
ละเอียดยิบ! พิพากษาฉบับเต็ม คดี ‘วิฑูรย์ นามบุตร’ อดีต รมต./ สส. อุบลฯ ในหมวกกรรมาธิการฯ เรียกรับเงิน 30 ล. ผู้รับเหมาแลกรับงานโครงการก่อสร้าง หลักฐาน คำให้การชัด โอนเข้าบัญชีเครือญาติแม้ผู้เสียหายกลับคำให้การเพื่อช่วยให้พ้นผิด อ้างเจรจากันได้แล้ว
สืบเนื่องจาก ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2568 ให้ลงโทษจำคุก 3 ปี นายวิฑูรย์ นามบุตร อดีตรองหัวหน้าพรรค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในยุครัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส. ) จ.อุบลราชธานี สส.บัญชีแบบรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ และ กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 ถึง พ.ศ. 2557 เรียกเงินจากผู้เสียหาย 30 ล้านบาท โดยอ้างว่า สามารถวิ่งเต้นผลักดันจัดสรรงบประมาณโครงการก่อสร้างสิ่งสาธารณูปโภคของหน่วยงานรัฐซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของตนเอง แล้วจะแบ่งงานโครงการก่อสร้างในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ให้แก่ผู้เสียหาย เป็นเหตุให้ผู้เสียหายจ่ายเงินเพื่อร่วมลงทุนและเป็นค่าใช้จ่ายหลายครั้งตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2556 ถึงเดือนพ.ค. 2557 รวมเป็นเงิน 29.6 ล้านบาท ถือได้ว่าเป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และเป็นการกระทำโดยทุจริต ตามที่สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานแล้ว ข่าวเกี่ยวข้อง: จำคุก 3 ปี‘วิฑูรย์ นามบุตร’อดีต รมต./สส.อุบลฯ เรียก 30 ล. แลกโครงการรับเหมา
คดีนี้มีที่มาแห่งคดี/พฤติการณ์ของอดีตรัฐมนตรีรายนี้เป็นอย่างไร?
สำนักข่าวอิศรานำคำพิพากษาฉบับเต็มมารายงานอย่างละเอียด
@ เปิดคำพิพากษาฉบับเต็ม
คำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อม. 4/2567 คดีหมายเลขแดงที่ อม. 29/2568 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง วันที่ 23 เดือน กรกฎาคม พุทธศักราช 2568 ระหว่าง อัยการสูงสุด โจทก์ นายวิฑูรย์ นามบุตร จำเลยที่ 1นายกิตติศักดิ์ มุธุสิทธิ์ที่ 2 นางอาทิตยา แสวงสายหรือศรีสะอาด ที่ 3 นายธีระวัฒน์ ศรีสะอาด ที่ 4 นางพิกุล นามบุตรหรือแสวงสาย ที่ 5 จำเลย
เรื่อง ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
@คำฟ้อง เรียกเงิน 30 ล. ผู้รับเหมาแลกแบ่งโครงการก่อสร้างในภาคอีสาน/ภาคใต้
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างเดือนพฤษภาคม 2556 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยที่ 1 ซึ่งดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ และ กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 ถึง พ.ศ. 2557 เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เจ้าพนักงานของรัฐ และสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐตามกฎหมาย มีอำนาจหน้าที่ในการตรากฎหมายการควบคุมการบริหารงานราชการแผ่นดินของรัฐบาล พิจารณาให้ความเห็นชอบในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 และในเรื่องสำคัญต่าง ๆ ในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา โดยสามารถเข้าไปตรวจสอบโครงการ แผนงาน และงบประมาณที่แต่ละหน่วยงานขอรับจัดสรร รวมทั้งพิจารณาแปรญัตติเพื่อปรับลดหรือตัดทอนงบประมาณรายจ่ายที่แต่ละหน่วยงานเสนอขอความเห็นชอบ ได้เรียกเงินจาก นางสุขสมรวย วันทนียกุล ผู้เสียหาย 30,000,000 บาท สำหรับตนเองหรือผู้อื่น เพื่อเป็นการตอบแทนในการที่จำเลยที่ 1 ในสถานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ และกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 ถึง พ.ศ. 2557 จะมีโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคของหน่วยงานของรัฐมาลงที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทางภาคใต้ และจำเลยที่ 1 มีโควตาของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย และห้างหุ้นส่วนจำกัด ล.พานิชเขื่องในก่อสร้างของจำเลยที่ 1 ได้รับงานก่อสร้างในโครงการดังกล่าวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จำนวนมาก โดยจำเลยที่ 1 จะแบ่งงานโครงการก่อสร้างและให้ผู้เสียหายร่วมดำเนินการในโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคต่าง ๆ ที่จำเลยที่ 1 ได้รับโควตาจากทางราชการดังกล่าว เป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเชื่อจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 โดยเป็นผู้รับเงินจากผู้เสียหายแทนจำเลยที่ 1 หลายครั้งตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2556 ถึงเดือนพฤษภาคม 2557 รวมเป็นเงิน 29,600,000 บาท อันเป็นการกระทำการใด ๆ โดยทุจริตในลักษณะใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด เหตุเกิดที่ตำบลเขื่องใน อำเภอเขื่องใน ตำบลในเมือง อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี ตำบลบุ่ง อำเภอเมืองอำนาจเจริญ จังหวัดอำนาจเจริญ จังหวัดนนทบุรี และกรุงเทพมหานคร เกี่ยวพันกัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86, 149 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172, 192
จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ
@ผู้เสียหายโอนเงินเข้าบัญชี
พิเคราะห์พยานหลักฐานตามทางไต่สวนและข้อเท็จจริงที่คู่ความรับกันในชั้นตรวจพยานหลักฐาน ประกอบสำนวนการไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติแล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า
เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 จำเลยที่ 1 ได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาให้ความเห็นชอบในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณและในเรื่องสำคัญต่าง ๆ ในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ตามที่มีกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จำเลยที่ 1 ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 และได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ที่ใช้บังคับขณะเกิดเหตุ โดยสามารถตรวจสอบโครงการ แผนงาน และงบประมาณที่แต่ละหน่วยงานขอรับจัดสรร และพิจารณาแปรญัตติเพื่อปรับลดหรือตัดทอนงบประมาณรายจ่ายที่แต่ละหน่วยงานเสนอขอความเห็นชอบได้
จำเลยที่ 1 มีสถานะเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 4 เป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 4 และเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐและเจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายอาญา ต่อมาวันที่ 8 ธันวาคม 2556 จำเลยที่ 1 ลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำเลยที่ 5 เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 เป็นญาติจำเลยที่ 1 โดยนางระเบียบ เกลียวทอง ป้าจำเลยที่ 2 สมรสกับนายอุทัย นามบุตร พี่ชายจำเลยที่ 1 และเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัด ล.พานิชเขื่องในก่อสร้าง ตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2554 จนถึงปัจจุบัน ตามหนังสือรับรองเอกสารหมาย จ.38 หน้า 0707 ถึง 0710 จำเลยที่ 3 เป็นบุตรของจำเลยที่ 5 กับนายสมเดช แสวงสาย จำเลยที่ 4 เป็นสามีของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 5 เป็นน้องสาวของจำเลยที่ 1 นางสุขสมรวย วันทนียกุลหรือมะสิโกวา ผู้เสียหาย เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกับนายวิวัฒน์ วันทนียกุล และนายวิทวัฒน์ วันทนียกุล
เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2556 นางสาวกัลยรัตน์ ชุมนุม ฝากเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เลขที่ 260-2-77277-5 สาขาถนนชยางกูร อุบลราชธานี ของจำเลยที่ 3 จำนวน 1,500,000 บาท และบัญชีเงินฝากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เลขที่ 685-2-20456-5 สาขาสุนีย์ทาวเวอร์ ของจำเลยที่ 4 จำนวน 1,500,000 บาท ในวันเดียวกันจำเลยที่ 3 และที่ 4 โอนเงินผ่านตู้เบิกถอนเงินสดอัตโนมัติ (เอทีเอ็ม) ที่ ปตท.กองบิน 21 กองพลบินที่ 2 (อุบลราชธานี) เข้าบัญชีเงินฝากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เลขที่ 260-2-68447-7 สาขาถนนชยางกูร อุบลราชธานี ของจำเลยที่ 5 จำนวน 500,000 บาท และ 999,999 บาท ตามลำดับ จำเลยที่ 3 ยังโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝาก ไม่แจ้งชื่อ-สกุล เลขที่ 4417-7010-0131-1978 จำนวน 100,000 บาท เข้าบัญชีเงินฝาก ไม่แจ้งชื่อ-สกุล เลขที่ 4921-4280-0734-4865 จำนวน 100,000 บาท และเข้าบัญชีเงินฝาก ไม่แจ้งชื่อ-สกุล เลขที่ 4921-4119-0108-0215 จำนวน 100,000 บาท ต่อมาวันที่ 19 กันยายน 2556 จำเลยที่ 3 และที่ 4 โอนเงินผ่านตู้เบิกถอนเงินสดอัตโนมัติ (เอทีเอ็ม) ที่อาคารสาทรชิตี้ (811) เข้าบัญชีเงินฝากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เลขที่ 260-2-68447-7 สาขาถนนชยางกูร อุบลราชธานี ของจำเลยที่ 5 จำนวน 600,000 บาท และ 500,000 บาท ตามลำดับ ตามใบคำขอโอนเงิน รายละเอียดการทำรายการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ และรายการเดินบัญชีเงินฝากออมทรัพย์เอกสารหมาย จ.54 ถึง จ.59 หน้า 0849 ถึงหน้า 0854 เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2557 นายวิทวัฒน์โอนเงินผ่านระบบบาทเนตจากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เข้าบัญชีเงินฝาก ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เลขที่ 452-0-27204-1 สาขายิ่งเจริญปาร์ค ของนางสาวประภาศรี กุระโท จำนวน 1,000,850 บาท และวันที่ 10 เมษายน 2557 นางสาวประภาศรี มอบฉันทะให้นายสุริยา พูลจิต ถอนเงินสดรวม 1,590,457 บาท ออกจากบัญชีเงินฝาก ตามรายการเดินบัญชีและใบถอนเงินพร้อมใบมอบฉันทะเอกสารหมาย จ.62 หน้า 0857 และ จ.63 หน้า 0858
@ร้องดีเอสไอ ชง ป.ป.ช.สอบ
เมื่อวันที่ 3 และวันที่ 5 พฤษภาคม 2560 ผู้เสียหายมีหนังสือถึงอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เรื่อง ขอร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดี สมาชิกสภานิติบัญญัติ อ้างพฤติการณ์กระทำความผิดตามฟ้องของจำเลยที่ 1 ต่อมารองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ มีหนังสือลงวันที่ 5 มิถุนายน 2560 ถึงเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเพื่อให้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามเอกสารหมาย จ.154 หน้า 1412 ถึงหน้า 1433 ต่อมาวันที่ 7 ธันวาคม 2564 ประธานกรรมการไต่สวนมีหนังสือแจ้งให้จำเลยทั้งห้าไปรับทราบข้อกล่าวหา วันที่ 27 ธันวาคม 2564 ประธานกรรมการไต่สวนมีหนังสือแจ้งข้อกล่าวหาแก่จำเลยทั้งห้า ตามหนังสือเอกสารหมาย จ.133 หน้า 1273 ถึง 1282 และ จ.134 หน้า 1283 ถึง 1292 จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาลงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2565 จำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 มีหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาลงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 ตามหนังสือเอกสารหมาย จ.147 ถึง จ.151 หน้า 1372 ถึง 1400
@ยื่นขอถอนคำร้องทุกข์ ป.ป.ช.อ้างเจรจาชดใช้ค่าเสียหายจนพอใจแล้ว
วันที่ 20 สิงหาคม 2561 ผู้เสียหายมีหนังสือถึงเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ขอถอนคำร้องทุกข์กล่าวโทษที่เคยยื่นไว้เมื่อวันที่ 3 และวันที่ 5 พฤษภาคม 2560 ดังกล่าวเนื่องจากจำเลยที่ 1 เจรจาขอชดใช้ค่าเสียหายและได้รับการบรรเทาผลร้ายจนเป็นที่พอใจแล้ว ตามหนังสือขอถอนคำร้องทุกข์กล่าวโทษ หนังสือชี้แจงข้อเท็จจริง และคำกล่าวหาเอกสารหมาย จ.152 ถึง จ.154 หน้า 1401 ถึง 1433 คณะกรรมการไต่สวนมีมติว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 และ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 กับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 ประกอบมาตรา 86 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 กับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ตามสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงเอกสารหมาย จ.155 หน้า 1434 ถึง 1571
@ ป.ป.ช.ชี้มูลเรียกรับเงิน – อีก 4 รายโดนฐานสนับสนุน จนท.ทุจริต / ส่งสำนวนอัยการฟ้อง
ต่อมาคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติมีมติเสียงข้างมากว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 มีมูลความผิดทางอาญาฐานเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 และฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดย ทุจริต ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 ซึ่งปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 ส่วนการกระทำของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 มีมูลความผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 ประกอบมาตรา 86 และฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 ซึ่งปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ตามคำวินิจฉัยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ครั้งที่ 77/2565 วันที่ 12 กรกฎาคม 2565 เอกสาร หมาย จ.156 หน้า 1572 ถึง 1576 จึงส่งรายงาน เอกสารและความเห็นมายังโจทก์เพื่อยื่นฟ้องคดีนี้
@ไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานเรียกรับทรัพย์สินโดยทุจริต ม.149
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่
สำหรับความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานหรือสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 นั้น
องค์คณะผู้พิพากษาเห็นว่า บุคคลที่จะมีความผิดตามมาตราดังกล่าว นอกจากจะต้องเป็นบุคคลตามตำแหน่งที่ระบุไว้ และมีการกระทำเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบแล้ว ยังต้องมีเจตนาพิเศษเป็นองค์ประกอบในการกระทำความผิดด้วย คือ กระทำไปเพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ แต่ตามคำฟ้องได้ความเพียงว่า จำเลยที่ 1 เรียกเงินจากผู้เสียหาย โดยกล่าวอ้างว่า จำเลยที่ 1 มีโควตางานโครงการก่อสร้างสิ่งสาธารณูปโภค และห้างหุ้นส่วนจำกัด ล.พานิชเขื่องในก่อสร้างของจำเลยที่ 1 ได้รับงานโครงการก่อสร้างสิ่งสาธารณูปโภคของหน่วยงานรัฐจำนวนมาก หากผู้เสียหายต้องการร่วมดำเนินการงานโครงการก่อสร้างดังกล่าวกับจำเลยที่ 1 ต้องจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ 1 จำนวน 30,000,000 บาท แต่ไม่ปรากฏว่า จำเลยที่ 1 เรียกเงินจากผู้เสียหายเพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งหน้าที่ของตน การกระทำของจำเลยที่ 1 ไม่ครบองค์ประกอบความผิดของมาตราดังกล่าว จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานหรือสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149
@กระทำผิดฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่
ส่วนความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 นั้น องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมาก
เห็นว่า โจทก์มีนางสุขสมรวย วันทนียกุล ผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความว่า นายสมเดช แสวงสาย น้องเขยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ชักชวนให้ผู้เสียหายร่วมลงทุนกับห้างหุ้นส่วนจำกัด ล.พานิชเขื่องในก่อสร้างของจำเลยที่ 1 และเรียกรับเงินจากผู้เสียหาย โดยแจ้งผู้เสียหายให้จ่ายเงินแก่นายสมเดชด้วยวิธีการต่าง ๆ โดยอ้างชื่อของจำเลยที่ 1 ในการเรียกรับเงิน แต่พยานปากนี้ให้ถ้อยคำในชั้นไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติว่า เมื่อเดือนพฤษภาคม 2556 จำเลยที่ 1 แจ้งผู้เสียหายว่า จำเลยที่ 1 ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานีและกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 สามารถวิ่งเต้นผลักดันจัดสรรงบประมาณโครงการก่อสร้างสิ่งสาธารณูปโภคของหน่วยงานรัฐซึ่งอยู่ในอำนาจ หน้าที่ของจำเลยที่ 1 ไปลงที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ได้ โดยห้างหุ้นส่วนจำกัด ล.พานิชเขื่องในก่อสร้างของจำเลยที่ 1 มีโควตาโครงการก่อสร้างของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและใน
3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จำนวนมาก ไม่สามารถดำเนินการได้ทัน ต้องการผู้ร่วมดำเนินการด้วย จำเลยที่ 1 ชักชวนผู้เสียหายให้ร่วมดำเนินการโครงการก่อสร้างดังกล่าวกับจำเลยที่ 1 แล้วเรียกเงินจากผู้เสียหาย 30,000,000 บาท เพื่อเป็นเงินลงทุนและค่าใช้จ่ายให้แก่จำเลยที่ 1 ผู้เสียหายจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ 1 ตามวิธีที่จำเลยที่ 1 แจ้งหลายครั้งตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2556 ถึงเดือนพฤษภาคม 2557 รวมเป็นเงิน 29,600,000 บาท
@ผู้เสียหายให้การ 2 ครั้งชั้นไต่สวน -เคยให้การช่วยเหลือ / เชื่อไม่กลั่นแล้ง
ได้ความว่า ผู้เสียหายให้ถ้อยคำต่อพนักงานไต่สวนครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2560 ภายหลังจากที่ผู้เสียหายทำหนังสือกล่าวหาจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2560 เพียง 2 เดือนเศษ ยืนยันว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้เรียกรับเงินจากผู้เสียหายด้วยตนเอง และแจ้งผู้เสียหายให้จ่ายเงินแก่จำเลยที่ 1 ด้วยวิธีการต่าง ๆ ตามที่จำเลยที่ 1 กำหนด รวม 20 ครั้ง ซึ่งถ้อยคำของผู้เสียหายสอดคล้องเชื่อมโยงกับหลักฐานการจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ 1 ในแต่ละครั้งเป็นอย่างดี ทั้งต่อมาเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2561 ผู้เสียหายให้ถ้อยคำต่อพนักงานไต่สวนอีกครั้ง โดยยังคงยืนยันข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับการให้ถ้อยคำในครั้งแรก ประกอบกับไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 1 อีกทั้งยังรู้จักและเคยให้ความช่วยเหลืองานทางด้านการเมืองแก่จำเลยที่ 1 มาก่อน จึงไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าผู้เสียหายจะแกล้งให้ถ้อยคำปรักปรำใส่ร้ายจำเลยที่ 1 ให้ต้องรับโทษ เชื่อว่าผู้เสียหายให้ถ้อยคำตามความจริง
@ กลับคำให้การเดิม ไม่ซัดทอดชั้นศาลเพื่อช่วยให้ไม่ต้องให้รับโทษ
ส่วนที่ผู้เสียหายเพิ่งมากล่าวอ้างในชั้นไต่สวนของศาลว่านายสมเดชเป็นคนเรียกรับเงินจากผู้เสียหายโดยอ้างชื่อจำเลยที่ 1 นั้น เป็นการกล่าวอ้างภายหลังจากที่ผู้เสียหายกับจำเลยที่ 1 สามารถเจรจาตกลงกันได้จนผู้เสียหายทำหนังสือถอนคำร้องทุกข์ไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 แล้ว ทั้งที่ผู้เสียหายเบิกความว่า ผู้เสียหายรู้จักนายสมเดช เป็นเวลากว่า 10 ปี หากนายสมเดชเป็นผู้เรียกรับเงินจากผู้เสียหายจริง ผู้เสียหายก็น่าจะให้ถ้อยคำต่อพนักงานไต่สวนตั้งแต่ในคราวแรกแล้ว เนื่องจากข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงสำคัญที่ผู้เสียหายย่อมรู้มาก่อนที่จะให้ถ้อยคำต่อพนักงานไต่สวน มิใช่เพิ่งมาเบิกความกล่าวอ้างในขั้นไต่สวนของศาลเช่นนี้ คำเบิกความของผู้เสียหายยังมีลักษณะเป็นการบ่ายเบี่ยงข้อเท็จจริงเพื่อให้สมกับข้ออ้างตามคำให้การของจำเลยที่ 1 จึงเป็นพิรุธ ปราศจากความน่าเชื่อถือ น่าเชื่อว่าการที่ผู้เสียหายเบิกความกลับถ้อยคำเดิมของตนที่เคยให้ไว้ต่อพนักงานไต่สวนนั้น เป็นไปเพื่อช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ให้ไม่ต้องรับโทษ ดังนี้ ถ้อยคำเดิมของผู้เสียหายที่เคยให้ไว้ต่อพนักงานไต่สวน จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อว่าเป็นความจริงยิ่งกว่าคำเบิกความขั้นศาล พยานหลักฐานโจทก์จากการไต่สวนจึงมีน้ำหนักให้รับฟัง
@ ข้ออ้าง ‘วิฑูรย์’ ปัดเรียกเงิน โยนพี่น้องเขยทำ ไร้น้ำหนัก ไม่น่าเชื่อถือ
ส่วนที่จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยเรียกรับเงินจากผู้เสียหาย แต่เป็นนายสมเดชเจ้าของห้างหุ้นส่วนจำกัด ล.พานิชเขื่องในก่อสร้างที่เรียกรับเงินจากผู้เสียหาย และแจ้งผู้เสียหายให้โอนเงินแก่นายสมเดชนั้น ก็เป็นข้อต่อสู้ที่เลื่อนลอยปราศจากพยานหลักฐานที่น่าเชื่อถือมาสนับสนุน ทั้งเป็นข้อเท็จจริงที่ง่ายต่อการกล่าวอ้าง แต่ยากแก่การรับฟัง เนื่องจากนายสมเดชถึงแก่ความตายไปแล้ว ไม่สามารถชี้แจงข้อเท็จจริงใดให้บุคคลอื่นรับรู้ได้ และข้ออ้างดังกล่าวยังขัดต่อเหตุผล เนื่องจากลำพังนายสมเดชไม่น่าจะอยู่ในวิสัยที่จะอ้างชื่อจำเลยที่ 1 เองจนทำให้ผู้เสียหายเชื่อถือถึงขั้นยอมโอนเงินให้เป็นจำนวนสูงมากเช่นนี้ โดยที่จำเลยที่ 1 ไม่เคยติดต่อกับผู้เสียหาย ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวจึงไม่น่าเชื่อถือ ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้
@อาศัยตำแหน่ง อำนาจหน้าที่แสวงปย.มิชอบ
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เรียกเงินจากผู้เสียหาย 30,000,000 บาท โดยอ้างต่อผู้เสียหายว่า จำเลยที่ 1 ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานีและกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2557 สามารถวิ่งเต้นผลักดันจัดสรรงบประมาณโครงการก่อสร้างสิ่งสาธารณูปโภคของหน่วยงานรัฐซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ได้ แล้วจำเลยที่ 1 จะแบ่งงานโครงการก่อสร้างดังกล่าวให้แก่ผู้เสียหาย เป็นเหตุให้ผู้เสียหายจ่ายเงินเพื่อร่วมลงทุนและเป็นค่าใช้จ่ายให้แก่จำเลยที่ 1 ตามวิธีที่จำเลยที่ 1 แจ้งหลายครั้งตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2556 ถึงเดือนพฤษภาคม 2557 รวมเป็นเงิน 29,600,000 บาท ดังนี้ จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ จึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาให้ความเห็นชอบในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ และเรื่องสำคัญต่าง ๆ ในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา โดยสามารถเข้าไปตรวจสอบโครงการ แผนงาน และงบประมาณที่แต่ละหน่วยงานรัฐขอรับจัดสรร รวมทั้งพิจารณาแปรญัตติเพื่อปรับลดหรือตัดทอน งบประมาณรายจ่ายที่แต่ละหน่วยงานเสนอขอความเห็นชอบได้ การที่จำเลยที่ 1 อาศัยโอกาสจากการที่ตนมีอำนาจหน้าที่ไปเรียกรับเงินแล้วเสนอผลตอบแทนให้แก่ผู้เสียหาย เป็นเหตุให้ผู้เสียหายยอมจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ 1 หลายครั้ง รวมเป็นเงิน 29,600,000 บาท เป็นการหาประโยชน์ให้แก่ตนเองโดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ราชการของตนไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม อันส่งผลกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดินอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ถือได้ว่าเป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณของจำเลยที่ 1 โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และเป็นการกระทำโดยทุจริตแล้ว การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1
@ ยกฟ้อง จำเลยที่ 2-5 ไม่มีหลักฐานช่วยเหลือ ‘วิฑูรย์’ กระทำผิด
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่
องค์คณะผู้พิพากษาเห็นว่า สำหรับความผิดฐานสนับสนุนจำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149 ประกอบมาตรา 86 เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 จึงไม่มีความผิดฐานสนับสนุนจำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิดฐานดังกล่าวด้วย
ส่วนความผิดฐานสนับสนุนจำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ข้อเท็จจริงได้ความตามทางไต่สวนว่า หลังจากจำเลยที่ 1 เรียกเงินจากผู้เสียหาย 30,000,000 บาท แล้ว ผู้เสียหายจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ 1 หลายครั้ง ตามวิธีการที่จำเลยที่ 1 แจ้ง ซึ่งการจ่ายเงินในบางครั้งจะมีจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องเป็นผู้รับเงินแทนจำเลยที่ 1 โดยเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2556 ผู้เสียหายโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ซึ่งเป็นสามีภริยากัน รวมเป็นเงิน 3,000,000 บาท จากนั้นจำเลยที่ 3 และที่ 4 โอนเงินดังกล่าวต่อให้แก่จำเลยที่ 5 ตามที่จำเลยที่ 5 สั่งการ รวมเป็นเงิน 2,599,999 บาท และเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2557 ผู้เสียหายให้นายวิทวัฒน์ วันทนียกุล โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของ นางสาวประภาศรี กุระโท เจ้าหน้าที่การตลาด ห้างหุ้นส่วนจำกัด ล.พานิชเขื่องในก่อสร้าง จำนวน 1,000,850 บาท และวันที่ 10 เมษายน 2557 นางสาวประภาศรีมอบฉันทะให้นายสุริยา พูลจิต ถอนเงินสดรวม 1,590,457 บาท ออกจากบัญชีเงินฝาก โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ขอเลขที่บัญชีเงินฝากจากนางสาวประภาศรีเพื่อให้ผู้เสียหายโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากดังกล่าว แล้วให้นางสาวประภาศรีถอน เงินไปมอบให้แก่จำเลยที่ 2 องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมากเห็นว่า แม้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 จะมีความสัมพันธ์เป็นบุคคลในเครือญาติของจำเลยที่ 1 ก็ตาม แต่ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าการใช้บัญชีเงินฝากรับเงินจากผู้เสียหายแทนจำเลยที่ 1 ในแต่ละครั้งนั้น จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้องกับการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่เรียกรับเงินจากผู้เสียหายมากน้อยเพียงใดบ้าง อีกทั้งผู้เสียหายเองก็ให้ถ้อยคำต่อพนักงานไต่สวนว่า ผู้เสียหายจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ 1 ตามวิธีการที่จำเลยที่ 1 แจ้งทุกครั้ง โดยผู้เสียหายไม่เคยติดต่อกับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 เลย
ส่วนที่ผู้เสียหายให้ถ้อยคำในชั้นไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติและเบิกความว่า เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2556 จำเลยที่ 3 ไปรับเงินจากผู้เสียหายที่บ้านพักของผู้เสียหาย จำนวน 2,000,000 บาท โดยมีนายอภินันท์ อารยะสวัสดิ์ หลานของผู้เสียหายอยู่ด้วยในขณะนั้น ขัดกับคำเบิกความพยานโจทก์ปาก นายอภินันท์ ที่เบิกความว่า ประมาณปี 2556-2557 เวลาประมาณ 10 นาฬิกา พยานรอรับผู้เสียหายที่บ้าน ผู้เสียหายแจ้งว่าจำเลยที่ 3 จะมารับเงินเพื่อนำไปให้จำเลยที่ 1 จำนวน 2,000,000 บาท ผู้เสียหายมีธุระจึงให้พยานรอมอบเงินให้จำเลยที่ 3 แทน แต่จำเลยที่ 3 ก็ยังไม่มา จนกระทั่งช่วงบ่ายผู้เสียหายกลับมา พยานจึงมอบซองเงินคืนให้ผู้เสียหาย จากนั้นมีผู้ชาย 1 คน และผู้หญิง 1 คน มาที่บ้าน พยานโทรศัพท์ถามผู้เสียหาย สอบถามว่าใช่จำเลยที่ 3 หรือไม่ แล้วผู้เสียหายบอกว่าใช่ พยานจึงนำเงินให้จำเลยที่ 3 ไป ซึ่งแตกต่างจากที่ให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติว่า ผู้เสียหายเป็นคนมอบเงินให้ผู้หญิงคนหนึ่งเองซึ่งไม่แน่ใจว่าใช่จำเลยที่ 3 หรือไม่ ดังนี้ คำให้การและคำเบิกความของผู้เสียหายและนายอภินันท์จึงมีน้ำหนักน้อย พยานหลักฐานโจทก์ ไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังได้ว่า ผู้เสียหายส่งมอบเงินให้แก่จำเลยที่ 3 ส่วนเงินที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 โอนให้แก่จำเลยที่ 5 ก็เป็นเงินเพียงบางส่วนที่ผู้เสียหายโอนเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 3 และที่ 4 โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเงินส่วนที่เหลือถูกนำไปดำเนินการอย่างไรบ้าง เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 หรือไม่ นอกจากนี้ยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากการรับเงินของผู้เสียหายแทนจำเลยที่ 1 อันจะแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 มีส่วนรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ด้วย พยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่อาจรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 1 กระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิด จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 จึงไม่มีความผิดฐานสนับสนุนจำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86
@องค์เสียงข้างมาก ให้จำคุก 3 ปีคนเดียว
อนึ่ง ภายหลังการกระทำความผิด มีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ใช้บังคับโดยมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวให้ยกเลิกพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 แต่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 ยังคงบัญญัติให้การกระทำตามฟ้องเป็นความผิดและมีระวางโทษเท่าเดิม จึงต้องลงโทษ จำเลยที่ 1 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่จำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรคหนึ่ง
พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมาก ให้ลงโทษจำคุก 3 ปี ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5.



ข่าวเกี่ยวข้องกับนายวิฑูรย์ก่อนหน้านี้
- เรียกรับเงิน 30 ล.! ป.ป.ช. ชี้มูล'วิฑูรย์ นามบุตร'-พวก ชวนร่วมลงทุนช่วยเหลือก่อสร้าง
- จ่ายไปแล้ว 29.6 ล้าน! เปิดพฤติการณ์ 'วิฑูรย์ -พวก' ป.ป.ช.ชี้มูลคดีเรียกรับเงิน 30 ล.
- แค่ยืมเงินกัน! 'วิฑูรย์' แจง อิศรา ถูกชี้มูลคดีเรียก 30 ล. เรื่องเข้าใจผิด-ใช้คืนแล้ว
- ฉากชีวิต ‘วิฑูรย์’ ขุนพลอีสานใต้ จาก รมต.ปลากระป๋อง สู่คดีเรียกรับเงิน 30 ล้าน
- มติเอกฉันท์! ป.ป.ช.ชี้มูล 'วิฑูรย์ นามบุตร' คดีร่ำรวยผิดปกติ 58.9 ล. ช่วงเป็น สส.ปี 54
- เบื้องลึก! เงิน 14.3 ล.คดี 'วิฑูรย์' ร่ำรวยผิดปกติ อ้างเล่นพนันได้-โยงกรณีเรียกรับ 30 ล.
- เผยโฉมบ้าน 14.3 ล. 'วิฑูรย์' อ้างใช้เงินเล่นพนันบ่อนเขมรซื้อ - ป.ป.ช.ชี้ซุกทรัพย์สิน
- จำคุก 3 ปี‘วิฑูรย์ นามบุตร’อดีต รมต./สส.อุบลฯ เรียก 30 ล. แลกโครงการรับเหมา
