
"...เมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยกรณีของนายพิเชษฐ์ โดยไม่รับคำร้องไว้พิจารณาในส่วนที่เกี่ยวกับการพิจารณางบประมาณที่ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว จึงอาจจะทำให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ต้องพิจารณาทบทวนอีกครั้งว่า การเสนอทั้ง 3 เรื่อง ไปยังศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นคำร้องที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับไว้พิจารณาหรือไม่ ..."
ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 วินิจฉัยกรณี นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน สส.จังหวัดเชียงราย และรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 กระทำการขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง ในกระบวนการพิจารณาร่าง พรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 เป็นเหตุให้สมาชิกภาพ สส.สิ้นสุดลง และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปี โดยคำร้องของ สส.จากพรรคประชาชน ผู้ร้อง ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมขอให้วินิจฉัยการกระทำของนายพิเชษฐ์ทั้งในกระบวนการพิจารณางบประมาณ ปี 2568 และปี 2569 ไปพร้อมกัน
แต่ในชั้นพิจารณารับคำร้อง ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาว่า ร่าง พรบ.งบประมาณฯ พ.ศ.2568 ได้รับการพิจารณาเสร็จสิ้นและเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับแล้ว ไม่อยู่ในขั้นตอนของการอนุมัติงบประมาณรายจ่ายในกระบวนการทางนิติบัญญัติ ไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ไม่รับคำร้องในส่วนที่เกี่ยวกับงบประมาณ ปี 2568 ไว้พิจารณา โดยรับไว้พิจารณาเฉพาะในส่วนที่เกี่ยงข้องกับงบประมาณ ปี 2569 ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาในกระบวนการทางนิติบัญญัติซึ่งได้ดำเนินการไปแล้วเพียงบางส่วน แต่ยังไม่แล้วเสร็จทั้งหมดในขณะที่เสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ
แสดงว่าศาลรัฐธรรมนูญจะไม่รับคำร้องไว้พิจารณาในส่วนที่เกี่ยวกับการเสนอหรือการแปรญัตติหรือการกระทำด้วยประการใด ๆ ของงบประมาณประจำปี 2568 หรือปีก่อนหน้า ที่ได้มีการพิจารณาเสร็จสิ้นไปแล้ว ทำให้เห็นได้ถึงแนวการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญว่า จะรับไว้พิจารณาเฉพาะกรณีที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณที่กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาเท่านั้น โดยการพิจารณางบประมาณนั้นจะต้องยังไม่แล้วเสร็จและยังคงอยู่ในกระบวนการทางนิติบัญญัติ เพื่อที่ศาลรัฐธรรมนูญจะได้ระงับยับยั้งและมีคำสั่งให้กระบวนการทางนิติบัญญัติที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ซึ่งได้ดำเนินการไปแล้วบางส่วนสิ้นนั้นผลไปก่อนที่จะนำงบประมาณไปใช้จ่าย
รวมทั้งวินิจฉัยว่าผู้กระทำที่มีตำแหน่งหน้าที่ตามที่ระบุในมาตรา 144 ควรจะได้รับโทษในทางการเมืองอย่างไรเท่านั้น ซึ่งเป็นกรณีที่รัฐธรรมนูญมีเจตนารมณ์ให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยให้แล้วเสร็จอย่างเร่งด่วนภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับคำร้อง เพื่อที่จะมีคำสั่งให้การกระทำที่ขัด มาตรา 144 วรรคสอง สิ้นผลได้ทันก่อนที่จะนำงบประมาณในเรื่องนั้นไปใช้จ่าย ศาลรัฐธรรมนูญจึงจะไม่รับพิจารณาคำร้องเกี่ยวกับงบประมาณที่พิจารณาเสร็จสิ้นไปแล้ว ซึ่งเป็นกรณีที่ไม่อาจหยุดยั้งได้แล้ว โดยการพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเน้นไปที่การมีคำสั่งให้กระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญต้องสิ้นผลไปโดยงบประมาณนั้นไม่ถูกนำไปใช้จ่าย
ส่วนการเพิกถอนสิทธิทางการเมืองของผู้กระทำเป็นเรื่องที่มีผลตามมาเท่านั้น ดังนั้น การพิจารณางบประมาณที่เสร็จสิ้นไปแล้วหรือได้ใช้จ่ายเงินงบประมาณไปแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญไม่จำเป็นต้องรับไว้พิจารณาอย่างเร่งด่วนภายใน 15 วัน ตามมาตรา 144 วรรคสาม แต่ควรจะอยู่ในเขตอำนาจการพิจารณาของศาลอื่น
แนวการพิจารณารับคำร้องของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ไม่รับคำร้องไว้พิจารณา ในกรณีที่ พรบ.งบประมาณได้พิจารณาเสร็จสิ้นไปแล้ว แม้ว่าจะมีการกระทำที่อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 ก็ตาม ย่อมจะกระทบต่อเรื่องตามมาตรา 144 ที่อยู่ระหว่างการสอบสวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ในขณะนี้ ซึ่งมีจำนวนอย่างน้อย 3 เรื่อง คือ
1) กรณี ครม.สส.สว.และคณะกรรมาธิการ ปรับลดงบประมาณปี 2568 ที่รับหลักการไปแล้ว เพื่อชดเชยความเสียหายจากการดำเนินโครงการตามนโยบายรัฐให้กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจ 5 แห่ง จำนวน 3.5 หมื่นล้านบาท ให้ไปเป็นงบกลางและต่อมานำไปใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเลต เฟส 2 ที่ยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.โดยนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ และคณะ
2) กรณี ครม.นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นำเงินงบประมาณเพิ่มเติม ปี 2567 จำนวน 1.22 แสนล้านบาท สำหรับกระตุ้นเศรษฐกิจโดยจะต้องผ่านรายจ่ายเพื่อการลงทุนร้อยละ 80 ไปใช้แจกเงินหมื่นให้กับกลุ่มเปราะบางเพื่อการบริโภคทั้งจำนวน 1.22 แสนล้านบาท ในโครงการดิจิทัลวอลเลต เฟส 1 ซึ่งยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.โดยคณะนิติชน-เชิดชูธรรม
และ 3) กรณี สส.พรรคเพื่อไทย และผู้ที่เกี่ยวข้อง แทรกแซงการจัดทำงบประมาณ ปี 2568 ในโครงการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อประโยชน์ของตนเองและผู้อื่นหรือพรรคการเมือง ซึ่งก่อนหน้านี้คาดกันว่าทั้ง 3 เรื่องนี้ หากคณะกรรมการ ป.ป.ช.สอบสวนแล้วเห็นว่ามีมูล จะเสนอเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญในเวลาอีกไม่นานนี้
แต่เมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยกรณีของนายพิเชษฐ์ โดยไม่รับคำร้องไว้พิจารณาในส่วนที่เกี่ยวกับการพิจารณางบประมาณที่ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว จึงอาจจะทำให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ต้องพิจารณาทบทวนอีกครั้งว่า การเสนอทั้ง 3 เรื่อง ไปยังศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นคำร้องที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับไว้พิจารณาหรือไม่ เนื่องจากทุกเรื่องล้วนเกี่ยวข้องกับงบประมาณปี 2567 และปี 2568 ที่ได้ตราเป็น พรบ.และบังคับใช้ไปแล้วทั้งสิ้น โดยไม่ได้อยู่ในระหว่างขั้นตอนของการอนุมัติงบประมาณในกระบวนการทางนิติบัญญัติ จึงจะทำให้ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม ประกอบ พรป.วิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ มาตรา 7 (7) ที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วางแนวการพิจารณาไม่รับคำร้องไว้แล้วในกรณีของนายพิเชษฐ์
คณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงอาจจะไม่ดำเนินการสอบสวนโดยพลันหรือในทันทีตาม พรป.ปปช.มาตรา 88 แต่อาจจะดำเนินการตามปกติและมุ่งหน้าไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ชดใช้ความเสียหาย เพิกถอนสิทธิทางการเมือง และกำหนดความรับผิดทางอาญา ให้จบในคราวเดียวกันเลยก็ได้

@ พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน
ผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณีนายพิเชษฐ์ จึงชี้ว่าเรื่องที่กำลังอยู่ในระหว่างการสอบสวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. 3 เรื่อง ซึ่งมี สส. สว. กรรมาธิการ และ ครม เกี่ยวข้องจำนวนหลายร้อยคน อาจจะไม่ได้รับการวินิจฉัยโดยศาลรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกับกรณีของนายพิเชษฐ์ เพราะเป็นเรื่องของงบประมาณ ปี 2567 และปี 2568 ที่พ้นกระบวนการทางนิติบัญญัติไปแล้ว
ระเบิดปรมาณูที่คาดว่าจะทำลายล้างทั้งสภาและทั้งทำเนียบ ตามที่คาดการณ์กันไว้ว่าจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ อาจจะเดินทางไปไม่ถึงศาลรัฐธรรมนูญที่มีกระบวนการพิจารณาที่รวดเร็ว แต่อาจต้องเปลี่ยนทิศทางไปที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งจะต้องใช้เวลาทั้งในขั้นตอนของ ป.ป.ช. อัยการ และศาล นานกว่าการเสนอเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญมาก
แต่ประสิทธิภาพการทำลายล้างของศาลฎีกา อม.ไม่แตกต่างกับศาลรัฐธรรมนูญมากนัก หรืออาจจะเหนือกว่าอีกเสียด้วย เพราะพิจารณาได้ครบทุกเรื่อง ทั้งการพ้นสมาชิกภาพ การพ้นตำแหน่ง การเรียกให้ชดใช้เงินคืน และการลงโทษทางอาญา รวมทั้งการเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งกรณีที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งโดยไม่ได้กำหนดว่าไม่เกินกี่ปีต่อท้าย
แนวคำพิพากษาศาลฎีกาจะตีความว่ารัฐธรรมนูญบัญญัติให้เพิกถอนสิทธิตลอดชีวิต โดยที่ศาลไม่อาจใช้ดุลพินิจได้ แตกต่างจากแนวการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในกรณีเดียวกัน ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาตามหลักความได้สัดส่วนพอเหมาะพอควรระหว่างพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งการกระทำ กับโทษทางการเมืองที่จะได้รับ โดยจะมีระยะเวลาพ้นโทษซึ่งไม่เป็นการลงโทษตลอดชีวิต
จึงต้องรอดูกันอีกยาว ไม่ใช่เร็ว ๆ นี้ เสียแล้ว !!
