‘ผู้ว่าฯธปท.’ จ่อคลอดเกณฑ์กำหนดให้ ‘สถาบันการเงิน’ รายงานข้อมูล ‘ธุรกรรมน่าสงสัย’ พร้อมยกระดับกำกับดูแล ‘ร้านแลกเงิน-บริษัทรับโอนเงิน-ผู้ให้บริการ e-Wallet’ สกัด‘เงินเทา’
..........................................
เมื่อวันที่ 5 พ.ย. นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมถึงกรณีที่ ธปท. ได้ยกระดับกระบวนการติดตามและตรวจสอบธุรกรรมที่ไม่พึงประสงค์ให้เข้มข้นขึ้น เพื่อป้องกันและเร่งแก้ไขปัญหา ‘ทุนเทา’ ว่า ธปท.ได้ออกมาตรการเพื่อกำกับดูแลเรื่องเงินทุน หรือเงินเทาที่มีความน่าสงสัย รวมทั้งเข้มงวดในการดูแลในส่วนนี้ โดยยกระดับการกำกับดูแลให้มากขึ้นใน 2 ส่วน
โดยส่วนแรก คือ ธปท.มีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลสถาบันการเงิน ดังนั้น ธปท.จะออกมาตรการให้สถาบันการเงินช่วยดูแลบัญชีต่างๆ ว่า อะไรที่มีความน่าสงสัยว่า จะเกี่ยวกับพฤติกรรมหรือธุรกรรมที่ไม่พึงประสงค์ หรือเงินเทาทั้งหลาย ก็ต้องแจ้งให้ ธปท. รับทราบ เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป จากปัจจุบันที่หลักในการดูแลเรื่องนี้ สถาบันการเงินจะต้องแจ้งให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ทราบ แต่มีบางส่วนที่จะขอให้แจ้ง ธปท.ด้วย
ทั้งนี้ ในปัจจุบันกรณีที่มีการทำธุรกรรมที่มีวงเงินตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป สถาบันการเงินจะต้องรายงานให้ ปปง. รับทราบ แต่ในส่วนการรายงานกับ ธปท. นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาว่าวงเงินจะเป็นเท่าไหร่ และจะมีมาตรการที่ชัดเจนออกมาว่า สถาบันการเงินจะต้องทำอย่างไรบ้าง
ส่วนที่สอง เป็นการกำกับดูแลและตรวจสอบหน่วยงานหรือสถาบันหรือบริษัทที่ได้รับใบอนุญาตจาก ธปท. เช่น ร้านแลกเงิน บริษัทรับโอนเงิน หรือผู้ให้บริการ e-Wallet ต่างๆ จะมีการเข้าไปดูในรายละเอียดเช่นกัน ซึ่งรวมถึงธุรกรรมซื้อขายทองบางอย่าง โดย ธปท.อยากเห็นความชัดเจน และทำให้สบายใจว่า ไม่มีเรื่องอะไรที่ไม่ปกติ
“ต้องบอกว่า อันนี้เป็นส่วนการดำเนินงานของแบงก์ชาติเอง นอกเหนือจากสิ่งที่รัฐบาลดำเนินการอยู่ ซึ่งวันนี้ท่านรองนายกฯและ รมว.คลัง ได้เรียกประชุมเรื่องนี้ ซึ่งจะได้เห็นภาพมากขึ้น โดยแบงก์ชาติจะเห็นส่วนหนึ่ง แต่เรามาร่วมกันต่อจิ๊กซอว์ ต่อข้อมูลกัน เชื่อว่าน่าจะช่วยได้” นายวิทัย กล่าว
รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 4 พ.ย.ที่ผ่านมา ธปท. ได้ประกาศยกระดับกระบวนการติดตามและตรวจสอบธุรกรรมที่ไม่พึงประสงค์ให้เข้มข้นขึ้น เพื่อป้องกันและเร่งแก้ไขปัญหาทุนเทา รวมทั้งสกัดกั้นการใช้ระบบการเงินในกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย ได้แก่
(1) ยกระดับการติดตามและการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า (Customer Due Diligence) ซึ่งรวมถึงการให้ธนาคารพาณิชย์ให้ความสำคัญกับการตรวจสอบธุรกรรมต้องสงสัยในการรับหรือโอนเงินจากบัญชีเงินฝาก (อาทิ บัญชีที่ใช้ในการพนันออนไลน์ บัญชีที่ถูกใช้โดย scammer) และรายงานความผิดปกติให้ ธปท. ทราบ โดย ธปท. จะพิจารณาปรับปรุง/ออกคำสั่งและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินการให้ชัดเจนขึ้น และช่วยสนับสนุนภารกิจของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ในระยะต่อไป
(2) ยกระดับการกำกับดูแลและตรวจสอบผู้ให้บริการทางการเงินภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทยให้เข้มงวดยิ่งขึ้น ซึ่งรวมถึง Authorized Money Transfer Agent, Authorized Money Changer, ผู้ให้บริการ e-Wallet และการตรวจสอบธุรกรรมทองคำที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำที่ผิดกฎหมาย เพื่อให้สามารถติดตามและตรวจสอบเส้นทางการเงินที่อาจเกี่ยวข้องกับการทุจริตได้อย่างครอบคลุม ทันต่อรูปแบบภัยทุจริตทางการเงินที่ปรับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ธปท. ยังได้เร่งผลักดันการแลกเปลี่ยนข้อมูลและสนับสนุนการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานและคณะทำงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด ในการป้องกันหรือจำกัดธุรกรรมที่ไม่พึงประสงค์ให้ได้ผลในวงกว้างและรวดเร็วขึ้นต่อไป
