
"...หลายคนที่ได้อ่านเนื้อหาในคำร้องนี้ทั้งหมด อาจจะเห็นว่าข้อเท็จจริงในคำร้องไม่ได้ไปทางเดียวกับข้อกล่าวหาซักเท่าไหร่ และเห็นได้ถึงการพยายามอ้างว่าข้อตกลงใน MOA เป็นการกระทำที่เข้าข่ายตามมาตรา 185 (1) และ (2) เพื่อที่จะทำให้ สส.หนึ่งในสิบของจำนวน สส.เท่าที่มีอยู่ สามารถใช้สิทธิตามมาตรา 82 เข้าชื่อกันร้องต่อประธานเพื่อเสนอเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ โดยพยายามบรรยายคำร้องเพื่อปรับให้เข้ากับมาตรานี้ให้ได้..."
5 ก.ย.2568 ระหว่างเวลาที่สภากำลังพิจารณาเพื่อที่จะโหวตนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี
ในเวลาก่อนเที่ยงของวันเดียวกัน สส.พรรคเพื่อไทย ประมาณ 60 คน ได้เข้าชื่อกันยื่นหนังสือต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรแบบด่วนจี๋ เพื่อขอให้เสนอคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการกระทำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล และนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ซึ่งได้ลงนามร่วมกันในบันทึกข้อตกลง หรือ M0A อันเป็นที่มาของการที่นายอนุทินจะได้รับการโหวตเป็นนายกรัฐมนตรี ว่าทำให้สมาชิกภาพ สส.ของผู้ถูกร้องทั้ง 2 คนต้องสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (7) หรือไม่ เนื่องจากเห็นว่าการลงนามใน MOA เป็นการกระทำต้องห้ามตามมาตรา 185 (1) และ (2)
โดยกล่าวหาว่านายอนุทินและนายณัฐพงษ์ ใช้สถานะ สส.กระทำการเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่พรรคของตน ด้วยการก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติงานของข้าราชการ พนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ และกระทำการให้ตนมีส่วนร่วมในการใช้จ่ายเงินงบประมาณหรือให้ความเห็นชอบในการจัดทำโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐ

หลายคนที่ได้อ่านเนื้อหาในคำร้องนี้ทั้งหมด อาจจะเห็นว่าข้อเท็จจริงในคำร้องไม่ได้ไปทางเดียวกับข้อกล่าวหาซักเท่าไหร่ และเห็นได้ถึงการพยายามอ้างว่าข้อตกลงใน MOA เป็นการกระทำที่เข้าข่ายตามมาตรา 185 (1) และ (2) เพื่อที่จะทำให้ สส.หนึ่งในสิบของจำนวน สส.เท่าที่มีอยู่ สามารถใช้สิทธิตามมาตรา 82 เข้าชื่อกันร้องต่อประธานเพื่อเสนอเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ โดยพยายามบรรยายคำร้องเพื่อปรับให้เข้ากับมาตรานี้ให้ได้
ด้วยเหตุที่ต้องการยื่นคำร้องแบบเร่งด่วนจึงอาจทำให้ขาดความถ้วนถี่ หรือด้วยความเป็นนักร้องมือใหม่เนื่องจากพรรคเพื่อไทยไม่ค่อยได้กล่าวหาใคร มีแต่คนอื่นกล่าวหาพรรคเพื่อไทย ทำให้คำร้องมีเนื้อหาผสมปนเปกันหลายเรื่อง โดยเนื้อหาส่วนใหญ่ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นหลักที่ร้อง หรือไม่สามารถเชื่อมโยงไปยังประเด็นหลักได้ หรืออาจจะเป็นเพราะข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจริงไม่อาจปรับเข้ากับตัวบทกฎหมายในมาตรา 185 (1) และ (2) ได้
ต่อมาในวันที่ 8 ก.ย.2568 จึงมีข่าวว่าผู้ยื่นคำร้องได้ขอเรื่องคืนกลับไปจากประธานสภาเพื่อตรวจสอบรายชื่อ สส.ที่อาจเข้าชื่อซ้ำกัน และขอตรวจสอบเนื้อหาใหม่อีกครั้ง
ความต้องการที่จะกล่าวหาว่าเหตุการณ์ก่อนวันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ที่มีการทำ MOA ขัดต่อรัฐธรรมนูญหลายเรื่อง แต่มีช่องทางเดียวที่จะส่งเรื่องจะไปให้ถึงศาลรัฐธรรมนูญได้โดยเร็ว คือการยื่นตรวจสอบคุณสมบัติ สส.ตามมาตรา 101 จึงได้ใช้ช่องทางนี้ แต่การบรรยายคำร้องว่าข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นขัดต่อรัฐธรรมนูญหลายเรื่องซึ่งไม่เกี่ยวกับคุณสมบัติ สส. กลับจะทำให้ข้อกล่าวหาหลักเจือจางลงไป เพราะเรื่องที่บรรยายไม่สนับสนุนข้อกล่าวหาหลักและกินหน้ากระดาษของคำร้องไปโดยไม่เกิดประโยชน์ ซึ่งจะทำให้ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าข้อเท็จจริงไม่เพียงพอที่จะกล่าวหาในเรื่องที่เป็นข้อกล่าวหาตามคำร้อง อาจไม่รับคำร้องไว้พิจารณาตั้งแต่แรกเลยก็ได้ แม้ประธานสภาจะทำหน้าที่เสนอเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญถูกต้องตามขั้นตอนก็ตาม การกล่าวหาในคำร้องนี้บางเรื่องจะต้องยื่นไปยังนายทะเบียนพรรคการเมืองของคณะกรรมการการเลือกตั้งเพื่อเสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญ และบางเรื่องจะต้องยื่นผ่านอัยการสูงสุดไปยังศาลรัฐธรรมนูญ โดยคำร้องของ 60 สส.ที่ถอนเรื่องคืนไปแล้ว ซึ่งแยกเป็น 2 ข้อ แต่ละข้อเป็นการบรรยายถึงเหตุแห่งการยุบพรรคการเมือง ซึ่งไม่ใช่เรื่องคุณสมบัติของ สส.ที่จะยื่นผ่านประธานสภาไปยังศาลรัฐธรรมนูญได้
ลองดูรายละเอียดของคำร้องนี้ทั้ง 3 หน้า ว่าเป็นเช่นนี้หรือไม่ เพื่อเป็นกรณีศึกษาสำหรับการทำคำร้องต่อไป โดยไม่มีเจตนาจับผิดแต่ประการใด เพราะไม่ทราบว่าผู้ร้องเป็น สส.ท่านใดบ้าง
เรื่องที่กล่าวหาระบุว่า ขอให้วินิจฉัยสมาชิกภาพ สส.ของนายอนุทินและนายณัฐพงษ์ สิ้นสุดลง “เฉพาะตัว” ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (7) ประกอบมาตรา 185 (1) และ (2) หรือไม่ ซึ่งการสิ้นสุดสมาชิกภาพของ สส.ไม่มีการสิ้นสุดแบบเฉพาะตัวหรือทั้งสภา มีแต่สมาชิกภาพสิ้นสุดลงเป็นรายบุคคลอย่างเดียวเท่านั้น จึงไม่จำเป็นต้องระบุว่าเฉพาะตัว ซึ่งในมาตรา 101 ก็ไม่มีคำว่าเฉพาะตัว แตกต่างจากคณะรัฐมนตรีที่ความเป็นรัฐมนตรีอาจสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามมาตรา 170 หรืออาจต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ ตามมาตรา 167
เนื้อหาในหนังสือคำร้องหน้าที่ 1 และอีกครึ่งหน้าของหน้าที่ 2 บรรยายถึงความเป็นมาก่อนการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี และยกรายละเอียดทั้ง 5 ข้อ ใน MOA มาแสดงไว้ ต่อจากนั้นตั้งแต่ครึ่งหลังของหน้าที่ 2 ได้เข้าสู่การกล่าวหา ซึ่งระบุว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และ พรป.พรรคการเมือง หลายประการ
เริ่มต้นที่ข้อ 1 ระบุว่า เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพเพื่อล้มล้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (ซึ่งเป็นเหตุยุบพรรคการเมือง ตาม พรป.พรรคการเมือง มาตรา 92 วรรคหนึ่ง (1) ซึ่งเป็นคนละข้อกล่าวหากับเรื่องที่ยื่นคำร้อง และถ้าจะให้ครบถ้วนต้องเขียนว่า “ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย” โดยอ้างว่าการล้มล้างการปกครองเกิดขึ้นจาก MOA ทำให้ สส.ไม่ปฏิบัติตามมาตรา 114 เนื่องจาก สส.ของพรรคประชาชน พรรคภูมิใจไทย และพรรคร่วมรัฐบาลในอนาคต ต้องปฏิบัติหน้าที่โดยอยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมายหรือความครอบงำของพรรคประชาชน และเป็นไปเพื่อประโยชน์ของพรรคประชาชน ในย่อหน้าที่ 2 ของข้อที่ 1 ระบุว่า MOA จะทำให้ ครม.ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 164 เนื่องจาก MOA กำหนดให้ยุบสภาภายใน 4 เดือน และต้องไม่ทำให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก โดยระบุว่า MOA ขัดต่อหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตย
การบรรยายคำร้องในข้อ 1 นี้ พยายามชี้ให้เห็นว่า จะมีการปฏิบัติตนของ สส.ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 114 คือการอยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมาย ที่มาจาก MOA และ ครม.ก็จะปฏิบัติหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 164 ซึ่งไม่ได้บรรยายคำร้องที่จะเชื่อมโยงให้เห็นว่านายอนุทินและนายณัฐพงษ์ ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามของการเป็น สส.ตามมาตรา 101 (7) อย่างไร และการจั่วหัวในข้อ 1 นี้ว่า เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพเพื่อล้มล้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นเรื่องที่ไกลเกินกว่าเหตุมาก และไม่สัมพันธ์กับข้อกล่าวหาหลัก
ในข้อ 2 ซึ่งอยู่ในหน้าที่ 3 ระบุว่า การกระทำของพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชนเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ขัดต่อ พรป.พรรคการเมือง มาตรา 46 (เหตุยุบพรรค ตามมาตรา 92 วรรคหนึ่ง (3)) ผสมด้วยการกล่าวหาว่าพรรคภูมิใจไทยยินยอมรับการครอบงำของพรรคประชาชน และพรรคประชาชนทำการครอบงำพรรคประชาชน ซึ่งฝ่าฝืน พรป.ดังกล่าว มาตรา 28 และมาตรา 29 (เฉพาะมาตรา 28 เป็นเหตุยุบพรรค ตามมาตรา 92 วรรคหนึ่ง (3)) และนำไปผสมต่อไปด้วยการกล่าวหาว่า ทั้ง 2 พรรค กระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งไม่ได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ (เหตุยุบพรรค ตามมาตรา 92 วรรคหนึ่ง (1) และกระทำการอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (เหตุยุบพรรค ตามมาตรา 92 วรรคหนึ่ง (2))
ในคำร้องข้อ 1 และข้อ 2 ล้วนเป็นการพยายามให้เหตุผลในเบื้องต้นที่เป็นเหตุแห่งการยุบพรรคการเมืองทั้งสิ้น ไม่ใช่เรื่องที่จะชี้ให้เห็นว่าผู้ถูกร้องทั้ง 2 คน ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามที่จะทำให้สมาชิกภาพ สส.สิ้นสุดลงโดยชัดเจนอย่างไร
แม้ย่อหน้าสุดท้ายของคำร้อง จะได้สรุปว่าเป็นการใช้สถานะของ สส.ของผู้ถูกร้องทั้ง 2 คน ก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ราชการของ ครม.และหน่วยงานของรัฐ จากการกระทำตามที่กล่าวมา ก็เป็นแต่เพียงการสรุปซึ่งไม่สอดคล้องกับรายละเอียดใน 2 ข้อ ที่ได้บรรยายไว้ นอกจากนี้ยังได้สรุปเพิ่มเติมอีกว่าการดำเนินการตาม MOA จะต้องใช้งบประมาณในการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่และการออกเสียงประชามติ เพื่อที่จะชี้ให้เห็นว่าจะมีการกระทำขัดกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 185 (2) ที่ห้าม สส.มีส่วนร่วมในการใช้จ่ายเงินงบประมาณ หรือให้ความเห็นชอบในการจัดทำโครงการ ซึ่งข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นไม่ได้เข้ามาใกล้ข้อกล่าวหานี้แม้แต่น้อย
การถอนเรื่องกลับไปตรวจสอบเนื้อหาใหม่ จึงเป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้ว



แต่เมื่อมีการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีแล้ว หากพรรคฝ่ายค้านใหม่ยังคงต้องการล้มรัฐบาลอยู่อีก
ก็มีกรณีที่จะใช้ทางลัดตามที่อยากจะใช้ได้แล้ว โดยใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 โดย สส.60 คน กลุ่มเดิม อาจยื่นหนังสือผ่านประธานสภาเพื่อขอให้ส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรี ต้องสิ้นสุดลงตามมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ที่เป็นคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามยอดนิยมตามมาตรา 160 (4) เรื่องความซื่อสัตย์สุจริต และ (5) เรื่องมาตรฐานทางจริยธรรม หรือไม่
เมื่อนายอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว สส.สามารถตรวจสอบคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีของนายอนุทินได้ แม้จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนการเข้าดำรงตำแหน่งก็ตาม โดยเฉพาะในเรื่องการมีพฤติกรรมฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ข้อ 5 ที่กำหนดว่า ต้องยึดมั่นและธำรงไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เนื่องจากการทำ MOA เช่นนี้ ยังเป็นที่สงสัยของประชาชนจำนวนมากว่าทำได้หรือไม่
การทำ MOA ที่กำหนดมาตรการบังคับไว้ล่วงหน้า อาจทำให้นายอนุทินถูกกล่าวหาอย่างน้อย 3 เรื่อง คือ
1. นายอนุทินอาจถูกกล่าวหาว่า เป็นผู้ร่วมกระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยนายอนุทินและคณะรัฐมนตรีไม่ได้มาซึ่งอำนาจบริหารราชการแผ่นดินโดยครบถ้วน ทั้งที่ควรจะเป็นอำนาจอธิปไตยของฝ่ายบริหารทั้งหมด แต่อำนาจบริหารอีกส่วนหนึ่งอยู่ภายใต้การถูกบงการของพรรคประชาชน ในลักษณะที่เป็นอำนาจแฝงในเรื่องการจัดให้มีการออกเสียงประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้ง และเรื่องการใช้อำนาจกราบบังคมทูลร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภา ซึ่งแสดงถึงการไม่ยึดมั่นและธำรงไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตย
2. นายอนุทินอาจถูกกล่าวหาว่า เป็นผู้ที่รับว่าจะให้ประโยชน์อื่นใดแก่พรรคประชาชน ได้แก่การรับว่าจะให้อำนาจแฝงบางเรื่องแก่พรรคประชาชน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อพรรคประชาชนให้ได้รับคะแนนนิยมจากประชาชนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งในการเลือกตั้ง สส.ครั้งต่อไปภายหลังยุบสภา โดยการให้ประโยชน์เช่นนี้เป็นการจูงใจให้ สส.พรรคประชาชน โหวตให้ตนได้รับคะแนนเสียงเพียงพอที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นข้อห้ามมิให้ผู้ใดให้ประโยชน์อื่นใดแก่พรรคการเมืองเพื่อแลกกับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตาม พรป.พรรคการเมือง มาตรา 46 ซึ่งการกระทำเช่นนี้ถือว่ามีความร้ายแรงและเป็นภัยคุกคามต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย จึงกำหนดให้ผู้กระทำได้รับโทษสถานหนักคือ จำคุก 10-20 ปี และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง (ตลอดชีวิต) ซึ่งแสดงถึงการไม่ยึดมั่นและธำรงไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตย
3. นายอนุทินอาจถูกกล่าวหาว่า เป็นหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยที่ยินยอมให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำ ทำให้พรรคภูมิใจไทยขาดความอิสระ โดยยินยอมที่จะไม่ดำเนินการด้วยวิธีการใด ๆ เพื่อให้รัฐบาลที่ตนเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก ทั้งที่อาจทำได้และเกิดผลดีทำให้รัฐบาลของพรรคภูมิใจไทยมีเสถียรภพ แต่ขาดความอิสระที่จะกระทำเพราะยินยอมรับการควบคุมจากพรรคประชาชน ซึ่งแสดงถึงการไม่ยึดมั่นและธำรงไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตย
โดยทั้ง 3 ข้อนี้ ศาลรัฐธรรมนูญอาจไม่ถือว่าถึงขั้นฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงก็ได้
