‘ราชกิจจานุเบกษา’ แพร่ประกาศหลักเกณฑ์กำกับธุรกิจเช่าซื้อ-ให้เช่าแบบลิสซิ่ง ‘รถยนต์-รถจักรยานยนต์’ กำหนดดอกเบี้ย ‘รถยนต์มือสอง’ ไม่เกิน 10% ส่วน ‘มอเตอร์ไซค์’ ไม่เกิน 23% ห้ามคิด ‘เบี้ยปรับ’ เกิน 5% และต้องคำนวณบนฐาน ‘ค่างวด’
.......................................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.ที่ผ่านมา เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ 55/2568 เรื่อง การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลิสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ และประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ 56/2568 เรื่อง การคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้และการตัดชำระหนี้ (ฉบับที่ 2)
สำหรับสาระสำคัญของประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ 55/2568 เรื่อง การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลิสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ เช่น ประกาศข้อ 4.3.1 (1) กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลิสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ต้องเปิดเผยข้อมูลดอกเบี้ย ค่าบริการ และเบี้ยปรับ สำหรับการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลิสซิ่งแก่ลูกค้าทุกประเภท
โดยผู้ประกอบธุรกิจต้องเรียกเก็บดอกเบี้ย ค่าบริการ และเบี้ยปรับจากลูกค้าอย่างเหมาะสม โดยราคาและอัตราที่กำหนดต้องเป็นธรรม ไม่เอาเปรียบลูกค้า ไม่เรียกเก็บซ้ำซ้อน คำนึงถึงต้นทุนในด้านต่างๆที่เกิดขึ้นจริงจากการให้บริการฯ เช่น ต้นทุนในการจัดหาเงิน ต้นทุนในการบริหารความเสี่ยง ต้นทุนในการดำเนินการ หรือต้นทุนอื่นๆ ที่ผู้ประกอบการสามารถแสดงให้เห็นว่าเกี่ยวข้องหรือมีความจำเป็นต้องนำมาเป็นส่วนหนึ่งในการกำหนดราคาหรืออัตรา
ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบธุรกิจต้องไม่นำดอกเบี้ย ค่าบริการ เบี้ยปรับ และค่าใช้จ่าย ตามที่ผู้ประกอบธุรกิจได้จ่ายไปจริงและพอสมควรแก่เหตุ มารวมกับจำนวนหนี้ที่ค้างชำระเพื่อคิดดอกเบี้ยและเบี้ยปรับอีก เป็นต้น ทั้งนี้ หลักเกณฑ์ตามประกาศข้อ 4.3.1 (1) ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.2569 เป็นต้นไป
สำหรับอัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บ สำหรับการให้เช่าซื้อแก่ลูกค้าบุคคลธรรมดา ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้รถยนต์หรือรถจักรยานยนต์เป็นการส่วนตัว (ประกาศข้อ 4.3.1 (2)) นั้น ผู้ประกอบธุรกิจสามารถเรียกเก็บดอกเบี้ย โดยคำนวณเป็นอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงต่อปี (effective interest rate) ได้ไม่เกินอัตรา ดังนี้ 1.กรณีรถยนต์ใหม่ไม่เกินอัตราร้อยละ 10 ต่อปี 2.กรณีรถยนต์ใช้แล้วไม่เกินอัตราร้อยละ 15 ต่อปี และ 3.กรณีรถจักรยนต์ไม่เกินอัตราร้อยละ 23 ต่อปี โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ในส่วนอัตราดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ สำหรับการให้เช่าซื้อแก่ลูกค้าบุคคลธรรมดา ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้รถยนต์หรือรถจักรยานยนต์เป็นการส่วนตัว (ประกาศข้อ 4.3.2 (1)) นั้น ให้ผู้ประกอบธุรกิจคิดอัตราดอกเบี้ยปรับได้ไม่เกินร้อยละ 5 ต่อปี และการคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดชำระ ให้คำนวณบนฐานของค่างวด ซึ่งประกอบด้วย เงินต้น ดอกเบี้ย และภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
นอกจากนี้ ประกาศฯฉบับนี้ ยังกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจฯ ก่อนที่ประกาศฯมีผลใช้บังคับ ต้องรายงานข้อมูลเพื่อแสดงตัวตนต่อ ธปท. ภายในวันที่ 31 มี.ค.2569 แต่หากประกอบธุรกิจตั้งแต่ประกาศฯมีผลใช้บังคับ ให้รายงานข้อมูลเพื่อแสดงตัวตนต่อ ธปท. ภายใน 120 วัน นับจากวันที่จดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เป็นต้น (อ่านฉบับเต็ม : ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ 55/2568 เรื่อง การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลิสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์)
ขณะที่สาระสำคัญของประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ 56/2568 เรื่อง การคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้และการตัดชำระหนี้ฯ นั้น กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลิสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่มิใช่สถาบันการเงินเฉพาะกิจ ต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับประกาศ ธปท. ว่าด้วยการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข ในการประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อฯ เพื่อให้ความชัดเจนในการปฏิบัติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคำจำกัดความคำว่า “สินเชื่อที่มาการผ่อนชำระเป็นงวด” ตามประกาศหลักเกณฑ์การคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระและการตัดชำระหนี้ (อ่านฉบับเต็ม : ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ 56/2568 เรื่อง การคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้และการตัดชำระหนี้ (ฉบับที่ 2))
ด้าน น.ส.ดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท. ได้ออกประกาศ เรื่อง การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ซึ่งลงราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.2568
โดยประกาศฯ ดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อจะยกระดับการให้บริการทางการเงินของผู้ประกอบธุรกิจฯ ภายใต้การกำกับของ ธปท. ให้มีความรับผิดชอบ เป็นธรรม และโปร่งใส เพื่อให้ลูกค้าได้รับบริการที่เป็นมาตรฐานและได้รับข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อย่างครบถ้วน ภายใต้ราคาและเงื่อนไขที่เหมาะสม รวมถึงได้รับการดูแลช่วยเหลือเมื่อมีปัญหาในการชำระหนี้
ทั้งนี้ ประกาศฯ ดังกล่าวกำหนดหลักเกณฑ์สำคัญ 7 ด้าน ได้แก่ (1) การปฏิบัติและการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับดอกเบี้ย ค่าบริการ และเบี้ยปรับ (2) ประเภทของค่าบริการที่เรียกเก็บได้ (3) เพดานอัตราดอกเบี้ย (4) หลักเกณฑ์เกี่ยวกับดอกเบี้ยผิดนัดและลำดับการตัดชำระหนี้ (5) เงื่อนไขการปิดบัญชีก่อนกำหนด (6) การให้บริการทางการเงินอย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม และ (7) การใช้บริการจากผู้ให้บริการภายนอก
โดยหลักเกณฑ์เหล่านี้จะบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.2569 ยกเว้นหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการให้เช่าซื้อแก่บุคคลธรรมดาเพื่อใช้ส่วนตัว ในเรื่องเพดานอัตราดอกเบี้ย การคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ และส่วนลดการปิดบัญชีก่อนกำหนด จะมีผลบังคับใช้ทันทีตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เนื่องจากผู้ประกอบธุรกิจถือปฏิบัติอยู่แล้วในปัจจุบัน
ทั้งนี้ ธปท. คาดหวังว่าการยกระดับมาตรฐานการให้บริการและการคุ้มครองลูกค้าให้ได้รับบริการที่เป็นธรรม จะช่วยสนับสนุนให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างยั่งยืน พร้อมสนับสนุนให้ระบบเศรษฐกิจและการเงินมีเสถียรภาพ และเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง



