"...คดีนี้ยังไม่ถึงที่สุด เนื่องจากภายหลังอ่านคำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 3 แล้ว โจทก์ขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ ซึ่งศาลอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ได้ถึงวันที่ 24 มี.ค. 2568 กรณีเป็นเรื่องที่โจทก์จะพิจารณายื่นอุทธรณ์หรือไม่ ต่อไป..."
กรณีสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) เปิดประเด็นการตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกกรณี นายกิตติทัศน์ วิศาลนพศักดิ์ หรือ นายวัทธิกร หรือมังกร ใสงาม อดีตพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานี และพาณิชย์จังหวัดสุรินทร์ ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดคดีร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมายสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ คิดเป็นมูลค่ากว่า 81 ล้านบาท
ขณะที่ก่อนหน้านั้น นายกิตติทัศน์ วิศาลนพศักดิ์ หรือ นายวัทธิกร หรือมังกร ใสงาม อดีตพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานี และพาณิชย์จังหวัดสุรินทร์ และพวก ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดกรณีทุจริตจัดซื้อจัดจ้าง ไป 2 คดี คือ
1. คดีทุจริตจัดซื้อจัดจ้างของสำนักงานพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานี ประจำปีงบประมาณ 2554-2557 และเอื้อประโยชน์แก่ผู้รับจ้างจำนวน 26 โครงการ
2. คดีทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างของสำนักงานพาณิชย์จังหวัดสุรินทร์ ปีงบประมาณ 2558 จำนวน 7 โครงการ
โดยคดีทุจริตจัดซื้อจัดจ้างของสำนักงานพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานี ประจำปีงบประมาณ 2554-2557 และเอื้อประโยชน์แก่ผู้รับจ้างจำนวน 26 โครงการ นายกิตติทัศน์ วิศาลนพศักดิ์ หรือ นายวัทธิกร หรือมังกร ใสงาม ถูกพิพากษาลงโทษจำคุกร้อยกว่าปี รับสารภาพได้ลดโทษ รวมลงโทษจำคุก 50 ปี แต่ได้รอลงอาญา รวมพวกอีกหลายราย
ต่อมาเมื่อวันที่ 28 ก.พ. องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันประเทศไทย ได้ทำจดหมายเปิดผนึกเสนอความเห็นต่ออัยการสูงสุดโปรดพิจารณาใช้สิทธิอุทธรณ์โต้แย้งดุลยพินิจในการกำหนดโทษของศาลในคดีนี้โดยขอให้ลงโทษหนักขึ้นและไม่รอลงอาญา เพื่อให้เกิดการสร้างมาตรฐานการลงโทษคดีทุจริตที่สังคมยอมรับ
ล่าสุด ศาลยุติธรรม ได้เผยแพร่ข่าวคำชี้แจงกรณีศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 3 พิพากษาคดีอดีตพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานีกับพวกฮั้วประมูลโครงการภาครัฐ 26 สัญญา เป็นทางการ ระบุเหตุผลเป็นเพราะจำเลยให้การสารภาพ พิจารณาจากพยานหลักฐานในสำนวนคดี และคำนึงถึงหลายปัจจัย ได้แก่ การรู้สำนึกในการกระทำความผิดของจำเลยซึ่งคดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพ ความถูกต้องครบถ้วนในการปฏิบัติตามสัญญาของจำเลย ความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ราชการภายหลังการเข้าทำสัญญาของจำเลย การได้รับประโยชน์จากการกระทำความผิด ความพยายามบรรเทาผลร้ายโดยวางเงินชดใช้ค่าเสียหายให้แก่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานี พฤติการณ์ความร้ายแรงแห่งคดี ประวัติของจำเลย และโอกาสในการแก้ไขปรับปรุงตนเองให้เป็นพลเมืองดี ในอนาคต โดยเมื่อพิจารณาปัจจัยทั้งหมดนี้แล้ว จึงเห็นสมควรให้รอการลงโทษจำเลยไว้คนละ 5 ปี
อย่างไรก็ตาม คดีนี้ยังไม่ถึงที่สุด เนื่องจากภายหลังอ่านคำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 3 แล้ว โจทก์ขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ ซึ่งศาลอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ได้ถึงวันที่ 24 มี.ค. 2568 กรณีเป็นเรื่องที่โจทก์จะพิจารณายื่นอุทธรณ์หรือไม่ ต่อไป
ปรากฏรายละเอียดดังต่อไปนี้
จากที่ปรากฏข้อมูลในสื่อโซเชียลมีเดียว่ามีการยื่นฟ้องนายกิตติทัศน์ วิศาลนพศักดิ์ หรือวัทธิกร หรือมังกร ใสงาม อดีตพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานี กับพวกรวม 10 คน ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 3 เป็นคดีทุจริต 26 โครงการ ซึ่งศาลพิพากษาให้จำคุกกว่า 130 ปี แต่รอการลงโทษ ทำให้จำเลยกับพวกไม่ต้องรับโทษจำคุก ทั้งที่ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดว่าร่ำรวยผิดปกติและใช้อำนาจเอื้อประโยชน์แก่ตนเอง จนถูกไล่ออกจากราชการนั้น
นายรัฐวิชญ์ อริยพัชญ์พล โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวว่า คดีนี้อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายกิตติทัศน์ วิศาลนพศักดิ์ หรือวิทธิกร หรือ มังกร ใสงาม ขณะเกิดเหตุเป็นเจ้าพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐตำแหน่งพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานี เป็นจำเลยที่ 1 พร้อมกับจำเลยที่ 2 - ที่ 10 ซึ่งมิได้เป็นเจ้าพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ แต่ล้วนเป็นนิติบุคคลและบริวารผู้ใกล้ชิดกับจำเลยที่ 1 และร่วมกับจำเลยที่ 1 จัดตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดเพื่อยื่นประมูลงานจัดนิทรรศการ งานแสดงสินค้า งานประชาสัมพันธ์ และงานอื่น ๆ ของสำนักงานพาณิชย์จังหวัดสุรินทร์และสำนักงานพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานี รวมทั้งหน่วยงานราชการอื่น ๆ ในลักษณะสมยอมราคากันรวม 26 สัญญา โดยห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าวไม่ได้มีวัสดุอุปกรณ์จัดสถานที่ไม่มีอุปกรณ์จัดแสงสีเสียง ไม่มีอุปกรณ์เพื่อการแสดงและไม่มีลูกจ้างหรือทีมงานที่จะใช้จัดงานโดยตรง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86, 91, 151, 152, 157, 264, 268 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 4, 7, 10, 11, 12 และขอให้นับโทษต่อสำหรับจำเลยบางราย
จำเลยทั้งสิบให้การรับสารภาพ แต่เนื่องจากความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 11, 12 เป็นความผิดที่มีกฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่ 5 ปี ขึ้นไป โจทก์จึงนำพยานหลักฐานเข้าสืบประกอบคำรับสารภาพ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176
ข้อเท็จจริงในสำนวนปรากฏว่า จำเลยที่ 1 วางเงินชดใช้ค่าเสียหายให้แก่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานี 3,448,250 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 วางเงินชดใช้ค่าเสียหายให้แก่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานี คนละ 1,725,000 บาท รวมเป็นเงิน 6,898,250 บาท
ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 3 รับฟังคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสิบ ประกอบกับพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบประกอบคำรับสารภาพ แล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง รวม 26 สัญญา (26 กรรม/กระทง) ให้จำคุกกระทงละ 5 ปี 3 เดือน และปรับกระทงละ 102,000 บาท รวมจำคุก 130 ปี 78 เดือน และปรับ 2,652,000 บาท โดยจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 65 ปี 39 เดือน และปรับ 1,326,000 บาท โดยในกรณีกระทำความผิดหลายกระทง หากกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกิน 10 ปี ขึ้นไป ให้จำคุกไม่เกิน 50 ปี จึงให้จำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) ส่วนจำเลยที่ 2 ถึงที่ 10 ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ แต่เป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายบท จึงระวางโทษลดหลั่นกันไปตามจำนวนกรรมและวาระที่กระทำความผิด
ในการพิจารณาว่ามีเหตุสมควรรอการลงโทษจำเลยทั้งสิบหรือไม่ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 3 พิจารณาจากพยานหลักฐานในสำนวนคดี และคำนึงถึงหลายปัจจัย ได้แก่ การรู้สำนึกในการกระทำความผิดของจำเลยซึ่งคดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพ ความถูกต้องครบถ้วนในการปฏิบัติตามสัญญาของจำเลย ความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ราชการภายหลังการเข้าทำสัญญาของจำเลย การได้รับประโยชน์จากการกระทำความผิด ความพยายามบรรเทาผลร้ายโดยวางเงินชดใช้ค่าเสียหายให้แก่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานี พฤติการณ์ความร้ายแรงแห่งคดี ประวัติของจำเลย และโอกาสในการแก้ไขปรับปรุงตนเองให้เป็นพลเมืองดีในอนาคต โดยเมื่อพิจารณาปัจจัยทั้งหมดนี้แล้ว จึงเห็นสมควรให้รอการลงโทษจำเลยไว้คนละ 5 ปี
แต่เพื่อให้หลาบจำ เห็นควรวางโทษปรับอีกสถานหนึ่ง และกำหนดเงื่อนไขการคุมประพฤติอย่างเคร่งครัดมีกำหนด 3 ปี ให้จำเลยทุกคนไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือน ตลอดระยะเวลาที่คุมความประพฤติให้จำเลยทุกคนทำงานบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์เป็นเวลาคนละ 72 ชั่วโมง และให้ละเว้นการประพฤติใดอันอาจนำไปสู่การกระทำความผิดในทำนองเดียวกันอีก หากจำเลยผิดเงื่อนไขให้พนักงานคุมประพฤติรายงานศาลเพื่อเปลี่ยนโทษจำคุกที่รอไว้เป็นโทษจำคุกทันที
อย่างไรก็ตาม คดีนี้ยังไม่ถึงที่สุด เนื่องจากภายหลังอ่านคำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 3 แล้ว โจทก์ขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ ซึ่งศาลอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ได้ถึงวันที่ 24 มี.ค. 2568 กรณีเป็นเรื่องที่โจทก์จะพิจารณายื่นอุทธรณ์หรือไม่ ต่อไป
นอกจากนี้ นายรัฐวิชญ์ อริยพัชญ์พล ยังอธิบายต่อไปเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การ “รอการลงโทษ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ไว้ ดังนี้
1. การจะใช้ดุลพินิจรอการลงโทษจำเลยรายใด อันดับแรกจะต้องพิจารณาก่อนว่า คดีนั้นศาลจะลงโทษจำคุกจำเลยเกิน 5 ปี หรือไม่ หากโทษที่ศาลจะลงแก่จำเลยมีกำหนดเกินกว่า 5 ปี ย่อมไม่สามารถใช้ดุลพินิจรอการลงโทษได้ แต่หากโทษที่ศาลจะลงแก่จำเลยมีกำหนดไม่เกิน 5 ปี ศาลย่อมมีดุลพินิจพิจารณาต่อไปว่าจะรอการลงโทษหรือไม่ โดยมีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า จำเลยต้องไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน หรือหากเคยรับโทษจำคุกมาก่อนต้องเป็นกรณีที่เป็นการกระทำโดยประมาท หรือลหุโทษ หรือโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือ หากเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน แต่พ้นโทษมาแล้วเกินกว่า 5 ปี แล้วมากระทำผิดอีกโดยความผิดครั้งหลังเป็นการกระทำโดยประมาท หรือลหุโทษ จึงจะอยู่ในเงื่อนไขที่รอการลงโทษได้
2. ในกรณีคดีที่เป็นข่าวนี้ เป็นกรณีที่จำเลยกระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระ และศาลจะเรียงกระทงลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ซึ่งหากต้องพิจารณาว่าจะรอการลงโทษจำเลยได้หรือไม่ จะต้องแยกพิจารณาโทษที่ศาลจะลงแก่จำเลยจริง ๆ เป็นรายกระทงความผิดไป หากมีเหตุบรรเทาโทษก็ให้พิจารณาลดโทษรายกระทงให้เสร็จสิ้นเสียก่อน จึงจะนำมาพิจารณาว่าโทษจำคุกแต่ละกระทงมีกำหนดเกิน 5 ปี หรือไม่ เช่นในคดีนี้ ศาลจะลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 รวม 26 กระทง กระทงละ 5 ปี 3 เดือน โดยศาลลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งเนื่องจากจำเลยให้การรับสารภาพทุกกระทงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ดังนั้น จึงเท่ากับว่าในแต่ละกระทงคงลงโทษกระทงลง 2 ปี 7 เดือน 15 วัน ซึ่งไม่เกิน 5 ปี จึงอยู่ในเกณฑ์ที่จะรอการลงโทษได้ทุกกระทง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 เทียบเคียงกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1594/2523, 789/2524, 1102/2525
3. แม้จะอยู่ในเกณฑ์ที่ศาลอาจใช้ดุลพินิจในการรอการลงโทษได้ แต่ก่อนที่ศาลจะใช้ดุลพินิจรอการลงโทษ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ก็วางหลักเกณฑ์ให้ศาลพิจารณาข้อเท็จจริงอีกหลากหลายปัจจัย เช่น อายุ ประวัติ ความประพฤติ สติปัญญา การศึกษาอบรม สุขภาพ ภาวะแห่งจิต นิสัย อาชีพ และสิ่งแวดล้อมของผู้นั้น หรือสภาพความผิด หรือการรู้สึกผิด และการพยายามบรรเทาผลร้ายที่เกิดขึ้น หรือเหตุอื่นอันควรปราณี
ดังนั้น ศาลจึงต้องคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่ปรากฏในสำนวนคดีประกอบกันก่อนใช้ดุลพินิจพิจารณาว่าจะรอการลงโทษให้แก่จำเลยรายใดหรือไม่ ไม่ได้พิจารณาจากปัจจัยหนึ่งปัจจัยใดเป็นการเฉพาะ
อ่านประกอบ :
- ป.ป.ช.ชี้มูลอดีตพณ.อุบลฯ-สุรินทร์ คดีร่ำรวยผิดปกติ 81 ล.-โดนไล่ออกราชการแล้ว
- เปิดหมด! ทรัพย์สิน 81 ล. อดีตพณ.อุบลฯ โดนชี้มูลคดีร่ำรวยผิดปกติ ขอศาลยึดเป็นของแผ่นดิน
- จากอุบลฯ ถึงสุรินทร์! เปิดพฤติการณ์ทุจริต 'อดีตพณ.จว.' ก่อนโดนชี้มูลคดีร่ำรวย 81 ล.
- เบื้องหลัง 'อิศรา' เจาะข่าว คดีทุจริต 'อดีตพณ.อุบล' เอื้อปย.เครือข่ายเอกชนจัดอีเวนต์ร้อยล.
- เปิดชัดๆ ข้อมูลรอลงอาญาคุกร้อยปี สารภาพเหลือ 50 คดีทุจริตพาณิชย์อุบลฯ-เมีย 2 คน รอดด้วย
- คดีที่ 2! ทุจริต 7 โครงการสุรินทร์ เมียพณ.อุบลฯ โดนคุกสิบกว่าปี ได้รอลงอาญาอีกแล้ว
- ข้อมูลลึก! คดีทุจริต 7 โครงการสุรินทร์ เมียคนที่ 2 พณ.อุบลฯโดนคุกสิบกว่าปีก็ได้รอลงอาญา