“ผมยังเชื่อมั่นอย่างหนักแน่น ไม่เสื่อมคลาย ว่าตราบใดที่พวกเราทำ Content ที่มีคุณภาพ ทันต่อเหตุการณ์ พวกเราจะอยู่ได้ในอนาคต เราเพียงเปลี่ยนแพลตฟอร์ม จากเคยอยู่บ้านเดี่ยว 60 ตร.ว. มีสนามหญ้าหน้าบ้าน มีที่จอดรถ มีต้นไม้ปลูก เราต้องเปลี่ยนวิธีการ เพราะพัฒนาไปอยู่คอนโดแล้ว โดยทำอย่างไรที่จะทำให้ Content อยู่ภายใต้แพลตฟอร์มใหม่”
วันที่ 7 พ.ย. 2562 ที่บ้านพระอาทิตย์ นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) พร้อมนายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเครือผู้จัดการ ทำบุญเนื่องในวันครบรอบก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ก้าวสู่ปีที่ 30 และครบรอบวันคล้ายวันเกิดของนายสนธิ ลิ้มทองกุล
นายสนธิ กล่าวตอนหนึ่งว่า วันนี้เป็นการฉลองวันเกิดที่ประทับใจมาก เพราะ 3 ปีที่ผ่านมา วันเกิดของตนเองทำได้เพียงนั่งมองผ่านลูกกรงออกไป ไม่มีโอกาสได้ทำบุญ ไม่มีโอกาสฟังพระสวดอวยชัยให้พร ได้แต่ภาวนาในเรือนจำ ปฏิบัติธรรมอย่างหนัก อย่างไรก็ตาม อยากให้รู้ว่าเป็นห่วงทุกคน ไม่ใช่ไม่รู้ว่าพวกคุณลำบากแค่ไหน อยู่ในใจตลอดเวลา
คนติดคุกทำอะไรไม่ได้ นอกจากรอหกโมงครึ่งตอนเช้า เปิดห้องขัง ลงไปข้างล่าง อาบน้ำอาบท่า หาข้าวกิน ชีวิตจำเจอย่างนี้มาตลอด ไม่มีอะไรพิเศษมากไปกว่านั้น ยังโชคดีสติยังสมบูรณ์ จิตสงบ และทำให้เห็นชัดว่าทุกอย่างอนิจจัง มีเข้ามีออก นึกในใจว่า มีเข้าก็ต้องมีออก แต่บางครั้งอดนึกไม่ได้ว่า เวลาออก ทำไมช้า แต่ในที่สุดก็ได้ออก
อดีตแกนนำ พธม. กล่าวต่อว่า หลายคนบอกกล่าวปาฎิหาริย์มีจริง ซึ่งไม่รู้ว่าจะได้ออก แต่ได้ออกเพราะความผิดพลาดทางกฎหมาย ซึ่งพวกเราพอจะรู้ 2 ปี 11 เดือน 27 วัน หย่อน 3 วัน จะครบ 3 ปี ทุกสิ่งทุกอย่างภายนอกเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว แต่คงไม่เปลี่ยนแปลงไปมากมายนัก เพียงแต่หวังว่า เรื่องแรกจะใช้ชีวิตส่วนที่เหลือทำงานให้ความรู้กับประชาชน
ส่วนเรื่องที่สอง จะหาทางทำอะไรกับนายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล เพื่อพัฒนาเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของพวกเรา เพราะต้องยอมรับข้อเท็จจริงว่า โทรทัศน์ดิจิทัลไปไม่ได้แล้ว คนดูน้อยลง แล้วเคเบิลจะไปได้นานแค่ไหน แต่นั่นไม่ใช่จุดจบของทุกอย่าง ตราบใดที่เรายังมีปัญญา เราสามารถพลิกแพลง เปลี่ยนแปลงตัวเราได้ แล้วเดินไปสู่จุดที่เราจะอยู่ได้อย่างยั่งยืน
หลายคนที่อยู่กับตนเองมาตลอด จะเห็นได้ชัดว่า สิ่งที่เคยพูดมาเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ในเรื่อง Content ที่ว่า “Content is King” เวลานั้นไม่ค่อยมีใครเชื่อ ฟังแต่หู ได้ยิน แต่ไม่เข้าใจ
“คุณสนธิบอก Content is King ในใจนึกว่า แล้วจะ King ได้อย่างไร วันนี้พิสูจน์ชัดแล้วว่า เนื้อหาสาระคือ King”
วันนี้ความท้าทายของวงการพวกเรามีหลายประเภท นายสนธิ ระบุประเภทหนึ่ง คือ เฟซบุ๊ก ขณะนี้ทุกคนที่มี Account เท่ากับ 1 คน เป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์ของตนเอง สถานีวิทยุของตนเอง และเป็นหนังสือพิมพ์ของตนเอง เพราะเฟซบุ๊กรวบรวมตั้งแต่ ข้อความ เสียง และวิดีโอ
ทำให้เห็นว่า บทบาทของคนที่อยู่ในวงการสื่อมวลชน ถ้าจะทำงานนี้ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมแบบนี้ จะต้องหาช่องทาง และที่สำคัญต้องพัฒนาตนเองให้เข้าใจ
“ผมยังเชื่อมั่นอย่างหนักแน่น ไม่เสื่อมคลาย ว่าตราบใดที่พวกเราทำ Content ที่มีคุณภาพ ทันต่อเหตุการณ์ พวกเราจะอยู่ได้ในอนาคต เราเพียงเปลี่ยนแพลตฟอร์ม จากเคยอยู่บ้านเดี่ยว 60 ตร.ว. มีสนามหญ้าหน้าบ้าน มีที่จอดรถ มีต้นไม้ปลูก เราต้องเปลี่ยนวิธีการ เพราะพัฒนาไปอยู่คอนโดแล้ว โดยทำอย่างไรที่จะทำให้ Content อยู่ภายใต้แพลตฟอร์มใหม่”
โดยเขาจะทำอะไรใหม่บางอย่างขึ้นมา เข้าใจว่าไม่เกิน 1 ปี น่าจะประสบความสำเร็จ ถ้าเชื่อในวิสัยทัศน์ที่มี จะเห็นว่าคนที่ทำให้เคเบิลทีวีเกิดขึ้น คือ สนธิ ลิ้มทองกุล “คุณจะว่าเอเอสทีวีเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ต้องยอมรับว่า เอเอสทีวีเป็นจุดเริ่มต้นที่ทุกคนเลียนแบบหมด”
นายสนธิ ยังบอกว่า วันนี้ไม่ใช่เวลาที่จะไปยืนชี้หน้าใคร ท้าทายใคร ไปด่าใครอีกต่อไป แต่เป็นวันเวลาที่นำปัญญามาให้กับประชาชน ซึ่งมีหลายวิธี “ใครบอกว่า Content ที่มีสาระไปไม่ได้ อย่าไปเชื่อ” เฟซบุ๊กคุยทุกเรื่องกับสนธิ เริ่มมาประมาณกว่า 1 เดือน เฉพาะตัวเลข ต.ค. มีคนเข้าชม 7 ล้านคน ยอดไลก์ เกือบ 2 แสน ผู้ติดตาม เกือบ 2 แสน
“ของอะไรที่มีคุณภาพ ขายได้ มีคนสนใจ ทุกวันนี้เรามีชีวิตอยู่ เราเคยพูดหรือไม่ว่า ไปทานอาหารร้านนี้ ดีและอร่อย ถึงจะเป็นร้านซอมซ่อ ขับรถไกล เลี้ยวเข้าไปในซอย หาเกือบตาย แต่พอเข้าไปแล้วมีความสุข และจะกลับไปอีก ฉันใดฉันนั้น เวลาใช้สมองคิด ใช้ปัญญาวิเคราะห์ แล้วพยายามถ่ายทอดเป็นคำพูด ลงไปในออนไลน์ จะเห็นได้ชัดว่าในที่สุด จะมีคนประเภทหนึ่ง ที่ไม่ต้องการเรื่องมโน แต่ต้องการเรื่องมีสาระจริง ๆ”
ข้อดีของเฟซบุ๊กหรือสังคมโซเซียลมีเดีย คือ มีมากเหลือเกิน และเป็นเรื่องไร้สาระมาก จนบรรดาคนที่เข้ามาในโซเซียลมีเดีย มีความรู้สึกว่า “ขอหาอะไรที่เป็นสาระ ดี และมีคุณภาพ ได้หรือไม่ ในที่สุด คนที่ยืนอยู่ตรงนี้จะอยู่ได้ตลอดไป”
นายสนธิ ยังย้ำว่า ตำนานของสื่อมวลชนจะละเว้น ไม่พูดถึง “เอเอสทีวี” ไม่ได้เลย เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของเนชั่นแชลแนล สปริงนิวส์ และอื่น ๆ ทุกคนเลียนแบบเอเอสทีวีทั้งสิ้น ไม่มีใครไม่เลียนแบบเอเอสทีวี
เดี๋ยวนี้มีการบอกว่า สื่อต้องเลือกข้าง เนชั่นเลือกข้างรัฐบาล ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว๊อยซ์ทีวี เลือกข้างทักษิณ ชินวัตร พรรคอนาคตใหม่ ซึ่งช้ากว่าตนเองไป 10 ปี เพราะเอเอสทีวีเลือกข้างบนความถูกต้องตั้งนานแล้ว
ตรงนี้สะท้อนให้เห็นว่า ในที่สุด ถ้าเวลาเลือกข้างใคร แล้วข้างที่เลือกถูกต้อง จะไม่เสียหาย แต่ไม่ใช่เลือกข้างแล้วจะหัวปักหัวปำ ยืนอยู่ข้างนั้นไป .
กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/