
"...หากรัฐสภาเห็นชอบ ให้นำร่างดังกล่าวไปทำประชามติ เพื่อสอบถามประชาชนว่าเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ หากรัฐสภาไม่เห็นชอบ ให้ร่างดังกล่าวเป็นอันตกไป โดยหากจะมีการจัดทำฉบับใหม่ขึ้นมาอีกฉบับ ให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบให้มีการเลือก 2 คณะชุดใหม่ขึ้นมาตามกระบวนการเดิม ทั้งนี้ 2 คณะดังกล่าว นอกจากร่างรัฐธรรมนูญใหม่แล้ว อาจร่างกฎหมายประกอบ หรือ พ.ร.ป. เพื่อประหยัดเวลา ขณะเดียวกันบุคคลที่ได้รับการเลือกตั้งเข้าไปทำหน้าที่ใน 2 คณะดังกล่าว อาจถูกกำหนดห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง และองค์กรอิสระภายใน 5 ปีแรก เพื่อป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนด้วย..."
หมุดหมายในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เปิดทางตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) มาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คือหลักใหญ่ใจความสำคัญที่ ‘พรรคประชาชน’ (ปชน.) ตัดสินใจโหวตสนับสนุน ‘ภูมิใจไทย’ ผลักดัน ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ ขึ้นเป็นนายกฯคนที่ 32
โดยไม่สนเสียงวิพากษ์วิจารณ์ และคำท้วงติงจาก ‘สส.-สมาชิกพรรค’
เนื่องจาก ปชน.เห็นว่า รัฐธรรมนูญปี 2560 มีลักษณะ ‘บ่อนทำลาย’ ความเข้มแข็งของพรรคการเมือง และสถาบันทางการเมือง เปิดทางให้ ‘องค์กรอิสระ’ มีอำนาจมากกว่าปกติในระบอบประชาธิปไตย ระบบรัฐสภา โดย ‘ธง’ นี้มีมาตั้งแต่ยุคก่อร่างสร้างพรรคอนาคตใหม่ จนมาถึงยุคพรรคก้าวไกล กระทั่งในยานพาหนะคันที่ 3 อย่าง พรรค ปชน.ในปัจจุบัน
แม้ว่าจะต้องฝ่าด่านเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเรื่อง ‘ดีลลับ’ ยื้อ-ยุติบางคดี เพื่อหวังผลในการเลือกตั้งครั้งถัดไป มีจริงหรือไม่ ในการผลักดัน ‘เสี่ยหนู’ อนุทิน นั่งเก้าอี้นายกฯก็ตาม แต่ ‘คีย์แมนก๊กส้ม’ ดาหน้าปฏิเสธเรื่องนี้พัลวัน พร้อมยืนยันจะเป็น ‘ฝ่ายค้าน’ ตรวจสอบ ‘รัฐบาล’ อย่างเต็มที่ แต่ก็สร้างความกินแหนงแคลงใจให้กับ ‘ด้อมส้ม’ บางส่วนไม่มากก็น้อย


ตัดภาพกลับมาประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเปิดทางให้มี สสร.มาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งเป็นหนึ่งในเงื่อนไข MOA ระหว่าง ‘ก๊กส้ม-ก๊กน้ำเงิน’ แต่เหมือนเรื่องนี้จะเริ่มซับซ้อนและยุ่งยากขึ้น เมื่อ 10 ก.ย.ที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัย 2 ประเด็นสำคัญ
1.รัฐสภา มีอำนาจหน้าที่ในการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญได้ แต่รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง
2.การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องจัดให้ประชาชนออกเสียงประชามติ 3 ครั้ง แบ่งเป็น ครั้งแรก ให้ประชาชนออกเสียงประชามติว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ครั้งที่ 2 ให้ประชาชนออกเสียงประชามติเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่ามีวิธีการ และเนื้อหาที่สำคัญอย่างไร ครั้งที่ 3 ภายหลังรัฐสภาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว ให้ประชาชนออกเสียงประชามติว่าเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่ โดยครั้งที่ 1 และ 2 อาจรวมเป็นครั้งเดียวกันได้
ประเด็นอยู่ตรงที่ รัฐสภา ไม่อาจให้ประชาชน ‘เลือก’ ผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรงได้ นั่นคือการปิดประตู ‘สสร.’ จากการเลือกตั้งภาคประชาชน แบบ 100% ตามธงของ ปชน.ที่มีมาแต่ต้น ทำให้ ‘คีย์แมนก๊กส้ม’ ต้อง ‘เลี่ยงบาลี’ สรรหาวิธีใหม่เพื่อให้กระบวนการเลือก สสร.ยึดโยงกับภาคประชาชนมากที่สุด
เบื้องต้นภายหลังการหารือกันหลายครั้งระหว่าง 3 พรรคคือ ‘เพื่อไทย-ปชน.-ภูมิใจไทย’ เบื้องต้นมี 3 โมเดลถูกนำเสนอขึ้นมา อย่างไรก็ดีในส่วนโมเดลของพรรคภูมิใจไทยนั้น ยังไม่ได้มีการเปิดเผยออกมาอย่างเป็นทางการ แต่มี ‘จุดยืน’ ร่วมกัน 2 เรื่องคือ 1.การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะมีการตั้งกลไกที่ยึดโยงกับประชาชนให้เข้ามามีส่วนร่วม 2.โมเดล สสร.ทั้ง 3 พรรค จะมีตัวแทนระดับพื้นที่ และตัวแทนระดับประเทศ
เริ่มจากโมเดลแรกที่ถูกโยนขึ้นมา ถูกนำเสนอโดย ‘ไอติม’ พริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษก ปชน.ในฐานะ ‘คลังสมอง’ ด้านรัฐธรรมนูญของ ปชน. คือ โมเดล ‘2 คณะ’ ได้แก่ คณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญ มีหน้าที่ในการยกร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อนำเสนอต่อรัฐสภา (เสมือนกับเป็นคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ) และคณะผู้แทนประชาชน มีหน้าที่ รับฟัง และสะท้อนความเห็นประชาชนกลับไปยัง คณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญ
โดยกลไกหลัก ๆ คือ 1.คณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญ 35 คน โดยให้ประชาชนสรรหามาก่อน 70 คน มีลักษณะคล้ายคลึงกับการเลือกตั้ง สส.แบบบัญชีรายชื่อ (ปาร์ตี้ลิสต์) ซึ่งวิธีการสรรหาคือต้องสมัครในรูปแบบทีม ทีมหนึ่งไม่เกิน 70 คน และใช้วิธีการคำนวณแบบ ‘ระบบสัดส่วน’ โดยแต่ละทีมจะได้คะแนนลดหลั่นกันไปตามผลการเลือกตั้ง หลังจากนั้นเมื่อได้ครบ 70 คนแล้ว ไม่ว่ากี่ทีมก็แล้วแต่ จะให้รัฐสภาคัดเลือกเหลือ 35 คน แต่ต้องคำนึงถึงผลการเลือกตั้งครั้งดังกล่าวด้วย เพื่อมาทำหน้าที่ในคณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญ
2.คณะผู้แทนประชาชน 100 คน โดยให้ประชาชนเลือกทางตรงทั้งหมดผ่านการเลือกตั้ง มีลักษณะเดียวกับการเลือกตั้ง สส.แบบแบ่งเขต โดยผู้สนใจสมัครได้เป็นรายบุคคล และอาจเปิดคุณสมบัติให้กว้างที่สุด เพื่อให้มีตัวแทนหลากหลาย ครอบคลุมทุกกลุ่ม โดยใช้จังหวัดเป็น ‘เขตเลือกตั้ง’ แต่ละจังหวัดจะมีผู้แทนประชาชน 1-5 คน ขึ้นอยู่กับจำนวนประชากร โดยผู้ได้รับการเลือกตั้ง 100 คน ให้คำนวณจากผู้ที่ได้รับคะแนนสูงสุดในแต่ละจังหวัด ตามจำนวนผู้แทนที่แต่ละจังหวัดมี เช่น หากจังหวัด ก. มีผู้แทน 2 คน ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งคือผู้สมัครที่ได้คะแนนสูงสุดอันดับที่ 1-2 เป็นต้น
สำหรับอำนาจหน้าที่ของคณะผู้แทนประชาชนนั้น ในระหว่างที่มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ อาจถูกกำหนดไว้ที่ 6-12 เดือน ให้ทั้ง 2 คณะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด และมีการประชุมร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ โดยคณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญ จะมีหน้าที่ชี้แจงความคืบหน้าของร่าง ในขณะที่คณะผู้แทนประชาชน จะมีหน้าที่ซักถามและสะท้อนความเห็นประชาชนต่อร่างที่อยู่ระหว่างการพัฒนา และเมื่อยกร่างเสร็จแล้ว ให้คณะผู้ร่างนำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไปเสนอต่อรัฐสภา
หากรัฐสภาเห็นชอบ ให้นำร่างดังกล่าวไปทำประชามติ เพื่อสอบถามประชาชนว่าเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ หากรัฐสภาไม่เห็นชอบ ให้ร่างดังกล่าวเป็นอันตกไป โดยหากจะมีการจัดทำฉบับใหม่ขึ้นมาอีกฉบับ ให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบให้มีการเลือก 2 คณะชุดใหม่ขึ้นมาตามกระบวนการเดิม ทั้งนี้ 2 คณะดังกล่าว นอกจากร่างรัฐธรรมนูญใหม่แล้ว อาจร่างกฎหมายประกอบ หรือ พ.ร.ป. เพื่อประหยัดเวลา ขณะเดียวกันบุคคลที่ได้รับการเลือกตั้งเข้าไปทำหน้าที่ใน 2 คณะดังกล่าว อาจถูกกำหนดห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง และองค์กรอิสระภายใน 5 ปีแรก เพื่อป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนด้วย
อย่างไรก็ดีโมเดลดังกล่าวของ ปชน.ยังอยู่ระหว่าง ‘ตั้งไข่’ เป็นเพียงการโยนหินถามทางในสังคมเท่านั้น ยังต้องมีกระบวนการหารือ และปรับปรุงวิธีการ และรับฟังข้อเสนอต่าง ๆ จากภายในพรรค ปชน.เพิ่มเติม ซึ่งไทม์ไลน์เบื้องต้น จะพิจารณาวาระ 1 ได้ในช่วงต้นเดือน ต.ค. 2568 และวาระ 2-3 ในช่วงเดือน ธ.ค. พร้อมยุบสภาในเดือน ม.ค. 2569 และจัดทำประชามติรอบแรกในการเลือกตั้ง สส.ทั่วไป คาดว่า จะเป็นช่วงเดือน มี.ค.-ม.ย. 2569
ถัดมาข้อเสนอจาก ‘พรรคเพื่อไทย’ โดย ‘ชลน่าน ศรีแก้ว’ แกนนำพรรคเปิดเผยว่า ภายในพรรคเพื่อไทยได้ประชุมเรื่องนี้กันแล้วอย่างน้อย 3 ครั้ง และเมื่อ 19 ก.ย.ที่ผ่านมา คณะทำงานได้มีการประชุมพิจารณาร่างที่ได้มีการยกร่างเบื้องต้นเสร็๗แล้ว แต่ยังมีข้อท้วงติงบางอย่างที่ปรับปรุงอยู่ โดยหลักเรายึดคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะไม่อยากให้เป็นปัญหา และการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้พรรคเพื่อไทย มุ่งเน้นการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เท่านั้น คือเพิ่มหมวด 15/1 เข้าไป ตามมาตรา 256 ไม่แตะประเด็นอื่นเลย เนื่องจากระยะเวลาสั้น จึงเน้นที่การจัดทำรัฐธรรมนูญ โดยสิ่งที่ต้องคำนึงคือผู้ยกร่างจะเป็นใคร เราใช้คำว่าสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) เพราะจะเป็นถ้อยคำที่ต้องปรากฎในรัฐธรรมนูญ จึงคิดว่าสภาร่างรัฐธรรมนูญ เป็นที่รู้จักและเข้าใจ และเปิดช่องการมีส่วนร่วมมากที่สุด
โดยที่มาของสภาร่างรัฐธรรมนูญ เลี่ยงไม่ให้ขัดกับคำวินิจฉัยของรัฐธรรมนูญ ใช้วิธี ‘เลือกทางอ้อม’ เบื้องต้น กำหนดไว้ประมาณที่ 140-150 คน เนื่องจากเมื่อดูจากร่างแล้วมีอยู่ที่ประมาณ 143 คน แต่ยังมีองค์กรต่าง ๆ ที่ยังขาดหายไป จึงต้องให้เติมเต็ม
แบ่งที่มาออกเป็น 2 ส่วน คือ 1.การมีส่วนร่วมของประชาชนให้มาจากแต่ละจังหวัดเพื่อเลือกเบื้องต้นมา แต่ละจังหวัดจะคำนวณจากฐานประชากร โดยตั้งจำนวนไว้ที่ 100 คน แต่ผู้สมควรได้รับการคัดเลือกจะเป็น 2 เท่า ส่วนจังหวัดที่ค่าเฉลี่ยประชากรไม่ถึง 1 คน ก็จะปัดให้ส่งตัวแทนมา 2 คน 2.ที่มาจากองค์กรต่าง ๆ ให้ส่งตัวแทนมาผ่านการแต่งตั้งของสภา โดยเมื่อได้ทั้ง 2 ส่วนมาแล้ว รัฐสภาจะเป็นผู้แต่งตั้ง
ขณะที่ไทม์ไลน์ของ ‘เพื่อไทย’ นั้น ‘หมอชลน่าน’ ระบุว่า ถ้าไม่มีปัญหาอุปสรรคอื่น และดูจากไทม์ไลน์ที่กระชับที่สุด วาระที่ 1 อย่างช้าต้องไม่เกินวันที่ 29 ต.ค. 2568 เพราะสภาผู้แทนราษฎรจะปิดสมัยประชุมวันที่ 31 ต.ค. 2568 และเปิดสมัยประชุมอีกครั้งในวันที่ 12 ธ.ค. 2568 ดังนั้นตั้งแต่ช่วงต้นเดือน ต.ค.ถึงวันที่ 30 ต.ค.มีโอกาสเสนอและพิจารณาร่างได้ก่อนหน้านั้น โดยพิจารณาในชั้นรับหลักการและตั้งคณะกรรมาธิการ เพื่อพิจารณาร่าง โดยช้าสุดวาระ 3 ต้องไม่เกินกว่าวันที่ 15 ม.ค. 2569 หากดูจากวันแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา คาดว่าน่าจะเป็นวันที่ 29-30 ก.ย.นี้ เมื่อนับคำนวณเวลายุบสภา แล้วเราส่งร่างไป เว้นไว้ 15 วัน เพื่อส่งให้ทำประชามติ ดังนั้นต้องไม่เกินวันที่ 15 ม.ค.2569
ขณะที่โมเดลของ ‘ภูมิใจไทย’ เบื้องต้นยังไม่มีการเปิดเผยออกมา แต่ ‘ก๊กน้ำเงิน’ มีบทบาทสูง ที่ ‘ก๊กส้ม-ก๊กแดง’ ต้องการให้ไปหารือทำความเข้าใจกับ ‘สภาฯสูง’ เพื่อเปิดทางให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ผ่านได้ฉลุย เพราะท้ายที่สุดการแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ ยังมีความจำเป็นต้องใช้เสียงของ สว.ซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญปี 2560 อยู่
อย่างไรก็ดีปัญหาสำคัญที่ถูกหลายคนตั้งคำถามคือทั้ง 2 โมเดลดังกล่าวของ ‘ปชน.-เพื่อไทย’ สามารถอุดช่องโหว่ ‘อิทธิพลทางการเมือง’ ได้หรือไม่

‘ไอติม-พริษฐ์ วัชรสินธุ’
เบื้องต้น ‘ไอติม พริษฐ์’ อธิบายว่า โมเดลของ ปชน.ไม่เหมือนการเลือก สว.อยู่แล้ว เพราะไม่ใช่การเลือกตั้ง เพื่อให้ผู้สมัครคัดเลือกกันเอง ไม่มีอะไรใกล้เคียงกับการเลือก สว.เลย ยืนยันว่า ไม่ได้เป็นข้อกังวลที่เกี่ยวข้องกับใคร
“ส่วนเรื่องอิทธิพลทางการเมือง ถ้าเรายึดมั่นในหลักการของระบอบประชาธิปไตย เราให้ความสําคัญกับกระบวนการเลือกตั้ง ที่ประชาชนมีหนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียงตัดสินใจในแต่ละเรื่อง หากเรากังวลใจว่า คณะไหนจะถูกอิทธิพลกลุ่มการเมืองมาผูกขาดหรือไม่ วิธีการที่ดีที่สุด คือการส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด เพราะจะทําให้ไม่สามารถมีกลุ่มทางการเมืองกลุ่มใดผูกขาดการกํากับคณะดังกล่าวได้ เพราะประชาชนโดยธรรมชาติย่อมมีความเห็นที่หลากหลาย” พริษฐ์ ระบุ
ทั้งหมดคือโมเดลแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในประเด็น ‘สสร.’ เท่าที่มีการเปิดเผยต่อสาธารณะในเวลานี้ สุดท้ายทั้ง 3 พรรคจะเคาะเลือกโมเดลใด และการแก้รัฐธรรมนูญจะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ ต้องจับตาหลังจากนี้
