้านโดสของซิโนแวคนี่ล่ะครับ มาฉีดให้กับบุคลากรแพทย์ด่านหน้าก่อน 2 เข็มและบุคคลที่มีความเสี่ยงสูง หลังจากนั้นมีการติดเชื้อในโรงพยาบาล ผู้ที่ได้รับวัคซีนซิโนแวค 2 เข็ม ถึงแม้จะติดเชื้อ แต่ไม่มีใครมีอาการรุนแรงหรือไม่มีใครเสียชีวิต แล้วก็ซิโนแวคเป็นวัคซีนที่ครอบคลุมสายพันธุ์อัลฟ่า สายพันธุ์อู่ฮั่น สายพันธุ์ยุโรปได้ดี ซึ่งในขณะนั้นเดลต้ายังไม่มาครับ เดลต้าเพิ่งมากินประเทศไทย พ.ค.2564”
เมื่อถามถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ให้ยกเลิกใช้ซิโนแวค นายอนุทิน กล่าวว่า ตนต้องฟังคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ต้องฟังคณะกรรมการวิชาการที่อยู่ภายใต้คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ซึ่งคือผู้ที่ให้แนวทาง ให้ข้อคิด ให้ข้อเสนอในการบริหารจัดการวัคซีน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยจะฉีดสลับวัคซีนใช่ไหม เข็ม 1 คือ ซิโนแวค เข็ม 2 คือ แอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งคณะกรรมการวิชาการได้ไปทดสอบ แล้วผลปรากฎว่าจะสร้างภูมิได้สูงมาก เพิ่มประสิทธิภาพรับมือกับสายพันธุ์เดลต้าได้มากกว่าเดิม ดังนั้นการฉีดซิโนแวคและแอสตร้าเซนเนก้าในอัตราเท่ากัน นั่นหมายความว่าต้องมีการจัดหาซิโนแวค
ส่วนกรณีทีมีการตั้งข้อสังเกตว่า มีการกินหัวคิวกันในการจัดหาวัคซีน นายอนุทิน กล่าวยืนยันว่า ปกติเวลามีหัวคิว ต้องเป็นการซื้อผ่านนายหน้า ซื้อผ่านบริษัท หรือ ตัวกลาง ซึ่งก่อนที่เราจะซื้อซิโนแวค หรือ ซิโนฟาร์มปีที่แล้ว มีแต่คนวิ่งเข้ามาบอกว่าตัวเองเป็นเอเยนต์ของบริษัทพวกนี้ ต่อมาจึงพบว่าไม่เป็นความจริง
“ผมและท่านอธิบดีกรมควบคุมโรค มีความสัมพันธ์ที่ดีกับท่านรักษาการแทนเอกอัครราชทูต สถานทูตจีนประจำประเทศไทย ท่านหยาง ซิน ใครจะมาอย่างไรก็แล้วแต่ ต้องโทรหาทูตก่อน ท่านบอกว่า เท่าที่ทราบซิโนฟาร์มกับซิโนแวค ไม่เคยแต่งตั้งใครเป็นตัวแทนในประเทศไทย ฉะนั้นคนที่เขามาหาผม ภาษาปัจจุบันคือ ทิพย์ ทั้งหมด เป็นตัวแทนทิพย์”
นายอนุทิน กล่าวถึงเบื้องหลังการเจรจาซื้อวัคซีนซิโนแวค 2 แสนโดสแรก เพื่อนำมาแก้ไขสถานการณ์ที่สมุทรสาคร ว่า อธิบดีและรองอธิบดีกรมควบคุมโรค ต้องการให้หาวัคซีนมาประคับประคองสถานการณ์ ตนจึงได้โทรศัพท์ทูตจีน ต่อมาจึงได้รับการประสานให้กระทรวงสาธารณสุขได้พบกับตัวผู้บริหารซิโนแวคที่อยู่ต่างประเทศ จนยืนยันว่าเขาสามารถจัดส่งให้ไทย 2 เดือนหลังจากที่มีการเจรจา
“นั่นคือเร็วที่สุดแล้ว เราหายี่ห้ออื่น ไม่มีเลยสักคนเดียวที่จะจัดให้ประเทศไทยได้ การจัดซื้อทั้งหมด เป็นการจัดซื้อโดยหน่วยงานของรัฐ คือองค์การเภสัชกรรม เพราะเขาไม่ขายให้กับภาคเอกชน ไม่ขายให้กับตัวแทน เขาขายให้กับภาครัฐเท่านั้น องค์การเภสัชกรรมต้องเป็นผู้ซื้อ ต้องเป็นผู้จดทะเบียน และองค์การเภสัชกรรมก็เป็นผู้ติดต่อกับซิโนแวคโดยตรงไม่มีตัวกลาง ไม่มีเอเยนต์ จากนั้นถึงมาขายต่อให้กับกรมควบคุมโรค เพราะฉะนั้นอยู่ในระบบปิดอยู่แล้วครับ ไม่มีจุดไหนที่จะมีทางรั่วได้เลย”
นายอนุทิน กล่าวด้วยว่า องค์การเภสัชกรรมก็คงไม่สามารถให้หัวคิวปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้ เพราะปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรมด้วย และกว่าจะซื้ออะไรได้ก็ต้องผ่านสำนักงานอัยการสูงสุดตรวจร่างสัญญา ต้องผ่านตน และผ่านคณะรัฐมนตรี มีการตรวจสอบถ่วงดุล และมีความโปร่งใสทุกอย่าง
“ผมว่าในกระทรวงสาธารณสุขวันนี้ ไม่มีใครคิดถึงผลประโยชน์หรอกครับ คนที่ประชาชนคิดว่าจะมีผลประโยชน์ที่สุดคือนักการเมือง ผมก็คือนักการเมืองคนหนึ่งในกระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่มีโควิดมานะครับ ผมยังไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่นเลย นอกจากคิดว่าจะทำอย่างไรให้มีวัคซีนมาให้ประเทศไทย”
(ข่าวประกอบ : (คลิป) ISRA TALK อนุทิน ชาญวีรกูล : ทำไมต้องวัคซีน 'ซิโนแวค' ?)
@ ทำไมกีดกัน'วัคซีนทางเลือก'?
นายอนุทิน กล่าวถึงประเด็นการแต่งตั้งคณะกรรมการวัคซีนทางเลือกที่ไม่มีชื่อตนเองในโครงสร้างดังกล่าว ว่า ถือเป็นความกรุณาของท่านนายกรัฐมนตรี ที่ดีดตนออกไปจากตรงนั้น เพราะว่าท่านอาจจะเห็นว่าตนแข็ง ไม่ตามใจผู้ประกอบการ เพราะไม่ต้องการเห็นภาคเอกชน มาค้ากำไรในเรื่องของวัคซีน
“มีคนขอให้ผมเซ็น ขอให้ผมอนุมัติให้ภาคเอกชนใช้ได้ แต่เขาไม่ขายครับ เขาไม่ขายให้ภาคเอกชน คือบริษัทวัคซีน ผู้ผลิตวัคซีน ไม่ขายให้กับภาคเอกชน พูดแล้วภาคเอกชนไม่เข้าใจ ก็คุณหมอที่เป็นข่าวนี่ล่ะครับ ที่บอกว่าเป็นเพื่อนพ่อผม ไม่เคยเข้าใจ ท่านก็ไปกดดันท่านนายกรัฐมนตรี ท่านนายกรัฐมนตรี ท่านต้องประสานทุกคน อันนี้เข้าใจ เพราะคนละบทบาทกัน”
นายอนุทิน กล่าวย้ำว่า ในฐานะ รมว.สาธารณสุข ต้องดูในเรื่องของสุขภาพที่ดีที่สุดของประชาชน แต่นายกรัฐมนตรี ต้องดูภาคเอกชนด้วย เศรษฐกิจด้วย นายกรัฐมนตรีเคยถามว่า จะทำอะไรได้บ้างหรือไม่ ตนเองยืนยันว่า ทำไม่ได้ จึงเป็นเหตุให้นายกรัฐมนตรีตั้งคณะกรรมการวัคซีน ที่มี นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร เป็นประธาน
“ท่านตั้งผมเข้าไป ผมก็ไปค้าน ถูกไหมครับ ไม่มีผมก็ดีแล้ว และก็ไปหาวิธีทำมา ถ้าหาช่องทางออกได้ ผมก็ไม่ค้าน จึงกลายเป็นออกมาว่าให้วัคซีนบางอันเป็นทางเลือกไป”
@ ผอ.สถาบันวัคซีนฯขอโทษประชาชน เป็นความเห็นส่วนตัว
นายอนุทิน กล่าวถึงกรณีที่ นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ออกมาขอโทษประชาชน เนื่องจากจัดหาวัคซีนไม่เพียงพอต่อสถานการณ์ ว่า ท่านบอกว่าอันนั้นคือความเห็นส่วนตัว ตนคิดว่าท่านมีความเครียด ตนจึงเรียน นพ.นครไปว่า ถ้าเป็นความเห็นส่วนตัว ต้องไปลงในเฟซบุ๊ก ไม่ควรใช้เวทีของกระทรวงสาธารณสุขมาแถลง เพราะนั่นคือความเห็นส่วนตัว
“ซึ่งผมต้องเคารพนะ ท่านจะคิดอย่างไรก็ได้ ท่านเป็น ผอ.สถาบันวัคซีนแห่งชาติ แต่ว่าในฐานะผู้อำนวยการ และสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ท่านจะใช้ความเห็นส่วนตัวมาแถลง ในสถานที่ที่จะแถลงให้ประชาชนทราบไม่ได้ อันนี้ผมทำความเข้าใจกับท่านแล้ว ท่านก็เข้าใจแล้ว ท่านบอกว่า ท่านถูกกดดันว่าทำไมเท่าไรก็ไม่พอสักที ท่านก็เลยรู้สึกว่ามีความเครียด ก็เลยตัดสินใจขอโทษประชาชน”
@ ทิศทางการเข้าร่วม‘โคแวกซ์’ของไทย
นายอนุทิน กล่าวถึงทิศทางที่ไทยจะตัดสินใจเข้าร่วมโคแวกซ์หรือไม่ ว่า ปีนี้ไม่ได้เข้าร่วม ส่วนปีหน้าไม่รู้ อย่างที่ ผอ.สถาบันวัคซีนแห่งชาติบอกว่า ปีหน้าอาจจะเข้าร่วมโคแวกซ์ ท่านมารายงานบอกว่าที่พูดไปอย่างนั้นไม่ได้หมายความว่าปีนี้ตัดสินใจผิด แล้วปีหน้าถึงจะเข้าร่วม แต่ท่านไปทราบข่าวมาว่า ผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่ๆของโลก อาจจะถูกนานาชาติบังคับว่าไม่ให้ขายแต่ละประเทศ แต่ต้องขายผ่านโคแวกซ์ทุกประเทศ ถ้าเป็นอย่างนั้นเราก็ต้องเข้าโคแวกซ์
“ทุกวันนี้ในปีนี้ โคแวกซ์เพิ่งส่งวัคซีนไปได้ทั้งหมด ถ้าผมจำไม่ผิด 137 ล้านโดสให้กับ 136 ประเทศ ถ้าเฉลี่ยแล้ว ทุกประเทศได้ประเทศละ 1 ล้านโดส ประเทศไทยตอนนี้วัคซีนเข้ามา 20 กว่าล้านโดสแล้วนะครับ สำหรับไทยมีประชากร 70 ล้านคน เราได้วัคซีนมาขนาดนี้ ไม่ถือว่าเราช้า ไม่ได้ถือว่าเราไร้ประสิทธิภาพ”
@ กางแผนจัดหาวัคซีน 220 ล้านโดสใน 2 ปี
สำหรับแผนการจัดหาวัคซีน 220 ล้านโดสภายใน 2 ปี นายอนุทิน กล่าวว่า ของปี 2564 รับรองหมดแล้ว ปีนี้มีไฟเซอร์ รวมถึงโมเดอร์นาที่เอกชนซื้อ และซิโนฟาร์มที่จัดหาโดยราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ คาดว่าจะได้ไม่ต่ำกว่า 7-8 ล้านโดส และมีแอสตร้าเซนเนก้า 61 ล้านโดส ส่วนซิโนแวคก็ยังต้องสั่งซื้อต่อไป
“ชอบหรือไม่ชอบก็แล้วแต่ เรายังขาดวัคซีนซิโนแวคไม่ได้ เพราะต้องนำมาใช้คู่กับแอสตร้าเซนเนก้า ซิโนแวคตอนนี้เรามีความสามารถจัดหา ถ้าเขาไม่เปลี่ยนนโยบายก่อน เขากันการผลิตให้เราเดือนละ 7 ล้านโดส”
นายอนุทิน กล่าวถึงแผนการจัดหาวัคซีน 220 ล้านโดสใน 2 ปีที่เฉพาะปี 2565 ต้องจัดหา 120 ล้านโดส ว่า ขณะนี้ สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ได้ออกจดหมาย หรือ Letter of Interest ไปที่โมเดอร์นา เพื่อแสดงความจำนง ว่าไทยยินดีที่จะพิจารณาซื้อวัคซีนโมเดอร์นา 20 ล้านโดสสำหรับปีหน้า สำหรับตนได้ไปกราบเรียนนายกรัฐมนตรี รัฐต้องเข้าได้ทุกที่ เอกชนมาที่รัฐไม่ได้ แต่รัฐไปได้หมด เพราะเราเป็นรัฐ นอกจากนั้นยังส่งจดหมาย Letter of Interest ไปที่ไฟเซอร์ จำนวน 50 ล้านโดส ส่งให้แอสตร้าเซนเนก้า 50 ล้านโดส และส่งให้จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน 10 ล้านโดส ส่วนซิโนแวค ถ้าเขายังขายให้เราอยู่เดือนละ 7 ล้านโดส คิดว่าอยู่ในวิสัยที่ทำได้
@ ยืนยันไม่เล่นการเมืองเรื่องวัคซีน
นายอนุทิน กล่าวยืนยันว่า เมื่อมาทำหน้าที่เป็น รมว.สาธารณสุข ถือว่าไม่มีพรรคใดๆทั้งสิ้น การกระทำอะไรทั้งหลาย เป็นไปตามเหตุ ตามผล ตามสถานการณ์ ส่วนเรื่องที่จะไปมักง่ายว่า เป็นหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ต้องไปจัดสรรวัคซีนให้จังหวัดที่มี ส.ส.พรรคภูมิใจไทย เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีอยู่ในหัวแม้แต่น้อย และไม่มีสมาชิกพรรคคนไหนกล้ามาหา เพื่อมาขอวัคซีนแน่นอน
“ทุกคนเขารู้ครับ ว่านี่ไม่ใช่เวลาเอาเรื่องนี้ไปหาเสียง ยิ่งเอาไปอาจจะยิ่งเจ๊งก็ได้นะ เพราะฉะนั้นตรงนี้ไม่ได้เป็นประเด็นเลย การจัดสรรวัคซีน ผมเป็นคนเสนอท่านนายกรัฐมนตรีเองว่า ผมรับไม่ไหวครับ ทุกคนมาที่นี่หมด ทุกคนใหญ่หมดครับ ทุกคนอยากจะขอวัคซีนก่อนคนอื่นหมด ผมจึงขอให้ ศบค.เป็นหัว เป็นประธานในการบริหารจัดการส่งวัคซีนทั่วประเทศ”
นายอนุทิน กล่าวด้วยว่า ตามหลักของกฎหมาย เมื่อส่งวัคซีนไปแต่ละจังหวัด แต่ละพื้นที่ คนที่ต้องรับผิดชอบคือผู้ว่าราชการจังหวัด และ นพ.สาธารณสุขจังหวัด หากพื้นที่ไหนมีความสับสนอลหม่านต้องไปหาผู้ว่าราชการจังหวัด
“เรื่องผลประโยชน์ ต้องกราบเรียนตรงๆ ว่า ไม่มีผลประโยชน์ใดๆ ทั้งในเรื่องของเงิน ในเรื่องของการหาเสียง ถ้าคิดว่าการทำวัคซีนนี้ ถ้าเอามาเป็นเรื่องการเมืองแล้วเราจะได้คะแนนเสียงเพิ่มมากขึ้น ผมคิดว่า ยิ่งเอามาทำการเมืองนะ ยิ่งตาย ถ้าเราเอาชีวิตประชาชนมาเสี่ยง เพื่อให้ได้ ส.ส.เพิ่มมากขึ้น ผมว่าถ้าเป็นอย่างนี้ เป็นผู้บริหารบ้านเมืองไม่ได้ อย่าว่าเป็นเลย เป็นอะไรก็ไม่ได้ เป็นคนยังไม่ได้เลย”
(ข่าวประกอบ : (คลิป) ISRA TALK อนุทิน : ทำไมกีดกัน'วัคซีนทางเลือก'?-ปีหน้ารัฐนำเข้า'โมเดอร์นา'เอง)
@ ระบบสาธารณสุขยังไม่ล่มสลาย
นายอนุทิน กล่าวยืนยันว่า ระบบสาธารณสุขยังไม่ถึงจุดที่ล่มสลาย และยังห่างจากจุดนั้นเยอะ โดยผู้คนส่วนใหญ่ยังเข้าถึงยา ส่วนที่ยังเข้าไม่ถึง ถ้าวัดกันจริงๆ ยังอยู่ในสถานะที่แก้ไขได้ ขณะที่การตั้งโรงพยาบาลสนาม ปรับสถานะมาดูแลผู้ป่วยสีเหลือง ไม่ใช่สีเขียว และจะมีโรงพยาบาลสนามอีกมาตรฐานหนึ่งที่ยกระดับให้มีไอซียู มีออกซิเจน มีอุปกรณ์ช่วยชีวิตพร้อมอยู่ในนั้น
“ประเทศไทยที่จะบอกว่าไม่รักษาเลย ให้คนแก่ตาย คนหนุ่มรอด ทำไม่ได้ครับ ให้หมอทำ เขาก็ไม่ทำครับ เพราะอย่างนั้นเราต้องบริหารจัดการ จัดวัคซีนไปให้ท่านเหล่านี้ให้มากที่สุดก่อน เพื่อที่จะหวังว่าท่านเหล่านี้จะไม่แสดงอาการหนัก เมื่อไม่แสดงอาการหนัก ก็ไม่ครองเตียง และเตียงก็จะเปิดสำหรับคนที่อาการหนักจริงๆเท่านั้น”
นายอนุทิน กล่าวด้วยว่า ในส่วนกระทรวงสาธารณสุขเอง เราตั้งโรงพยาบาลสนามบุษราคัม แบ่งเบาจำนวนผู้ป่วยได้มาก นอกจากนั้นยังได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชนให้สถานที่เป็นโรงพยาบาลสนาม เราก็ยังดูแลเขาได้ เขาไปร่วมกับ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) นอกจากนั้นเรายังให้รัฐมนตรีแต่ละท่านที่มีบารมีอยู่ตามจังหวัดภูมิลำเนา นำตัวผู้ป่วยกลับไปรักษาพยาบาลจากกรุงเทพฯ อีกด้วย
“เราก็พยายามทำเต็มที่นะครับ เพราะงั้นผมคิดว่า เวลาไปดูการบ่น การอะไรในเฟซบุ๊ก เราฟังครับ เรายอมรับ ทุกคนเครียด แล้วทุกคนต้องระบาย ตรงไหนเป็นจุดที่ดีเราก็ฟัง แต่ว่า ไม่ได้หมายความว่าล่มสลาย ทุกคนยังทำงานอย่างเต็มที่”
@ ความรู้สึกขอโทษมีอยู่ในใจตลอดเวลา
เมื่อถามว่ามีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า ที่ผ่านมารัฐบาลบริหารผิดพลาด และไม่เคยขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้น นายอนุทิน ตอบสวนทันทีว่า “ความรู้สึกขอโทษนี้มีอยู่ตลอดเวลาในใจ ขอโทษตลอดเวลา ที่มีการเสียชีวิตของทุกคน เสียใจยิ่งกว่าญาติตัวเองตายโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสียชีวิตที่เราเข้าไปดูแลไม่ทัน ทำไมจะไม่ขอโทษครับ ยิ่งกว่าขอโทษ แล้วก็พยายามทำทุกวิถีทางที่จะให้สถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้น”
เมื่อถามย้ำว่า สรุปแล้วยืนยันว่าเราไม่ได้บริหารผิดพลาดจนเกิดความเสียหายใช่หรือไม่ นายอนุทิน ตอบว่า “ไม่ใช่ครับ ยืนยันว่าทำงานอย่างเต็มที่ ได้รับการสนับสนุนจากทุกๆฝ่ายอย่างเต็มที่ ยืนยันว่าไม่เคยย่อท้อต่อการทำงาน อันนี้พูดแทนข้าราชการกระทรวงสาธารณสุข แล้วก็บุคลากรสาธารณสุขทุกคน เพราะยังไม่เห็นมีใครบอกว่าท้อแล้ว ถอยแล้ว ไม่เอาแล้ว แต่เรื่องของถูกหรือผิด อันนี้ก็อยู่ที่ ผู้ที่ได้รับการบริการจากเราจะคิดอย่างไร แต่ว่าขอให้คำยืนยันว่า เจตนารมณ์ที่มุ่งหวังประสงค์ร้าย มุ่งหวังเพื่อให้ได้ประโยชน์ส่วนตัว ไม่ว่าในทางการเมืองหรือในทางผลประโยชน์ใดๆก็ตาม ยืนยันว่าไม่มีอย่างแน่นอนในกระทรวงสาธารณสุข”
@ ความสัมพันธ์พรรคร่วมรัฐบาลยังดี
นายอนุทิน กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ว่า ความสัมพันธ์ของผู้ใหญ่ในพรรคดีหมด ส่วนความสัมพันธ์ลูกพรรคก็แล้วแต่ เพราะไม่รู้ว่าลูกพรรคแต่ละคน เขาห้ำหั่นกันมาในพื้นที่หรือมีอดีตอะไรที่เขาลืมกันไม่ได้หรือไม่ แต่ว่าความสัมพันธ์ของผู้บริหารพรรค ระหว่างตนกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่ความสัมพันธ์ แต่เป็นความเคารพนับถือ ซึ่งตนไม่บังอาจไปเทียบความสัมพันธ์ได้ เพราะเป็นผู้น้อย อายุน้อย และเคารพนับถือในฐานะที่ท่านเป็นผู้อาวุโส
“ความสัมพันธ์ของผมกับท่านจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ก็ดีมากๆนะครับ รมช.สาธารณสุข ก็อยู่พรรคของท่าน ความสัมพันธ์ของท่านวราวุธ ศิลปะอาชา อันนี้บัดดี้ เพราะว่าเรียกพี่ เรียกน้องกัน ความสัมพันธ์ผมกับท่านสมศักดิ์ เทพสุทิน เราเคยอยู่พรรคเดียวกันมา ท่านอนุชา นาคาศัย ท่านสันติ พร้อมพัฒน์ ความสัมพันธ์กับท่านนายกรัฐมนตรี ก็อาทิตย์นึงประชุมกันไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง เพราะฉะนั้นในเรื่องความสัมพันธ์ในการทำงาน ความให้เกียรติซึ่งกันและกัน อันนี้มีเกินร้อย”
@ ไม่เคยได้ยินเรื่องยุบสภา
นายอนุทิน กล่าวต่ออีกว่า ตนไม่เคยได้ยินท่านนายกรัฐมนตรีปรารภเรื่องนี้ อย่างเมื่อวานซืน ท่านก็ยังเชิญตน ท่านจุรินทร์ ท่านประวิตร หลังจากประชุมร่วมกัน ไปหารือกัน และไม่มีคำว่ายุบสภาออกมา มีแต่บอกว่าช่วยกันทำงานให้หนัก ช่วยกันแก้ปัญหาให้ได้ เป็นทีมเดียวกัน ส่วนเรื่องเลือกตั้ง เมื่อไรก็เมื่อนั้น ว่ากันไป
“ความเป็นรัฐบาล ผมในฐานะรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข หรือรัฐมนตรีทุกคนในพรรคภูมิใจไทยคือผู้ใต้บังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรี อันนี้เถียงไม่ได้เลยต้องทำตามคำสั่ง และนโยบายของนายกรัฐมนตรี ในความเป็นรัฐบาล ส่วนในสภาอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าเกิดเห็นว่าเรื่องนี้ไม่ไหวดูแล้วค้านสายตาประชาชน ดูแล้วเป็นสิ่งที่ทำให้ประเทศชาติเสียหาย อันนี้หน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผมอาจจะยกมือไม่เห็นด้วย นั่นคือผมทำหน้าที่ ส.ส.”
@ ยอมรับความนิยมรัฐบาลตกต่ำ
เมื่อถามว่ายอมรับหรือไม่ว่า ความนิยมของรัฐบาลตกต่ำ นายอนุทิน กล่าวว่า “ยอมรับครับ ทุกคนยอมรับหมด แต่ต้องทำงาน ต้องหาวิธีแก้ไขปัญหา ยอมรับว่าแค่หายใจก็ยังผิด แต่เรายังมีหน้าที่อยู่ครับ เรายังมีภารกิจหน้าที่ ก็ต้องไปทำงาน จนกว่ามันจะทำไม่ได้”
นายอนุทิน กล่าวต่อด้วยว่า ตนว่าทุกคนที่บอกว่าระรื่นกัน ไม่มีหรอก มีแต่ความทุกข์ คนเราบางทีหัวเราะ หรือส่งเสียง หึหึ ในลำคอเนี่ย มันไม่ได้หัวเราะด้วยความสุข แต่หัวเราะประชดตัวเอง ว่าทำไมมันถึงเจอแบบนี้ ประเทศเราทำไมถึงเจอแบบนี้
“หัวเราะ หึ ขึ้นมา ไม่ได้หมายความว่าเราดีใจ หึ ด้วยความเสียใจ หึ ด้วยความผิดหวัง หึ ด้วยความรู้สึกว่า ทำไมมันขนาดนี้ แต่เราก็ต้องแก้ไขปัญหาให้มากที่สุด”
เมื่อถามว่า การรู้สึกที่ว่าประชาชนวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ส่งผลให้ความนิยมตกต่ำ นายอนุทิน ตอบว่า “ผมว่าวิพากษ์วิจารณ์ยิ่งกว่าได้อีก”
เมื่อถามย้ำว่า กรณีที่ดารา 25 คนถูกร้องทุกข์กล่าวโทษ นายอนุทิน ตอบสวนทันทีว่า “ไอ้ 36 คนนี้ก็โดนเต็มที่เหมือนกัน ไม่มีใครเรียกท่านหนูหรอกครับ ในเฟซบุ๊กที่ เป็นฝ่ายที่ไม่ได้หวังดีกับผม คือผมชื่อเล่นชื่อหนู ถ้าไปเปิดดูฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยก็เริ่มต้นด้วยคำว่า ไอ้ ทั้งนั้น แล้วก็คำทุกๆอย่างออกมา เยอะแยะไปหมด อันนี้ถ้าถามว่า ถามว่าเราไม่ยินดี เรารับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ ป่านนี้ฟ้องแหลกไปแล้ว แต่เราก็ไม่ ปล่อยให้พูด เขาโกรธครับ เราก็ให้เขาระบายอารมณ์ได้เต็มที่ แต่เราต้องพยายามดับความโกรธตรงนั้น โดยการทำงาน”
(ข่าวประกอบ : (คลิป) ISRA TALK อนุทิน : ระบบ สธ.ล่มสลาย? ความนิยมรัฐบาลตกต่ำ แค่หายใจยังผิด?)
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage