"...ต้องจับตาว่า การตรวจสอบของ กกต.ครั้งนี้ จะเป็นไปอย่าง ‘สุจริต โปร่งใส และเที่ยงธรรม’ คือตรวจสอบทุกกลุ่มทุกฝ่าย ให้ดำเนินการภายใต้กฎหมายฉบับเดียวกัน มิใช่เพ่งเล็งแค่ ‘คณะก้าวหน้า’ ที่พยายามท้าทาย ‘ขั้วอำนาจเดิม’ หรือไม่..."
นับถอยหลังอีกไม่เกิน 3 สัปดาห์ สว.ชุดสรรหาโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะหมดอำนาจลง แต่ยังคงรักษาการจนกว่าจะมีวุฒิสภาชุดใหม่เข้ามาดำรงตำแหน่ง หากดูตามไทม์ไลน์ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่จัดเลือก สว.ชุดใหม่ในปี 2567 รวม 200 คน (เดิมมี 250 คน) คาดว่าภายใน ก.ค.นี้จะรู้ผล
ประเด็นที่น่าสนใจศึกเลือก สว.ครั้งนี้ มี ‘คณะก้าวหน้า’ นำโดย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ โดดร่วมวงเข้ามาร่วมชิงชัยด้วย เปิดแคมเปญรณรงค์ประชาชนร่วมกับสมัคร สว. เพื่อ ‘เสียงอิสระ’ โหวต สว.เข้าไปทำหน้าที่ตามระบอบประชาธิปไตย ล้างบาง ‘ขั้วอำนาจเก่า’ โฟกัสไปที่ 2 ประเด็นหลักคือการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ใช้ ส.ส.ร.มาจากการเลือกตั้ง 100% นอกจากนี้เตรียมรื้อโครงสร้างองค์กรอิสระใหม่ทั้งหมด เน้นไปที่การสรรหาบุคคลให้มีที่ทางยึดโยงกับประชาชน
นั่นจึงทำให้บรรดา ‘ขั้วอำนาจเก่า’ เริ่มเพ่งเล็งไปที่ ‘คณะก้าวหน้า’ ในทันที เริ่มจากบรรดา สว.หลายคน ออกมาวิพากษ์วิจารณ์แคมเปญดังกล่าว เช่น ‘สมชาย แสวงการ’ สว. ชี้ให้เห็นว่าแคมเปญนี้ไม่สามารถทำได้ เพราะอาจขัดต่อ พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งวุฒิสภา 2561 จนเกิด ‘วิวาทะ’ ตอบโต้กันหลายครั้งตามที่ปรากฏเป็นข่าวไปแล้วก่อนหน้านี้
ต้องไม่ลืมว่า ก่อนที่ ‘คณะก้าวหน้า’ จะผุดไอเดียนี้ขึ้นมา มีความเคลื่อนไหวมาราว 1-2 เดือนก่อน ‘แกนนำคณะก้าวหน้า’ บางคน ร่วมกับ ‘โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน’ หรือ ‘ไอลอว์’ ได้หารือในทางลับ เพื่อหายุทธวิธี ‘ล้างมรดก คสช.’ สรุปได้ว่า ควรเริ่มจากการส่งคนไปนั่งใน ‘สภาสูง’ เพื่อกุมเสียงโหวตบางส่วนเอาไว้ อย่างน้อย 70-100 คน อย่างไรก็ดีตามกฎหมายปัจจุบัน ไม่สามารถหนุนหลังผู้สมัคร สว.คนใดได้ จึงเปลี่ยนเป็น ‘แคมเปญ’ รณรงค์ให้ประชาชนเข้าไปสมัคร สว.เพื่อใช้ ‘เสียงอิสระ’ โหวต สว.ที่มาจากฝ่ายประชาธิปไตยแทน
@ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
สอดรับไปกับบรรดา ‘นักวิชาการ’ หลายคน ออกมาประกาศตัวพร้อมชิงเก้าอี้ สว. เพื่อเข้าไปสร้างความเปลี่ยนแปลง โดยโชว์จุดยืนใกล้เคียงกับ ‘คณะก้าวหน้า’ นั่นคือ การแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และการสรรหาบุคคลไปนั่งเก้าอี้องค์กรอิสระ ต้องมีความ ‘เป็นกลาง’ และยึดโยงกับภาคประชาชน เป็นต้น
ในช่วงเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา แกนนำ ‘คณะก้าวหน้า’ เริ่มเดินสายคุยกับสื่อหลายสำนัก เพื่อขอให้เปิดพื้นที่แก่พวกเขา ในการรณรงค์ ‘เสียงอิสระ’ เข้าไปโหวต สว. ต่อมาเมื่อ 22 เม.ย. 2567 ‘ธนาธร’ แถลงข่าวที่อาคารอนาคตใหม่ โดยยืนยันตอนหนึ่งว่า ต้องการ สว.ที่มาจากเสียงโหวตอิสระ เข้าไปนั่งในสภาสูงราว 70 คน เพื่อแก้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และสรรหาคนนั่งองค์กรอิสระ โดยยืนยันว่าแคมเปญนี้มิได้มีการฮั้วกับผู้สมัคร สว. และไม่ได้สนับสนุนใครแต่อย่างใด ส่วนเสียงอิสระที่เข้าไปจะโหวตใครเป็นเรื่องของพวกเขา พร้อมกับเปิดเว็บไซต์ให้ประชาชนที่สนใจสมัคร สว.เข้าไปกรอกข้อมูล และแสดงวิสัยทัศน์ได้
"การเลือก สว. รอบนี้ใช้วิธีคิดแบบเดียวกับเลือกตั้ง สส.ไม่ได้ เพราะกฎกติกาการเลือกคนละแบบไม่เหมือนกันเลย แต่คิดว่าคนสมัครยิ่งเยอะยิ่งดี ดังนั้นเชิญชวนอีกครั้งถ้าใครคิดว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องสำคัญ อย่าอยู่เฉยๆ ต้องออกแรง ต้องขยับต้องร่วมกันลงแรง เสียดายผมถูกตัดสิทธิ์ไปแล้ว ร่วมลงแรงในเกมนี้กับทุกท่านไม่ได้" ธนาธร กล่าว
เมื่อ ‘คณะก้าวหน้า’ เริ่มเดินแรง ประกอบกับกระแส ‘องคาพยพสีส้ม’ ที่ยังคง ‘กระแสสูง’ เห็นได้จาก ‘พรรคก้าวไกล’ ชนะการเลือกตั้ง สส. 2567 ได้เสียงมาเป็นอันดับ 1 แต่จัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ จากเล่ห์เหลี่ยม ‘นักเลือกตั้ง’ ย่อมส่งผลให้ ‘ด้อมส้ม’ เพิ่มจำนวนมากขึ้น อาจทำให้กลไก สว.ที่ คสช.วางโครงสร้างเอาไว้หวังเป็น ‘ผนังทองแดง กำแพงเหล็ก’ ของฝ่ายอนุรักษ์นิยม อาจพังครืนลงมาได้
กกต.จึงเริ่มขยับดำเนินการตรวจสอบในเรื่องนี้ทันที โดยเมื่อวันที่ 26 เม.ย.ที่ผ่านมา ศูนย์ต่อต้านข่าวเท็จ สำนักงาน กกต. ออกเอกสารข่าวฉบับที่ 1/2567 ระบุว่า พบกลุ่มบุคคลรณรงค์ให้บุคคลเสนอตัวสมัคร สว. โดยมีการกรอกจุดยืน ข้อมูลส่วนตัวในเว็บไซต์เพื่อให้ผู้จัดแคมเปญทำการรวบรวมรายชื่อผู้สมัครเผยแพร่อยู่ในเว็บไซต์ของตนเอง อาจเข้าข่ายเป็นการ ‘จัดตั้ง’ ซึ่งส่อผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา 2561 จึงขอแจ้งให้ผู้ประสงค์จะสมัครเข้ารับเลือกเป็น สว.อย่าได้ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด หรือกรอกข้อมูลส่วนบุคคล รวมทั้งจุดยืนของตนเองให้เผยแพร่และปรากฎอยู่ในเว็บไซต์ หรือสื่อสังคมออนไลน์ใด ๆ เด็ดขาด นอกจากนี้ กกต.กำลังรวบรวมข้อเท็จจริงว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการขัดต่อกฎหมายหรือไม่อีกทางด้วย
แหล่งข่าวระดับสูงจากสำนักงาน กกต.เปิดเผยเรื่องนี้ว่า การสมัคร สว.ชุดใหม่ในปี 2567 แตกต่างจากการสมัคร สว.เดิมเมื่อปลายปี 2561 ซึ่งเป็นไปตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ ดังนั้นโดยหลักการแล้วการสมัคร สว.ปี 2567 ต้องลงสมัครด้วยตัวเอง และห้ามรณรงค์หาเสียง ห้ามมิให้หน่วยงานหรือองค์กรใดสนับสนุน หรือแม้แต่องค์กรใดสนับสนุนให้เกิดการรณรงค์ให้มีการสมัคร สว.ด้วย การกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายตามมาตรา 77, 79 และ 81 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา 2561
สำหรับมาตรา 77 ระบุว่า ผู้ใดกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้เพื่อจูงใจให้ผู้อื่นสมัครเข้ารับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือถอนการสมัคร หรือกระทําการใด ๆ อันไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้ผู้นั้นหมดสิทธิที่จะเลือกหรือได้รับเลือก หรือเพื่อจูงใจให้ผู้สมัครหรือผู้มีสิทธิเลือกลงคะแนนหรือไม่ลงคะแนนให้แก่ผู้ใดต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับและให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกําหนดยี่สิบปี
(1) จัด ทํา ให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นใดอันอาจคํานวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด
(2) ทําการแนะนําตัวด้วยการจัดให้มีมหรสพหรือการรื่นเริงต่าง ๆ
(3) เลี้ยงหรือรับจะจัดเลี้ยงผู้ใด
(4) หลอกลวง บังคับ ขู่เข็ญ ใช้อิทธิพลคุกคาม ใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือจูงใจให้บุคคลอื่นเข้าใจผิดในคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถ หรือชื่อเสียงเกียรติคุณของผู้สมัครใด
ความผิดตาม (1) ให้ถือเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และให้คณะกรรมการมีอํานาจส่งเรื่องให้สํานักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินดําเนินการตามหน้าที่และอํานาจได้
มาตรา 79 ผู้ใดเรียกหรือรับทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นใดเพื่อลงสมัครรับเลือกหรือไม่ลงสมัครรับเลือกเพื่อประโยชน์แก่ผู้สมัครผู้ใด ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกําหนดยี่สิบปี
มาตรา 81 ผู้มีสิทธิเลือกผู้ใดเรียก รับ หรือยอมจะรับเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด สําหรับตนเองหรือผู้อื่น เพื่อเลือกหรืองดเว้นไม่เลือกผู้ใด ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี หรือ ปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้น มีกําหนดสิบปี
ที่น่าสนใจมิใช่มีแค่ ‘คณะก้าวหน้า’ เพียงองค์กรเดียวที่เริ่มเปิดหน้ารณรงค์ให้คนไปสมัคร สว.เพื่อโหวตเลือก สว. แต่บรรดา ‘บ้านใหญ่’ หลายจังหวัด ก็เริ่มเคลื่อนไหวอย่างลับ ๆ เพื่อหาตัวแทนไปลงสมัคร สว.เช่นกัน หวังเข้าไปเสริมเขี้ยวเล็บให้กับบรรดา ‘นักเลือกตั้ง’ ที่นั่งอยู่ ‘สภาล่าง’ อีกด้วย
อย่างไรก็ดี กกต.ยืนยันว่า จะดำเนินการตรวจสอบทุกประเด็น หากปรากฎข้อเท็จจริงต่อสาธารณะ หรือมีการร้องเรียนเข้ามา
ดังนั้นต้องจับตาว่า การตรวจสอบของ กกต.ครั้งนี้ จะเป็นไปอย่าง ‘สุจริต โปร่งใส และเที่ยงธรรม’ คือตรวจสอบทุกกลุ่มทุกฝ่าย ให้ดำเนินการภายใต้กฎหมายฉบับเดียวกัน
มิใช่เพ่งเล็งแค่ ‘คณะก้าวหน้า’ ที่พยายามท้าทาย ‘ขั้วอำนาจเดิม’ หรือไม่
อีกไม่นานน่าจะรู้ผล