เพื่อไทยประกาศ 15 ม.ค. 2566 จัดเวทีใหญ่ที่จ.อุดรธานี 'ณัฐวุฒิ' ย้ำอยากยุติอำนาจ 'ประยุทธ์' ต้องแลนด์สไลด์ เลือกพรรคประชาธิปไตย จวกรวมไทยสร้างชาติ เป็นเหล้าเก่าในขวดแตก มองไม่เห็นอนาคต
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2566 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย แถลงข่าวการจัดเวทีปราศัยในวันที่ 15 ม.ค. 2566 ที่จังหวัดอุดรธานี พร้อมแสดงความคิดเห็นต่อทิศทางการเลือกตั้งครั้งใหม่และการเมืองไทย
นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า เวทีครอบครัวเพื่อไทยจะเป็นเวทีแรกในปี 2566 เปิดเวทีพบพี่น้องประชาชนต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ยุบสภา จัดเวทีใหญ่ครอบครัวเพื่อไทย 'อีสานยามใด๋ เพื่อไทยทอนั่น' ในวันที่ 15 ม.ค. 2566 ณ ทุ่งศรีเมือง จังหวัดอุดรธานี เวลา 16.30 - 18.00 น. นำโดย นายชลน่าน ศรีแก้ว, นางสาวแพทองธาร ชินวัตร, นายสุทิน คลังแสง, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นายอดิศร เพียงเกษ, นางสาวจิราพร สินธุไพร และทีม ส.ส. อุดรธานี พรรคเพื่อไทย ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนในอุดรธานีและจังหวัดใกล้เคียงเข้าร่วม โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อแลนด์สไลด์ เปลี่ยนรัฐบาลเป็นประชาธิปไตย นำนโยบายแก้ไขปัญหาให้ประชาชน
"ที่พิเศษ คือ ครั้งนี้จะเป็นเวทีแรกที่คุณแพรทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ขึ้นปราศัยใหญ่เป็นเวทีกลางแจ้งในบรรยากาศของการเตรียมการเลือกตั้งครั้งสำคัญของประวัติศาสตร์ประเทศไทย"
นายณัฐวุฒิกล่าวต่อว่า การยุบสภาน่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนมี.ค. 2566 ซึ่งคาดการณ์จากตัวตนของพลเอกประยุทธ์ที่ยึดติดกับอำนาจ แสดงเจตนากอดอำนาจให้นานที่สุด การยุบสภาไม่ได้หมายถึงการปล่อยวาง แต่เป็นการเปิดทางให้ลูกทีมที่เป็น ส.ส. ย้ายไปพรรครวมไทยสร้างชาติ แต่ในปัจจุบันนี้พรรคเพื่อไทยมองข้ามการยุบสภาของรัฐบาลไปแล้ว โดยมุ่งเป้าไปที่การทำงานหนักในการเลือกตั้ง นำเสนอนโยบายให้ประชาชนเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง หากพลเอกประยุทธ์ยุบสภาพรรคเพื่อไทยพร้อมเปิดเวทีปราศัยใหญ่ในกรุงเทพมหานคร จะมีการประกาศนโยบายชุดใหญ่ ซึ่งเป็นนโยบายโค้งสุดท้ายเข้าสู่การเลือกตั้ง
นอกจากนี้นายณัฐวุฒิยังพูดถึงการเปิดตัวร่วมพรรครวมไทยสร้างชาติของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า คิดว่าพลเอกประยุทธ์จะสำแดงอานุภาพทางการเมืองหลังยึดครองอำนาจมา 8 ปี อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ แต่กลับพบว่าเป็นการรวมเอาคนที่แตกออกมาจากพรรคการเมืองต่าง ๆ มองไม่เห็นอนาคตแต่อย่างใด เห็นเพียงอดีต ซึ่งจะส่งผลให้พลเอกประยุทธ์เป็นอดีตนายกในไม่ช้านี้
"ไม่ใช่เหล้าเก่าในขวดใหม่ แต่ภาพที่เห็นคือเหล้าเก่าในขวดแตก หมายความว่า เป็นการรวมเอาคนที่แตกออกมาจากพรรคการเมืองต่าง ๆ แตกจากพลังประชารัฐ แตกจากประชาธิปัตย์ แตกจากพรรคเล็กพรรคน้อย มาอยู่ด้วยกัน แล้วก็ไม่ปรากฏว่ามีบุคคลซึ่งเป็นที่รู้จัก ยอมรับ ในสังคม เป็นคนใหม่ทางการเมืองปรากฏตัวมาร่วมงานกับพลเอกประยุทธ์แต่อย่างใด มองไปบนเวทีจึงไม่เห็นอนาคต เห็นแต่อดีต"
พบว่าการตัดสินใจเข้าเล่นการเมืองอย่างเต็มตัวของพลเอกประยุทธ์ในครั้งนี้ แท้จริงไม่น่าจะมีเป้าหมายแค่การดำรงตำแหน่งนายรัฐมนตรีต่อใน 2 ปีที่เหลือตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะฝั่งส.ว. 250 คน มีการเคลื่อนไหวศึกษาปัญหาการบังคับใช้รัฐธรรมนูญ 2560 ประเด็นที่น่าสนใจคือ ประเด็นที่ว่าด้วยวาระนายกรัฐมนตรี 8 ปี ส.ว.กลุ่มนี้ชี้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ควรจะพิจารณาแก้ไข
"คำถาม คือ การกำหนดบทบัญญัตินี้ในรัฐธรรมนูญ 60 ไม่มีเคยมีปฏิกิริยาวิพากษ์วิจารณ์ ไม่เคยมีท่าทีไม่เห็นด้วยจากกลุ่มอำนาจของพลเอกประยุทธ์และเครือข่ายแต่อย่างใด ส.ว. 250 คนซึ่งยกมือตามสั่งมาตลอดไม่เคยแสดงออกว่า บทบัญญัตินี้จะมีปัญหากับการเดินไปข้างหน้าของประเทศ แต่เมื่อพลเอกประยุทธ์อยู่ครบ 8 ปีเข้าจริง กลับมีมติเห็นตรงกันว่า มาตรานี้ซึ่งเป็นบทบัญญัติในมาตรา 158 ในรัฐธรรมนูญมีปัญหา นั่นหมายความว่าถ้าหลังการเลือกตั้งพลเอกประยุทธ์อาศัย ส.ว. 250 ขึ้นเป็นนายรัฐมนตรีได้ สิ่งที่จะเกิดตามมา คือ จะมีการใช้เสียงของรัฐบาล เสียงของวุฒิสภา แก้ไขรัฐธรรมนูญในเรื่องนี้อย่างแน่นอน"
เรียกร้องให้พลเอกประยุทธ์ออกมาพูดให้ชัดเจนว่าลงเลือกตั้งครั้งนี้จะอยู่ครบวาระตามที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย แต่คงไม่กล้าพูดเพราะแผนที่เตรียมไว้คงเป็นเช่นนี้ หากประชาชนต้องการยุติเส้นทางอำนาจของพลเอกประยุทธ์กับพวก มีทางเดียว คือ ต้องให้เกิดรัฐบาลประชาธิปไตยและจะเกิดได้จำเป็นต้องมีพรรคฝั่งประชาธิปไตยได้ตะแนนเสียงแลนด์สไลด์เกินครึ่งในสภาผู้แทนราษฎร ถ้าไม่เช่นนั้นพลเอกประยุทธ์จะได้อยู่ต่อมากกว่า 2 ปี