
"...ในระหว่างการพิจารณา มีกรรมการ ป.ป.ช. รายหนึ่งที่ร่วมเป็นอนุกรรมการฯ อยู่ด้วย มีความเห็นตามความเห็นของอัยการสูงสุดว่า การให้ถ้อยคำของ ร.ต.อ. ส. (สงวนชื่อ-นามสกุล) เป็นพยานชัดทอดว่า ผู้ถูกกล่าวหาสั่งการไม่ให้ตรวจสอบสิ่งของที่อยู่ภายในรถคันเกิดเหตุ โดยไม่ปรากฎพยานหลักฐานยืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าว และจากการไต่สวนก็ไม่ปรากฏว่าสิ่งของภายในรถคันเกิดเหตุเป็นสินค้าหนีภาษี จากนั้น จึงมีการนำเสนอเรื่องให้ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณา ที่ประชุมฯ พิจารณาแล้วมีความเห็นตามกรรมการ ป.ป.ช.รายนี้ จึงนำมาสู่การกลับความเห็นสั่งไม่ฟ้องคดีนี้ตามที่ปรากฏเป็นข่าว..."
กำลังเป็นประเด็นร้อนที่อยู่ในความสนใจของสาธารณชน!
กรณีปรากฏข่าวคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กลับมติไม่ฟ้อง พล.ต.ต.กฤษฎา แก้วจันดี อดีตผู้บังคับการ ตำรวจภูธรจังหวัดพัทลุง ในคดีกล่าวหากระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม กรณีสั่งการไม่ให้ตรวจสอบรถยนต์ MU-X สีดำ ที่ได้ประสบอุบัติเหตุตกร่องกลางถนน บริเวณถนนเพชรเกษม (ถนนเอเชีย) ฝั่งขาขึ้น ตำบลท่าแค อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง เมื่อคืนวันที่ 9 พฤศจิกายน 2562 โดยมีการกล่าวอ้างว่าได้บรรทุกบุหรี่ และสุราหนีภาษี และไม่จัดเก็บรักษารถยนต์พร้อมทั้งของกลางดังกล่าว เป็นเหตุให้สูญหาย
หลังจากที่ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดคดีทางอาญา และส่งสำนวนไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐานให้อัยการสูงสุด (อสส.) พิจารณาฟ้องร้องดำเนินคดีตามขั้นตอนทางกฎหมาย แต่ อสส. ได้ตั้งข้อไม่สมบูรณ์ไม่สำนวน ฝ่าย ป.ป.ช.และอัยการ จึงตั้งคณะทำงานขึ้นมาพิจารณาร่วมกัน แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ จึงส่งสำนวนคืนกลับมาให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณา ก่อนที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะมีมติสั่งไม่ฟ้องคดีนี้ในที่สุด
จนทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในหมู่พนักงานไต่สวนและเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.เป็นอย่างมาก เพราะในคดีก่อนหน้านี้เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดในทางอาญาและส่งสำนวนให้ อสส. พิจารณา ถ้า อสส.สั่งไม่ฟ้อง เมื่อส่งสำนวนกลับมาให้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณา ป.ป.ช. จะมีมติส่งฟ้องเองเกือบทุกคดี ซึ่งอาจจะมีบางคดีที่ส่งฟ้องผู้ถูกกล่าวหาบางส่วน เช่น คดีสินบนโรงไฟฟ้าขนอม 20 ล้านบาท ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. สั่งฟ้องเฉพาะเจ้าหน้าที่กรมเจ้าท่า แต่ไม่ฟ้องผู้บริหาร บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นต้น(อ่านประกอบ : มติ ป.ป.ช. 6 ต่อ 3 ไม่ฟ้อง‘ซิโน-ไทยฯ’คดีสินบนโรงไฟฟ้าขนอม-ฟ้องเฉพาะ จนท.รัฐ 5 ราย)
จึงทำให้คดีนี้ ถูกตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมคณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงกลับความเห็นของตัวเอง

ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้รับการยืนยันข้อมูลว่า ภายหลังจากที่ อสส. ได้ตั้งข้อไม่สมบูรณ์ไม่สำนวนคดีนี้ คณะทำงาน ฝ่าย ป.ป.ช. และอัยการ ไม่สามารถตกลงกันได้ และส่งสำนวนคืนกลับมาให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณา
คณะอนุกรรมการที่ปรึกษาสำนวนคดีอาญา สำนักคดี ป.ป.ช. ได้มีการประชุมพิจารณาสำนวนคดีนี้ และมีความเห็นว่า พยานหลักฐานในรายงานและสำนวนการไต่สวนคดีนี้เพียงพอให้รับฟังได้ว่า การกระทำของผู้ถูกกล่าวหามีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 , 158 และ 200 วรรคหนึ่ง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดในครั้งแรก
เมื่อคณะทำงานร่วมฝ่าย ป.ป.ช. และ ไม่อาจหาข้อยุติได้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีอำนาจดำเนินการต่อไปตามที่เห็นสมควร โดยจะยื่นฟ้องคดีเองก็ได้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 77 วรรคสาม
พร้อมให้ดำเนินการแจ้งความเห็นดังกล่าวให้สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดพัทลุง ทราบและดำเนินการต่อไป โดยไม่ต้องรอรับรองรายงานการประชุม
อย่างไรก็ดี ในระหว่างการพิจารณา มีกรรมการ ป.ป.ช. รายหนึ่งที่ร่วมเป็นอนุกรรมการฯ อยู่ด้วย มีความเห็นตามความเห็นของอัยการสูงสุดว่า การให้ถ้อยคำของ ร.ต.อ. ส. (สงวนชื่อ-นามสกุล) เป็นพยานชัดทอดว่า ผู้ถูกกล่าวหาสั่งการไม่ให้ตรวจสอบสิ่งของที่อยู่ภายในรถคันเกิดเหตุ โดยไม่ปรากฎพยานหลักฐานยืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าว และจากการไต่สวนก็ไม่ปรากฏว่าสิ่งของภายในรถคันเกิดเหตุเป็นสินค้าหนีภาษี
จากนั้น จึงมีการนำเสนอเรื่องให้ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณา ที่ประชุมฯ พิจารณาแล้วมีความเห็นตามกรรมการ ป.ป.ช.รายนี้ จึงนำมาสู่การกลับความเห็นสั่งไม่ฟ้องคดีนี้ตามที่ปรากฏเป็นข่าว
สำหรับคดีนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด พล.ต.ต.กฤษฎา แก้วจันดี ในการประชุมคณะกรรมการ เมื่อวันที่ 2 กรกฏาคม 2567 ซึ่งอยู่ในช่วงที่ พล.ต.อ. วัชรพล ประสารราชกิจ ยังดำรงตำแหน่งเป็นประธาน กรรมการ ป.ป.ช. (เกษียณอายุราชการ 9 ก.ย.67) ที่ประชุมพิจารณาสำนวนไต่สวนแล้ว มีมติเป็นเอกฉันท์ ด้วยคะแนนเสียง 5 เสียง เห็นชอบตามความเห็นของคณะผู้ไต่สวนเบื้องต้น ว่า การกระทำของ พลตำรวจตรี กฤษฎา แก้วจันดี ผู้ถูกกล่าวหา มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 , 158 และ 200 วรรคหนึ่ง และฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิควรได้ ฐานกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง และฐานกระทำหรือละเว้นการกระทำใด ๆ รวมทั้งการกระทำผิด ตามมาตรา 78 อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 79 (1) (5) และ (6)
ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และส่งเรื่องไปยังผู้บังคับบัญชาดำเนินการตามอำนาจและหน้าที่ต่อไป
แต่ อสส. ได้ตั้งข้อไม่สมบูรณ์ไม่สำนวน ทั้งสองฝ่ายจึงตั้งคณะทำงานขึ้นมาพิจารณาร่วมกัน แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ จึงส่งสำนวนคืนกลับมาให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาและมีมติสั่งไม่ฟ้องคดีนี้ในที่สุด
คำถามที่น่าสนใจ คือ ทำไมในการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดคดีนี้ครั้งแรก คณะกรรมการ ป.ป.ช. ขณะนั้น ถึงไม่ได้มีการพิจารณารายละเอียดประเด็นนี้ ทั้งที่ เป็นประเด็นสำคัญถือเป็นจุดอ่อนต่อการฟ้องร้องคดีความในอนาคต ทำให้ อสส. เห็นแย้งไม่สั่งฟ้องคดีให้
สำหรับ พล.ต.ต.กฤษฎา แก้วจันดี ปัจจุบันมียศเป็น พลตำรวจโท ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ขณะที่การชี้มูลความผิดทางอาญาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ถือเป็นที่สุด ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุด
หากมีข้อมูลเชิงลึกอื่นๆ สำนักข่าวอิศรา จะมานำเสนอต่อไป
