
‘ธปท’ ปรับข้อมูล ‘Net Errors and Omissions’ ปี 67 เหลือ 2.3 แสนล้าน ไม่ปฏิเสธ ‘NEO’ บางส่วน อาจ ‘เทา’ ระบุ ‘บาทแข็ง’ นำสกุลเงินอื่น จากปัจจัย ‘ราคาทองคำ’ พุ่ง 40%
..............................................
เมื่อวันที่ 23 ก.ย.นายเดช ฐิติวณิช ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายระบบข้อสนเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. ปรับปรุงข้อมูลในบัญชีดุลการชำระเงิน (Balance of Payments: BOP) ประจำปี 2567 ตามรอบปรับปรุงปกติ (ก.ย.2568) ส่งผลให้ตัวเลขที่แสดงความคลาดเคลื่อนเชิงสถิติ (Net Errors and Omissions: NEO) ปี 2567 อยู่ที่ 7.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (2.3 แสนล้านบาท) ปรับลดลงกว่าครึ่งหนึ่งจากตัวเลขเบื้องต้นที่ประกาศในเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา
โดยเป็นผลจาก 3 ส่วนหลัก ได้แก่
1.มูลค่านำเข้ารวมที่ลดลง จากการที่กรมศุลกากรปรับราคาน้ำมันนำเข้าให้เป็นไปตามที่ได้รับข้อมูลจริงจากผู้นำเข้า ซึ่งต่ำกว่าราคาที่กรมศุลกากรได้ประมาณการไว้ในตอนแรก ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัด (Current Account) เพิ่มขึ้น และทำให้ NEO ลดลงไปประมาณ 2.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
2.ข้อมูลการลงทุนโดยตรงของนักลงทุนต่างชาติ (FDI) ที่สูงขึ้น ซึ่งปรับตามข้อมูลการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในธุรกิจไทย ที่ปรากฏในงบการเงินที่ธุรกิจทยอยรายงานต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ส่งผลให้ NEO ลดลงไปประมาณ 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
3.ข้อมูลสินเชื่อการค้า (Trade Credit) ที่เพิ่มขึ้น จากการที่เจ้าหนี้การค้าขยายระยะเวลาการชำระค่าสินค้านำเข้าให้กับภาคเอกชน ทำให้ภาระการจ่ายคืนสินเชื่อการค้าในปี 2567 ลดลง ส่งผลให้ NEO ลดลงประมาณ 4.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
สำหรับข้อมูล BOP รายปี ธปท. จะเผยแพร่ตัวเลขเบื้องต้นในเดือน มี.ค.ของปีถัดไป จากนั้นจะปรับปรุงข้อมูลอีก 2 ครั้ง ในทุกเดือน ก.ย. เช่น การจัดทำข้อมูล BOP ของปี 2567 จะเผยแพร่ครั้งแรกในเดือน มี.ค.2568 และจะปรับปรุงข้อมูลอีก 2 ครั้ง ในเดือน ก.ย.2568 และเดือน ก.ย.2569

@ชี้‘NEO’ไทยต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก-ยันไม่ใช่ปัจจัยกดดัน‘บาทแข็ง’
ด้าน น.ส.ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ และโฆษก ธปท. กล่าวว่า การปรับปรุงตัวเลข NEO ในบัญชีดุลการชำระเงิน ปี 2567 รอบนี้ ส่งผลให้ตัวเลข NEO ลดจาก 15.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (4.7 แสนล้านบาท) เหลือ 7.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (2.3 แสนล้านบาท) หรือคิดเป็นสัดส่วน 1% เมื่อเทียบกับมูลค่าการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย NEO ของไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาที่อยู่ที่ 1.3% และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก ซึ่งอยู่ที่ 2.4%
“เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ถ้าดูตัวเลข NEO ของไทย ย้อนหลังในช่วง 10 ปี (2557-2566) พบว่าตัวเลข NEO ของไทยอยู่ที่ 1.3% ในขณะที่ประเทศทั่วโลก 173 ประเทศ ค่าเฉลี่ยตัวเลข NEO เทียบกับมูลค่าการค้าระหว่างประเทศอยู่ที่ 2.4% และในครั้งนี้ที่เราปรับ NEO ปี 2567 ลงมา ทำให้สัดส่วนนี้ลงมาอยู่ที่ 1.0% ซึ่งจากตัวเลขนี้จะเห็นว่า NEO ของเราต่ำกว่าข้อมูลในอดีต และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก รวมทั้งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในเอเชียด้วย” น.ส.ชญาวดี กล่าว
น.ส.ชญาวดี ระบุว่า ข้อมูล NEO เป็นเรื่องความคลาดเคลื่อนเชิงสถิติที่เกิดขึ้นได้กับทุกประเทศ และหลายประเทศมีปัญหาใกล้เคียงกับไทย ซึ่งตัวเลข NEO ที่ยังไม่เจอนั้น มีสาเหตุมาจากวิธีวัดและพฤติกรรมการทำธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงไป อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ธปท.อยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อปรับปรุงวิธีการประมาณการตัวเลข NEO ให้แม่นยำยิ่งขึ้น โดยพยายามศึกษาและพิจารณาว่ามีอะไรบ้างที่จะตามเก็บข้อมูลเพิ่มเติมได้

น.ส.ชญาวดี กล่าวต่อว่า มีคำถามว่า NEO ที่เข้ามาประเทศไทย ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นหรือไม่นั้น ต้องบอกว่าตัวเลข NEO เป็นส่วนหนึ่งของดุลการชำระเงิน เพียงแต่ไม่สามารถแจกแจงกิจกรรมได้ ซึ่งตัวเลข NEO ในปี 2567 ที่มีจำนวน 7.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯนั้น เป็นธุรกรรมที่เกิดขึ้นในปี 2567 โดยในส่วนที่ส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาท ก็ได้ส่งผลกระทบไปตั้งแต่ตอนที่ไหลเข้ามาและมีการบันทึกแล้ว จึงไม่ได้ไปกดดันต่อค่าเงินบาทในตอนนี้แต่อย่างใด
“การที่มันถูกจัดให้ NEO ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเงินเพิ่มเติมที่จะไปกดดันค่าเงินบาท เช่น ในปีที่แล้วที่มี NEO เยอะๆในตอนแรก แต่เงินบาทมีการแข็งค่าเพียง 0.1% ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ต่างจากตอนนี้” น.ส.ชญาวดี ระบุ
@ชี้ NEO ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวธุรกิจ‘สีเทา’-‘ธุรกรรมปกติ’ก็‘เทา’ได้
น.ส.ชญาวดี กล่าวอีกว่า เมื่อถามว่าตัวเลข NEO เป็นสิ่งที่สะท้อนถึงธุรกิจหรือธุรกรรมที่เป็น ‘สีเทา’ ที่ ธปท. ไม่รู้ที่มาที่ไป ใช่หรือไม่ ขออนุญาตชวนคิดว่า ตัวเลข NEO เป็นคนละแนวคิดกับความเทา และต้องแยกจากกัน เพราะตัวเลข NEO เป็นธุรกรรมที่ ธปท. เห็น เพียงแต่กระจายไปในกิจกรรมต่างๆได้ไม่ชัดเจนนัก เช่น ฝรั่งเข้ามาและจับจ่ายใช้สอยในเมืองไทย อาทิ ซื้อหมูปิ้ง เพียงแค่นี้ ธปท. ก็เก็บข้อมูลไม่ได้แล้ว
“ต่อให้เป็นธุรกรรมที่เราเก็บข้อมูลได้ ผ่าน Balance of Payments มันก็สามารถเป็น ‘ความเทา’ ได้ เช่น บริษัทต่างชาติ ที่อาจมีกรรมการ 1 ท่าน มีธุรกิจสีเทา แล้วเอาเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย จะผ่านหรือไม่ผ่านตัวกลางก็ตาม ซึ่งเงินที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย ด้วยบริษัทๆนี้ หรือผ่านตัวกลางคนนี้ มันจะถูกบันทึกในดุลการชำระเงิน แล้วหาที่มาที่ไปได้ด้วย แต่ถามว่า มันเทาหรือไม่ ก็อาจจะเทาก็ได้เช่นกัน
หรือพวกสแกมเมอร์ มิจฉาชีพ มาหลอกประชาชน หลอกเหยื่อ แล้วได้เงินเป็นเงินสด แต่จะเอาออกไปหรือจะส่งต่อ ตอนนี้ค่อนข้างยาก ก็อาจเป็นไปได้เหมือนกัน ที่จะเอามาซื้อสินทรัพย์ เช่น ทองคำ ซึ่งการซื้อทองในร้านค้าย่อย การทำ KYC ลูกค้า อาจไม่มีระบบที่เข้มงวดมาก จึงเป็นช่องที่เขาใช้ตรงนี้ แล้วขนทองออกไป แล้วตอนขนทองออกไป ก็มีวิธีการที่เอาออกไป หรือจะถือขึ้นเครื่องไปก็ทำได้ และตรงนี้ก็เก็บข้อมูลธุรกรรมนี้ได้ด้วย แต่ถามว่าเทาไหม ก็เป็นไปได้ที่จะเทา
ฉะนั้น ‘ความเทา’ อาจอยู่ได้ในหลายๆที่ ไม่จำเป็นต้องเป็น NEO ตรงนี้ แต่แน่นอนว่า ใน NEO คงปฏิเสธไม่ได้ว่า อาจมีความเทาก็ได้ เพราะเราจับตัวธุรกรรมได้ไม่ครบ เห็นขาเดียว แต่อีกขาไม่เห็น อย่างการใช้คริปโทฯในบางธุรกรรม เขาใช้ private wallet เราอาจเห็นขาหนึ่ง แต่ไม่เห็นตัวเงิน เช่น ต่างชาติเอาคริปโทฯไปซื้อคอนโด ก็จะเห็นการโอนคอนโด แต่ไม่เห็นว่าจ่ายอย่างไร เพราะจ่ายผ่าน private wallet นี่เป็นหนึ่งใน NEO ที่ยากจะเห็น แต่ไม่ใช่เทาก็ได้” น.ส.ชญาวดี ระบุ
น.ส.ชญาวดี กล่าวว่า ในการตรวจสอบว่าตัวเลข NEO เป็นธุรกรรมสีเทาหรือไม่ ธปท.มีการประสานงานไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ซึ่งมีหน้าที่กำกับดูแลและปราบปรามการฟอกเงิน ในการตรวจสอบธุรกรรมต่างๆ ขณะเดียวกัน ธปท. ยังมีหน้าที่กำกับดูแลให้สถาบันการเงินปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ เมื่อสถาบันการเงินเห็นธุรกรรมต้องสงสัย ก็ต้องแจ้งไปยังสำนักงาน ปปง.
ขณะเดียวกัน ธปท.มีการประสานไปยังสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อนำข้อมูลเกี่ยวกับธุรกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล มาใช้เพิ่มขึ้นได้อย่างไร เป็นต้น
“พอมันเป็นเทา ด้วยธรรมชาติของมัน คือ ยากที่จะเห็น แต่การที่เรา connect the dots เชื่อมโยงข้อมูลกันได้มากขึ้น อย่างน้อยมันอธิบายข้อมูลที่เราไม่รู้ว่า เทาหรือเปล่า ให้รู้ไปเลยว่า อันนี้เทา อันนี้ไม่เทา แล้วถ้าเราเห็นว่า มันเป็น เทา เราก็จะบรรจุมันไว้ในรายการใดรายการหนึ่ง และมีกฎระเบียบให้เขาเปิดเผยข้อมูลอะไรได้เพิ่ม มันไม่ได้หมายความว่าจะไม่เห็นไปเสียทีเดียว มันก็คล้ายๆกับการจับมิจฉาชีพ เขาอยู่ในที่ลับ เราต้องตามให้เร็วที่สุด” น.ส.ชญาวดี กล่าว
น.ส.ชญาวดี ระบุว่า ธปท.ไม่ต้องการเห็นธุรกิจหรือธุรกรรมภายในประเทศเกี่ยวข้องกับการทุจริตในทุกมิติ จึงสนับสนุนให้มีการทำธุรกรรมที่เป็นดิจิทัลมากขึ้น เช่น พร้อมเพย์ ซึ่งไม่ใช่แค่สะดวกสบาย แต่ทำให้การทำธุรกรรมต่างๆ มี digital footprint ,การเข้มข้นในการออกเกณฑ์ KYC การเปิดบัญชีและการทำธุรกรรมต่างๆต้องมีการยืนยันตัวตนให้ชัดเจน ,การแก้ปัญหาบัญชีม้า และการกำกับดูแลให้สถาบันการเงินปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของ ปปง.อย่างเคร่งครัด
นอกจากนี้ ธปท.ยังเห็นว่าการผลักดันเรื่อง financial hub แม้ว่าจะเป็นการริเริ่มที่ดี แต่มีข้อระมัดระวัง คือ หากมีกฎเกณฑ์ที่ผ่อนคลายกว่าปกติ จะต้องทำให้มั่นใจว่า มีการปิดช่องโหว่เกี่ยวกับการทำธุรกรรมที่ทุจริตต่างๆ เพื่อให้ประเทศพร้อมก่อน รวมถึงการนำสินทรัพย์ดิจิทัลหรือคริปโทฯ มาใช้ในการทำธุรกรรมทางการเงิน นั้น ธปท.มีความเป็นห่วงว่า อาจมีการนำมาใช้ในธุรกรรมที่ไม่มีการกำกับดูแล จึงอาจถูกใช้เป็นช่องทางในการฟอกเงิน
@ชี้ปีนี้‘ทอง’ขึ้น 40% กดดัน‘บาทแข็ง’ มากกว่าสกุลเงินอื่น
ขณะที่ น.ส.ภาวิณี จิตต์มงคลเสมอ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายตลาดการเงิน ธปท. กล่าวว่า NEO ไม่ใช่ปัจจัยที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าในช่วงเร็วๆนี้ โดยปัจจัยที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ หลักๆแล้วมาจากเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่า เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย ซึ่งตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน เงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่าไปแล้ว 10% ทำให้สกุลเงินในภูมิภาคส่วนใหญ่แข็งค่าขึ้น
อย่างไรก็ดี ในระยะหลัง ค่าเงินบาทแข็งค่ามากกว่าสกุลเงินอื่นๆ ซึ่งมาจากปัจจัยเฉพาะ 3 ปัจจัย ได้แก่ 1.ดุลบัญชีเดินสะพัดออกมาดีกว่าตลาดคาดการณ์ไว้ 2.สถานการณ์การเมืองในประเทศไทยคลี่คลาย และมีเสถียรภาพได้เร็ว และ 3.ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งพฤติกรรมของคนไทยนิยมลงทุนทองคำ เมื่อราคาทองคำปรับตัวขึ้น จะขายทองคำทำกำไร ร้านทองจึงต้องขายทองคำในต่างประเทศ เมื่อรับดอลลาร์ฯมาแล้ว ก็แลกเป็นเงินบาท เพื่อเอาเงินมาให้ลูกค้า
“ในปีนี้ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้นมาก จึงเป็นปัจจัยหนึ่ง ซึ่งเป็นแรงกดดัน ทำให้เงินบาทแข็งค่ากว่าสกุลเงินอื่นๆ นอกจากนี้ ราคาทองคำยังเป็นตัวที่ทำให้ค่าเงินบาทผันผวนหรือเคลื่อนไหวได้มากกว่าสกุลเงินอื่นๆ ได้ทั้งสองทิศทาง ถ้าราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้น จะทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่ากว่าสกุลเงินอื่นๆ แต่ถ้าราคาทองคำปรับลดลง ด้วยพฤติกรรมคนไทย ค่าเงินบาทจะอ่อนค่ามากกว่าสกุลเงินอื่นๆ ซึ่งปีนี้ทองคำขึ้นไปกว่า 40% จึงเป็นแรงกดดันด้านแข็งค่า” น.ส.ภาวิณี ระบุ
น.ส.ภาวิณี ระบุด้วยว่า ในการทำธุรกรรมแลกเปลี่ยนค่าเงิน แม้ว่าเงินทุนที่ไหล (Flow) เข้ามา จะมีขนาดเท่ากัน แต่หากการทำธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงิน ในช่วงเวลาที่สภาพตลาดไม่เหมือนกัน Flow ก็จะส่งผลต่อค่าเงินบาทไม่เท่ากัน เช่น มี Flow ที่กดดันให้บาทแข็งค่าเข้ามาในช่วงกลางคืน และมี Flow ด้านอ่อนค่าเข้ามาในช่วงเวลากลางวัน แม้ว่าหักลบกันแล้ว Flow จะเป็นศูนย์ แต่ด้วยสภาวะตลาดในช่วงกลางคืน ซึ่งสภาพคล่องมีไม่มาก จะเป็นแรงกดดันด้านแข็งค่ามากกว่า
ขณะเดียวกัน ในระยะหลัง จะเห็นว่า มีคนจับความสัมพันธ์ระหว่างค่าเงินบาทกับราคาทองคำที่มากขึ้น จึงเริ่มเห็นการ correlation trade คือ เมื่อคนเริ่มจับพฤติกรรมความสัมพันธ์นี้ ก็เริ่มมีการทำธุรกรรมซื้อขายเงินบาทตามราคาทองคำที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ธปท.เห็นธุรกรรมประเภทนี้เพิ่มขึ้น
น.ส.ภาวิณี กล่าวว่า ที่ผ่านมา ธปท.ได้เข้าไปดูแล เพื่อลดความผันผวนของค่าเงินบาทอยู่แล้ว และ ธปท.อยู่ระหว่างหารือกับผู้เกี่ยวข้อง เช่น ร้านทอง ในการกำหนดมาตรการต่างๆ เพื่อไม่ให้ราคาทองคำมาซ้ำเติมค่าเงินบาท เช่น การซื้อขายทองคำในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันที่ซื้อขายทองคำอยู่ในรูปสกุลเงินบาทและสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 50 : 50 รวมถึงมีการหารือเกี่ยวกับมาตรการภาษีด้วย
อ่านประกอบ :
‘เอกนิติ’ประสานทีมคลัง-ธปท.-ปปง.แล้ว หลังมีข่าวเงินลึกลับไหลเข้าประเทศ
ปปง.พบเงินไหลเข้าไทย'ไม่รู้ที่มา'3 ทาง-เล็งสอบขน'ดอลล์'ข้ามแดนแลก'บาท'-'คริปโทฯ'ซื้อทอง
