
“….การที่ผู้ฟ้องคดี (ผศ. ป.) ได้มีหนังสือขออนุมัติยกเลิกเอกสารที่ส่งใช้หักล้างเงินยืมดังกล่าวทั้งหมด จำนวน 4 รายการ พร้อมทั้งได้มีการสั่งจ่ายแคชเชียร์เช็คธนาคารไทยพาณิชย์ จำนวน 80,000 บาท เพื่อคืนเงินยืมทดรองจ่ายในราชการ จึงมิใช่การยกเลิกเอกสาร เพื่อแก้ไขความไม่ถูกต้องของหลักฐานการจ่ายเงินตามข้อ 15 ของระเบียบข้างต้น และไม่อาจลบล้างหรือลดหย่อนความผิดของผู้ฟ้องคดีได้ อุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีฟังไม่ขึ้น…”
...........................................
เป็นอีกคดีที่น่าสนใจ
เมื่อ ศาลปกครองสูงสุด ได้มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อ.979/2564 คดีหมายเลขแดงที่ อ.366/2568 ซึ่งเป็นคดีที่ ผศ. ป. อดีตคณบดีวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (ผู้ฟ้องคดี) ยื่นฟ้อง อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม และ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และที่ 2) ต่อศาลปกครอง
โดย ผศ. ป. (ผู้ฟ้องคดี) ขอให้ศาลฯมีคำสั่งของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ลับ ที่ 1681/2560 ลงวันที่ 5 พ.ค.2560 เรื่อง ลงโทษไล่ข้าราชการออกจากราชการ และให้ผู้ฟ้องคดีกลับสู่สถานะเดิม พร้อมทั้งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง ร่วมกันหรือแทนกันชดใช้เงินที่เป็นเงินเดือนของผู้ฟ้องคดี เป็นเงินรวม 336,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย 7%
อย่างไรก็ดี ในคดีนี้ ศาลปกครองสูงสุด พิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น ว่า การออกคำสั่ง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ที่ 1681/2560 ลงวันที่ 5 พ.ค.2560 ลงโทษไล่ผู้ฟ้องคดี (ผศ. ป.) ออกจากราชการนั้น เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงขอนำเสนอ ‘คำวินิจฉัย’ ของศาลปกครองสูงสุดในคดีนี้ (คดีหมายเลขดำที่ อ.979/2564 คดีหมายเลขแดงที่ อ.366/2568) มีรายละเอียดที่น่าสนใจ ดังนี้
@‘ม.สารคาม’ไล่ออก‘คณบดีฯ’ใช้เอกสารเท็จเบิกเงิน 8 หมื่น
ศาลปกครองสูงสุดได้ตรวจพิจารณาพยานหลักฐานในคำฟ้อง คำให้การ คำคัดค้าน คำให้การ คำให้การเพิ่มเติม และคำอุทธรณ์แล้ว
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เดิมผู้ฟ้องคดี (ผศ. ป.) เป็นข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ สังกัดมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ต่อมาได้โอนย้ายมาสังกัดวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ในสังกัดผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (มหาวิทยาลัยมหาสารคาม) ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.2553 และได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง คณบดีวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ สังกัดผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 29 พ.ค.2556
ในระหว่างที่ผู้ฟ้องคดีดำรงตำแหน่ง กองกิจการนิสิตได้เสนอขออนุมัติโครงการงานดนตรีไทยอุดมศึกษา ครั้งที่ 40 เฉลิมพระเกียรติ 150 ปี สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ โดยใช้ชื่องานว่า “อมฤตคีตา ตักศิลานคร” ระหว่างวันที่ 29 พ.ย.2556 ถึงวันที่ 1 ธ.ค.2556 ณ ลานอัฐศิลป์ ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 งบประมาณ 3,950,000 บาท
โดยเป็นงบประมาณจากสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา จำนวน 1,500,000 บาท และจากงบประมาณเงินรายได้ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ปีงบประมาณ พ.ศ.2557 จำนวน 2,550,000 บาท ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม) ได้อนุมัติโครงการดังกล่าวเมื่อวันที่ 5 พ.ย.2556
ในการดำเนินงานตามโครงการนี้ ผู้ฟ้องคดี (ผศ. ป.) ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ยืมเงินทดรองราชการตามสัญญายืมเงินรายได้ เลขที่ 131/2557-51 ลงวันที่ 13 พ.ย.2556 จำนวน 1,697,600 บาท โดยเงินยืมทดรองราชการจำนวนดังกล่าวในส่วนที่ผู้ฟ้องคดี ต้องรับผิดชอบโดยตรง จำนวน 80,000 บาท กำหนดให้ใช้เพื่อการเช่าเครื่องดนตรีไทยเท่านั้น
ในการจัดหาเครื่องดนตรีไทยเพื่อใช้ในโครงการดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีได้ทำสัญญาเช่าเครื่องดนตรีไทยกับนาย ศ. โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม) มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจรับ ประกอบด้วย ผู้ฟ้องคดีเป็นประธานกรรมการตรวจรับ นาย ส. และนาย ภ. เป็นกรรมการตรวจรับ
ภายหลังเสร็จสิ้นโครงการงานดนตรีไทยอุดมศึกษา ครั้งที่ 40 เฉลิมพระเกียรติ 150 ปี แล้ว เมื่อวันที่ 23 ม.ค.2557 ผู้ฟ้องคดีได้เสนอเอกสารหลักฐานส่งใช้เพื่อหักล้างเงินยืม ดังนี้
1.ใบสำคัญรับเงิน ลงวันที่ 2 ธ.ค.2556 ลงชื่อผู้ฟ้องคดีเป็นผู้จ่ายเงิน และ นาย ศ. เป็นผู้รับเงิน โดยผู้ฟ้องคดีรับรองเอกสารว่า จ่ายจริง ระบุเป็นค่าเช่าเครื่องดนตรีไทยโครงการงานดนตรีไทยอุดมศึกษา ครั้งที่ 40 จำนวน 80,000 บาท
2.ใบตรวจรับการเช่า เลขที่ 87/2557-17 ลงวันที่ 2 ธ.ค.2556 ซึ่งผู้ฟ้องคดีลงชื่อ ในฐานะเป็นประธานกรรมการตรวจรับ นาย ส. และนาย ภ. ลงชื่อในฐานะกรรมการตรวจรับ
3.ใบขอเช่าเครื่องดนตรีไทยโครงการงานดนตรีไทยอุดมศึกษา ครั้งที่ 40 เลขที่ 28/2557-17 ลงวันที่ 12 พ.ย.2556 จำนวน 80,000 บาท ซึ่งมีผู้ฟ้องคดีเป็นประธานกรรมการตรวจรับ นาย ส. และนาย ภ. เป็นกรรมการตรวจรับ พร้อมแนบแบบข้อตกลงระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย โดยมีนาย ศ. เป็นผู้ขาย
4.ใบสั่งซื้อ (สั่งเช่าเครื่องดนตรีไทยเพื่อใช้ในโครงการงานดนตรีไทยอุดมศึกษา ครั้งที่ 40) เลขที่ 7792/2557-14 ลงวันที่ 13 พ.ย.2556 จำนวนเงิน 80,000 บาท ลงชื่อโดย นาย ศ.
5.ใบเสนอราคา (วิธีตกลงราคา/วิธีพิเศษ) ค่าจ้างเหมาเช่าเครื่องดนตรีไทยโครงการงานดนตรีไทยอุดมศึกษา ครั้งที่ 40 จำนวนเงิน 80,000 บาท ลงชื่อ นาย ศ. เป็นผู้เสนอราคา
ต่อมาอาจารย์ในสังกัดวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ได้มีหนังสือ ลับ ที่ ศธ 0530.24/พิเศษ ลงวันที่ 17 มิ.ย.2557 ถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (มหาวิทยาลัยมหาสารคาม) ขอให้สอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงและดำเนินคดีอาญา กรณีผู้ฟ้องคดี (ผศ. ป.) จัดซื้อจัดจ้างที่ส่อทุจริตในเรื่องการดำเนินการจัดเช่าเครื่องดนตรีไทยโครงการงานดนตรีไทยอุดมศึกษา ครั้งที่ 40 พ.ศ. 2557 งบประมาณจำนวน 80,000 บาท
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม) จึงมีคำสั่งมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ลับ ที่ 2730/2557ลงวันที่ 28 ก.ค.2557 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบหาข้อเท็จจริง ซึ่งคณะกรรมการดังกล่าวได้รายงานผลการสอบหาข้อเท็จจริงและเสนอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงมีคำสั่งมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ลับ ที่ 3214/2558 ลงวันที่ 13 ส.ค.2558 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรงแก่ผู้ฟ้องคดี (ผศ. ป.) คณะกรรมการสอบสวนดังกล่าวได้แจ้งข้อกล่าวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหาให้ผู้ฟ้องคดีในฐานะผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ทราบ ตามแบบ สว.3 ลงวันที่ 12 ม.ค.2559 ซึ่งผู้ฟ้องคดีได้ลงชื่อรับทราบข้อกล่าวหาในวันเดียวกัน
ต่อมา คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรงได้รายงานผลการสอบสวนในส่วนของผู้ฟ้องคดี (ผศ. ป.) ว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ยืมเงินทดรองราชการ เพื่อดำเนินการเช่าเครื่องดนตรีไทยในโครงการงานดนตรีไทยอุดมศึกษา ครั้งที่ 40 จำนวน 80,000 บาท
แต่ผู้ฟ้องคดีมิได้นำเงินจำนวนดังกล่าวไปเช่าเครื่องดนตรีไทย ตามที่ปรากฏในสัญญาเช่าระหว่างผู้ฟ้องคดีกับนาย ศ. และที่ปรากฏในเอกสารการจัดจ้างและตรวจรับพัสดุที่ผู้ฟ้องคดีเป็นประธานกรรมการตรวจรับพัสดุแต่อย่างใด แต่ได้มอบหมายให้นาย ศ. กับเพื่อนิสิต เป็นผู้รับส่งเครื่องดนตรีไทยจากสถาบันการศึกษาอื่นตามที่ผู้ฟ้องคดีได้ติดต่อขอยืมไว้
โดยนำเงินส่วนหนึ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการรับส่ง และค่าซ่อมบำรุงเครื่องดนตรีไทย ค่ารับรองวิทยากร และค่าใช้จ่ายอื่นๆ โดยปรากฏพยานหลักฐานการใช้จ่ายเงินเพียงจำนวน 47,801 บาท ส่วนที่เหลือไม่ปรากฏพยานหลักฐานการใช้จ่ายเงิน
และเมื่อผู้ฟ้องคดี (ผศ. ป.) ได้นำเอกสารเกี่ยวกับการเช่าเครื่องดนตรีไทยและการตรวจรับพัสดุอันเป็นเท็จ มาใช้เป็นหลักฐานการจ่ายเงินเพื่อส่งใช้เงินยืมต่อเจ้าหน้าที่กองคลังและพัสดุของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จำนวน 80,000 บาท
การกระทำของผู้ฟ้องคดีเป็นการปลอมและใช้เอกสารปลอม เป็นการจงใจหรือประมาทเลินเล่อไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 10 เป็นการปฏิบัติหรือการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิควรได้ ตามมาตรา 39 วรรคสาม แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ.2557
เป็นการรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชา อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรงตามมาตรา 40 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว ประกอบข้อบังคับมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ว่าด้วยการสอบสวนพิจารณาเพื่อลงโทษทางวินัย พ.ศ.2552 สมควรได้รับโทษทางวินัยตามมาตรา 48 (5) แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ.2547 ประกอบข้อบังคับมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ว่าด้วยอำนาจการสั่งลงโทษ วิธีการออกคำสั่งและการแก้ไขคำสั่งเกี่ยวกับการลงโทษ พ.ศ.2552 คือ ไล่ออก
แต่เนื่องจากผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ที่ไม่เคยกระทำผิดมาก่อน และได้ร่วมตรวจสอบเครื่องดนตรีไทยที่ใช้ในการจัดงานโครงการงานดนตรีไทยอุดมศึกษา ครั้งที่ 40 พ.ศ.2557 และได้ร่วมกันกับบุคคลอื่นจัดงานดนตรีไทยอุดมศึกษา ครั้งที่ 40 พ.ศ.2557 จนสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี จึงเห็นควรลงโทษเป็น ปลดออก และได้มีหนังสือแจ้งเรียกให้ผู้ฟ้องคดี (ผศ. ป.) ชดใช้เงินคืนผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (มหาวิทยาลัยมหาสารคาม) จำนวน 80,000 บาท
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม) พิจารณารายงานการสอบสวนแล้ว สั่งให้นำเสนอคณะกรรมการบริหารงานบุคคลประจำมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (ก.บ.ม.) เพื่อพิจารณาตามอำนาจหน้าที่ ซึ่งคณะกรรมการบริหารงานบุคคลประจำมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (ก.บ.ม.) ในคราวประชุมครั้งที่ 3/2560 เมื่อวันที่ 18 เม.ย.2560 พิจารณาแล้วเห็นว่า
การกระทำของผู้ฟ้องคดี (ผศ. ป.) เป็นการปลอมและการใช้เอกสารปลอม เป็นการจงใจหรือประมาทเลินเล่อไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 10 การปฏิบัติหรือการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิควรได้ ตามมาตรา 39 วรรคสาม แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ.2547
เป็นการรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชา อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 40 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว ประกอบกับข้อบังคับมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ว่าด้วยการสอบสวนพิจารณาเพื่อลงโทษทางวินัย พ.ศ.2552 สมควรให้ได้รับโทษ ไล่ออกจากราชการ ตามมาตรา 48 (4) แห่ง พ.ร.บ.เดียวกัน
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม) โดยมติคณะกรรมการบริหารงานบุคคลประจำมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (ก.บ.ม.) ดังกล่าว จึงมีคำสั่งมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ลับ ที่ 1681/2560 ลงวันที่ 5 พ.ค.2560 ไล่ผู้ฟ้องคดี (ผศ. ป.) ออกจากราชการ ตั้งแต่วันที่ 5 พ.ค.2560 เป็นต้นไป
ต่อมา ผู้ฟ้องคดี มีหนังสือลงวันที่ 3 พ.ค.2560 ถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (มหาวิทยาลัยมหาสารคาม) แจ้งยกเลิกเอกสารการส่งใช้เงินยืมตามโครงการดนตรีไทยอุดมศึกษา ครั้งที่ 40 พร้อมคืนเงิน จำนวน 80,000 บาท ให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 โดยจ่ายเป็นแคชเชียร์เช็คของธนาคารไทยพาณิชย์ ลงวันที่ 2 มิ.ย.2560 ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้รับไว้เมื่อวันที่ 2 มิ.ย.2560
ผู้ฟ้องคดี เห็นว่า เมื่อผู้ฟ้องคดีได้ยกเลิกหลักฐานการใช้คืนเงินยืมที่ไม่ถูกต้องทั้งหมด และใช้คืนเงินยืม จำนวน 80,000 บาท แล้ว ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จึงไม่ได้รับความเสียหาย ผู้ฟ้องคดีไม่ควรถูกลงโทษ ไล่ออก
ผู้ฟ้องคดีจึงมีหนังสือลงวันที่ 13 มิ.ย.2560 อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อคณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์และร้องทุกข์ (ก.อ.ร.) แต่คณะกรรมการดังกล่าว มิได้พิจารณาอุทธรณ์และแจ้งผลการพิจารณาให้ผู้ฟ้องคดีทราบภายในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งผู้ฟ้องคดีได้รับแจ้งด้วยวาจาจากเจ้าหน้าที่ ก.อ.ร. ว่า ที่ประชุมมีมติยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดี
ผู้ฟ้องคดี จึงนำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองชั้นต้น ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งมหาวิทยาลัยมหาสารคามลับ ที่ 1681/2560 ลงวันที่ 5 พ.ค.2560 เรื่อง ลงโทษไล่ข้าราชการออกจากราชการ และให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
ในระหว่างพิจารณาคดีของศาลปกครองชั้นต้น คณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์และร้องทุกข์ได้มีคำวินิจฉัยที่ อ.15/2560 ลงวันที่ 23 ม.ค.2561 ให้ยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดี โดยแจ้งให้ผู้ฟ้องคดี ทราบตามหนังสือสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ลับ ที่ ศธ 0592(3) 3.21/1472 ลงวันที่ 4 ก.พ.2561
ต่อมา ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ผู้ฟ้องคดีไม่เห็นด้วย จึงอุทธรณ์คำพิพากษาต่อศาลปกครองสูงสุดเป็นคดีนี้
@ใช้‘เอกสารเท็จ’เบิกเงินค่าเช่า‘เครื่องดนตรีไทย’ 8 หมื่น
คดีมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดี (ผศ. ป.) ว่า คำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม) ตามคำสั่งมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ลับ ที่ 1681/2560 ลงวันที่ 5 พ.ค.2560 ที่ลงโทษไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
โดยมีปัญหาต้องวินิจฉัยก่อนว่าผู้ฟ้องคดีกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามข้อกล่าวหาหรือไม่
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า...ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ขณะที่ผู้ฟ้องคดีดำรงตำแหน่งคณบดีวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ สังกัดผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้มีการจัดโครงการงานดนตรีไทยอุดมศึกษา ครั้งที่ 40 โดยใช้ชื่องานว่า “อมฤตคีตา ตักศิลานคร” ในระหว่างวันที่ 29 พ.ย.2556 ถึงวันที่ 1 ธ.ค.2556
โดยโครงการดังกล่าวได้รับการอนุมัติงบประมาณ จำนวน 3,950,000 บาท มีผู้ฟ้องคดี (ผศ.ป.) ลงชื่อเป็นผู้ยืมเงินทดรองราชการและทำสัญญายืมเงินรายได้ เลขที่ 131/2557-51 ลงวันที่ 13 พ.ย.2556 จำนวน 1,697,600 บาท ทั้งนี้ สัญญายืมเงินดังกล่าวได้มีรายการค่าใช้จ่าย สำหรับจัดเช่าเครื่องดนตรีไทยจำนวน 80,000 บาท รวมอยู่ด้วย
ผู้ฟ้องคดีได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบในการจัดหาเครื่องดนตรีไทย เพื่อใช้ในการแสดงบนเวทีตามโครงการงานดนตรีไทยอุดมศึกษา ครั้งที่ 40 และได้รับแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการตรวจรับพัสดุ (ค่าเช่าเครื่องดนตรี) ร่วมกับนาย ส. และนาย ภ.
โดยในการจัดหาเครื่องดนตรีไทยดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีได้จัดทำเอกสารหลักฐานส่งใช้เพื่อหักล้างเงินยืมตามสัญญา ในรายการค่าใช้จ่ายสำหรับจัดเช่าเครื่องดนตรีไทยจำนวน 80,000 บาท คือ
1.ใบสำคัญรับเงิน ลงวันที่ 2 ธ.ค.2556 ลงชื่อผู้ฟ้องคดีเป็นผู้จ่ายเงิน และ นาย ศ. เป็นผู้รับเงิน โดยผู้ฟ้องคดีรับรองเอกสารว่า จ่ายจริง ระบุเป็นค่าเช่าเครื่องดนตรีไทยโครงการงานดนตรีไทยอุดมศึกษา ครั้งที่ 40 จำนวน 80,000 บาท
2.ใบตรวจรับการเช่า เลขที่ 87/2557-17 ลงวันที่ 2 ธ.ค.2556 ซึ่งผู้ฟ้องคดีลงชื่อ ในฐานะเป็นประธานกรรมการตรวจรับ นาย ส. และนาย ภ. ลงชื่อในฐานะกรรมการตรวจรับ
3.ใบขอเช่าเครื่องดนตรีไทยโครงการงานดนตรีไทยอุดมศึกษา ครั้งที่ 40 เลขที่ 28/2557-17 ลงวันที่ 12 พ.ย.2556 จำนวน 80,000 บาท ซึ่งมีผู้ฟ้องคดีเป็นประธานกรรมการตรวจรับ นาย ส. และนาย ภ. เป็นกรรมการตรวจรับ พร้อมแนบแบบข้อตกลงระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย โดยมีนาย ศ. เป็นผู้ขาย
4.ใบสั่งซื้อ (สั่งเช่าเครื่องดนตรีไทยเพื่อใช้ในโครงการงานดนตรีไทยอุดมศึกษา ครั้งที่ 40) เลขที่ 7792/2557-14 ลงวันที่ 13 พ.ย.2556 จำนวนเงิน 80,000 บาท ลงชื่อโดย นาย ศ.
5.ใบเสนอราคา (วิธีตกลงราคา/วิธีพิเศษ) ค่าจ้างเหมาเช่าเครื่องดนตรีไทยโครงการงานดนตรีไทยอุดมศึกษา ครั้งที่ 40 จำนวนเงิน 80,000 บาท ลงชื่อ นาย ศ. เป็นผู้เสนอราคา
แต่ข้อเท็จจริงปรากฏเป็นที่ยุติว่า นาย ศ. เป็นนิสิตชั้นปีที่ 5 สาขาดุริยางคศิลป์ไทย วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ไม่ได้มีอาชีพหรือเป็นผู้ประกอบการเกี่ยวกับเครื่องดนตรีไทย ไม่ได้เป็นผู้ลงนามในใบเสนอราคา (วิธีตกลงราคา/วิธีพิเศษ) ค่าจ้างเหมาเช่าเครื่องดนตรีไทยโครงการงานดนตรีไทยอุดมศึกษา ครั้งที่ 40 สัญญาเช่า (แบบข้อตกลงระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย) และใบสำคัญรับเงิน
ผู้ฟ้องคดี มิได้ดำเนินการจัดเช่าเครื่องดนตรีไทยโครงการงานดนตรีไทยอุดมศึกษา ครั้งที่ 40 ตามใบขอเช่าเครื่องดนตรีไทยฯ และผู้ฟ้องคดีได้นำส่งเอกสารหลักฐานอันเป็นเท็จดังกล่าวต่อกองคลังและพัสดุ เพื่อดำเนินการส่งหลักฐานการจ่ายเงิน เพื่อเป็นการส่งคืนเงินยืมตามสัญญายืมเงินรายได้ เลขที่ 131/2557-51 ลงวันที่ 13 พ.ย.2556
โดยปรากฏว่า การได้มาซึ่งเครื่องดนตรีไทยที่ใช้ในโครงการงานดนตรีไทยอุดมศึกษา ครั้งที่ 40 มาจากการยืมจากส่วนราชการภายนอก คือ วิทยาลัยนาฏศิลป์ร้อยเอ็ด วิทยาลัยนาฏศิลป์กาฬสินธุ์ และมหาวิทยาลัยขอนแก่น
โดยที่ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 กำหนดวิธีปฏิบัติในการจัดหาพัสดุในกรณีการเช่าและการยืมแตกต่างกันไป โดยการจัดหาพัสดุในกรณีการเช่า ข้อ 128 วรรคหนึ่ง ของระเบียบดังกล่าว กำหนดให้หัวหน้าส่วนราชการพิจารณาดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น โดยนำข้อกำหนดเกี่ยวกับการซื้อมาใช้โดยอนุโลม
ส่วนกรณีการยืม ข้อ 147 และข้อ 148 ของระเบียบเดียวกัน กำหนดให้ส่วนราชการผู้ยืมทำหลักฐานการยืมเป็นลายลักษณ์อักษรแสดงเหตุผลและกำหนดวันส่งคืน โดยหากเป็นการยืมระหว่างส่วนราชการ จะต้องได้รับอนุมัติจากหัวหน้าส่วนราชการผู้ให้ยืม และกำหนดว่าผู้ยืมพัสดุจะต้องนำพัสดุนั้นมาส่งคืนให้ในสภาพที่ใช้การได้เรียบร้อย
หากเกิดชำรุดเสียหาย หรือใช้การไม่ได้ หรือสูญหายไป ให้ผู้ยืมจัดการแก้ไขซ่อมแซมให้คงสภาพเดิม โดยเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง หรือชดใช้เป็นพัสดุประเภท ชนิด ขนาด ลักษณะและคุณภาพอย่างเดียวกัน หรือชดใช้เป็นเงินตามราคาที่เป็นอยู่ในขณะยืม
ผู้ฟ้องคดี (ผศ. ป.) ในขณะนั้น ดำรงตำแหน่งคณบดีวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ สังกัดผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (มหาวิทยาลัยมหาสารคาม) จึงสมควรจะต้องทราบกฎหมายและระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับการพัสดุและการเงินดังกล่าวเป็นอย่างดี
การที่ผู้ฟ้องคดีได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบในการจัดหาเครื่องดนตรีไทยได้ดำเนินการจัดหา โดยวิธีการยืมจากส่วนราชการภายนอก คือ วิทยาลัยนาฏศิลปะร้อยเอ็ด วิทยาลัยนาฏศิลปกาฬสินธุ์ และมหาวิทยาลัยขอนแก่น แต่ผู้ฟ้องคดีกลับส่งหลักฐานการจ่ายเงิน เพื่อเป็นการหักล้างเงินยืมตามสัญญายืมเงินรายได้ เลขที่ 131/2557-51 ลงวันที่ 13 พ.ย.2556 เป็นการเช่า
การปฏิบัติหน้าที่ของผู้ฟ้องคดี จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายระเบียบ แบบแผนของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบายของทางราชการ และเมื่อเอกสารหลักฐานที่ผู้ฟ้องคดี ใช้ดำเนินการส่งหลักฐานการจ่ายเงิน คือ
1.ใบสำคัญรับเงิน ลงวันที่ 2 ธ.ค.2556 ลงชื่อผู้ฟ้องคดีเป็นผู้จ่ายเงิน และเป็นผู้รับรองว่าจ่ายจริง โดยระบุลายมือชื่อปลอมของนาย ศ. เป็นผู้รับเงิน และจำนวนเงินค่าจัดเช่าเครื่องดนตรีไทยโครงการงานดนตรีไทยอุดมศึกษา ครั้งที่ 40 พ.ศ.2557 อันเป็นเท็จ จำนวน 80,000 บาท
2.ใบตรวจรับการเช่า เลขที่ 87/2557-17 ลงวันที่ 2 ธ.ค.2556 โดยมีผู้ฟ้องคดีเป็นประธานกรรมการตรวจรับ นาย ส. และนาย ภ. เป็นกรรมการตรวจรับ โดยไม่ได้ทำสัญญาเช่าเครื่องดนตรีไทยโครงการงานดนตรีไทยอุดมศึกษา ครั้งที่ 40 จำนวน 80,000 บาท และไม่มีหนังสือส่งมอบเครื่องดนตรีไทยที่เช่า แต่ข้อเท็จจริงเป็นการยืมเครื่องดนตรีไทยจากหน่วยงานอื่นภายนอก มาเพื่อใช้ทำการแสดงในโครงการงานดนตรีไทยอุดมศึกษา ครั้งที่ 40
3.ใบขอเช่าเครื่องดนตรีไทยโครงการงานดนตรีไทยอุดมศึกษา ครั้งที่ 40 เลขที่ 28/2557-17 ลงวันที่ 12 พ.ย.2556 จำนวน 80,000 บาท มีผู้ฟ้องคดีเป็นประธานกรรมการตรวจรับ นาย ส. และนาย ภ. เป็นกรรมการตรวจรับ โดยแนบแบบข้อตกลงระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายอันเป็นเท็จที่ระบุลายมือชื่อปลอมของนาย ศ. เป็นผู้ขาย
4.ใบสั่งซื้อ (สั่งเช่าเครื่องดนตรีไทยเพื่อใช้ในโครงการงานดนตรีไทยอุดมศึกษา ครั้งที่ 40) เลขที่ 779/2557–14 ลงวันที่ 13 พ.ย.2556 จำนวนเงิน 80,000 บาท โดยระบุลายมือชื่อปลอมของนาย ศ. เป็นผู้มีอำนาจลงนาม และ
5.ใบเสนอราคา (วิธีตกลงราคา/วิธีพิเศษ) ค่าจ้างเหมาเช่าเครื่องดนตรีไทยโครงการงานดนตรีไทยอุดมศึกษาครั้งที่ 40 พ.ศ.2557 จำนวนเงิน 80,000 บาท โดยระบุลายมือชื่อปลอมของนาย ศ. เป็นผู้เสนอราคา เพื่อเป็นการหักล้างเงินยืมตามสัญญายืมเงินรายได้
โดยผู้ฟ้องคดีรับรู้มาโดยตลอดว่าเอกสารดังกล่าว ไม่ตรงกับความจริงที่เป็นการดำเนินการจัดหาโดยวิธีการยืมจากส่วนราชการภายนอก เนื่องจากผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ลงนามในหนังสือยืมพัสดุไปถึงสถาบันการศึกษาต่างๆด้วยตัวเอง เอกสารที่ผู้ฟ้องคดีใช้ดังกล่าวจึงเป็นเอกสารเท็จ
@ใช้‘เงินยืม’ขัดระเบียบฯทำม.เสียหาย- คำสั่ง‘ไล่ออก’ชอบแล้ว
นอกจากนี้ เมื่อพิจารณารายงานการสอบสวนเพิ่มเติมของคณะกรรมการสอบสวนวินัย ลงวันที่ 22 ก.พ.2560 เกี่ยวกับการจ่ายเงินจำนวน 80,000 บาท ปรากฏข้อเท็จจริงว่า มีค่าใช้จ่ายหลายรายการที่ไม่เป็นไปตามรายละเอียดคำชี้แจงของผู้ฟ้องคดี ได้แก่
1.ค่าบำรุงเครื่องดนตรีไทย จำนวน 16,000 บาท มหาวิทยาลัยขอนแก่น วิทยาลัยนาฏศิลปะจันทบุรี และวิทยาลัยนาฏศิลปร้อยเอ็ด ชี้แจงว่าตรวจพบมีหนังสือขอยืมเครื่องดนตรีไทย แต่ไม่ปรากฏเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับการรับค่าบำรุงเครื่องดนตรี และไม่มีการเรียกค่าบำรุงแต่อย่างใด มีเพียงวิทยาลัยนาฏศิลปะกาฬสินธุ์ที่รับว่า ได้รับค่าบำรุงเครื่องดนตรีไทย จำนวน 2,000 บาท
ดังนั้น ค่าบำรุงเครื่องดนตรีไทยตามที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่า ได้จ่ายจริงจำนวน 16,000 บาท แต่ปรากฏพยานหลักฐานเพียงจำนวน 2,000 บาท ส่วนที่เหลือจำนวน 14,000 บาท ไม่ปรากฏหลักฐาน ซึ่งผู้ฟ้องคดีก็ไม่สามารถหาเอกสารหลักฐานมายืนยันหรือพิสูจน์หักล้างได้
2.ค่าใช้จ่ายในการรับส่งและค่าซ่อมเครื่องดนตรีไทย ที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าได้ใช้จ่ายไปจำนวน 57,445 บาท ผ่าน นาย ศ. นั้น ปรากฏว่า พระศิวา รับว่าได้รับค่าซ่อมฆ้องวงใหญ่และค่าซื้อวัสดุ (ลูกฆ้อง) จำนวน 6,145 บาท นาย ศ. ให้ถ้อยคำว่าได้รับเงินมาจริงจำนวน 35,000 บาท เพื่อไปเป็นค่าใช้จ่ายในการรับส่งและซ่อมเครื่องดนตรีไทย
นาย ภ. รับว่า ได้รับเงินจากผู้ฟ้องคดีเพื่อไปจัดซื้อไม้ไผ่ อุปกรณ์ต่างๆ และค่าถ่ายเอกสารรวมเป็นเงิน 2,656 บาท รวมเป็นเงิน 43,801 บาท ส่วนที่เหลือจำนวน 13,644 บาท ผู้ฟ้องคดีไม่มีพยานหลักฐานมาสนับสนุน
3.ค่าใช้จ่ายในส่วนของค่ารับรองวิทยากร จำนวน 4,000 บาท นั้น มีเพียงพยานราย นาย ก. ที่รับว่า ได้รับเงินจำนวน 2,000 บาท เป็นค่ารับรองศาสตราจารย์ นายแพทย์ พ. และนาย ส. จากมหาวิทยาลัยมหิดล ส่วนจำนวนเงินที่เหลืออีก 2,000 บาท ผู้ฟ้องคดีไม่มีพยานหลักฐานมาสนับสนุน
จากข้อเท็จจริงดังกล่าว แม้จะรับฟังได้ว่าผู้ฟ้องคดี ได้มีการใช้จ่ายเงินที่ยืมไปบางส่วนเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามโครงการงานดนตรีไทยอุดมศึกษา ครั้งที่ 40 จริง เมื่อผู้ฟ้องคดีได้ยืมเงินจำนวน 80,000 บาท แต่ผู้ฟ้องคดีไม่สามารถจัดหาพยานหลักฐานมาแสดงยืนยันได้ว่า เงินจำนวนอย่างน้อย 34,644 บาท ผู้ฟ้องคดีได้ใช้เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามโครงการงานดนตรีไทยอุดมศึกษา ครั้งที่ 40 จริง
อีกทั้ง การใช้จ่ายเงินที่ยืมมาจำนวน 80,000 บาท ไม่เป็นไปตามระเบียบของทางราชการ ทำให้การสอบทานการใช้จ่ายเงินดังกล่าวไม่เป็นระบบ และยากต่อการตรวจสอบหากมีการทุจริต เมื่อเงินที่ยืมมาจำนวน 80,000 บาท เป็นเงินรายได้ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (มหาวิทยาลัยมหาสารคาม) ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ย่อมได้รับความเสียหายอันเนื่องมาจากพฤติการณ์ของผู้ฟ้องคดีอย่างร้ายแรง
เมื่อพิจารณาแล้วว่า พฤติการณ์ของผู้ฟ้องคดีเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิควรได้
เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ เป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจ หรือประมาทเลินเล่อไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ แบบแผนของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบายของทางราชการหรือขาดการเอาใจใส่ระมัดระวัง รักษาประโยชน์ของทางราชการ อันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง
และเป็นการรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชาอันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง อันเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 39 วรรคสาม และวรรคห้า และมาตรา 40 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ.2557 และข้อ 10 ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535
การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม) ในฐานะผู้บังคับบัญชาตามมาตรา 49 แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว ออกคำสั่งมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ลับ ที่ 1681/2560 ลงวันที่ 5 พ.ค.2560 ลงโทษไล่ผู้ฟ้องคดี (ผศ. ป.) ออกจากราชการ จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย
และแม้คดีนี้ผู้ฟ้องคดี (ผศ. ป.) จะมิได้มีคำขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์และร้องทุกข์ (ก.อ.ร.) ที่ให้ยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีก็ตาม แต่เมื่อผู้ฟ้องคดีได้บรรยายฟ้องว่า ผู้ฟ้องคดีทราบมติของคณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์และร้องทุกข์ที่ให้ยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีทางโทรศัพท์ก่อนนำคดีมาฟ้องต่อศาล
และผู้ฟ้องคดีเห็นว่าคำวินิจฉัยอุทธรณ์ข้างต้นไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน ย่อมถือได้ว่าผู้ฟ้องคดีประสงค์ที่จะโต้แย้งความชอบด้วยกฎหมายของคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าวด้วย และเมื่อวินิจฉัยแล้วว่าคำสั่งมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ลับ ที่ 1861/2560 ลงวันที่ 5 พ.ค.2560 ที่ลงโทษไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย
ดังนั้น คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์และร้องทุกข์ คำวินิจฉัยที่ อ.15/2560 ลงวันที่ 23 ม.ค.2561 ที่ให้ยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีจึงชอบด้วยกฎหมายแล้วเช่นกัน
@อ้างเป็นแค่‘ผู้ลงนาม’ฟังไม่ขึ้น-คืนเงิน‘ลบล้าง’ความผิดไม่ได้
ในส่วนที่ผู้ฟ้องคดี (ผศ.ป.) อุทธรณ์ว่า การส่งใช้เงินยืมจำนวน 80,000 บาท ที่เป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีต้องถูกคำสั่งไล่ออกจากราชการ กระทำโดยผู้ใต้บังคับบัญชาของผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดี เพียงแต่ลงนามในเอกสารการส่งใช้เงินยืมในครั้งแรกไม่ถูกต้อง มิได้กระทำการดังกล่าวโดยเจตนาทุจริต นั้น
เห็นว่า ผู้ฟ้องคดีในขณะนั้นดำรงตำแหน่งคณบดีวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ สังกัดผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จึงสมควรจะต้องทราบกฎหมายและระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับการพัสดุและการเงินดังกล่าวเป็นอย่างดี โดยผู้ฟ้องคดีไม่อาจอ้างได้ว่า ผู้ฟ้องคดีเพิ่งจะเข้ามาดำรงตำแหน่งดังกล่าว
อีกทั้ง ผู้ฟ้องคดี ย่อมมีหน้าที่บังคับบัญชาผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของตน ให้กระทำการตามกฎหมายและระเบียบปฏิบัติของทางราชการให้ถูกต้อง การที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าเอกสารการส่งใช้เงินยืมกระทำโดยผู้ใต้บังคับบัญชาของผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีเพียงแต่ลงนามในเอกสารการส่งใช้เงินยืมเท่านั้น แสดงให้เห็นว่าผู้ฟ้องคดีไม่ปฏิบัติหน้าที่ในความรับผิดชอบของตนเอง
ส่วนที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่า ข้อ 15 ของระเบียบมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ว่าด้วยเงินทดรองราชการของบุคลากรจากเงินรายได้ พ.ศ.2552 ได้ให้โอกาสแก่ผู้กระทำการส่งใช้เงินยืมที่ส่งใช้โดยไม่ถูกต้อง โดยกำหนดให้มีการส่งใช้เงินยืมให้ถูกต้องเสียใหม่ นั้น
ข้อ 15 ของระเบียบมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ว่าด้วยเงินทดรองราชการของบุคลากรจากเงินรายได้ พ.ศ.2552 กำหนดว่า ในกรณีที่มีการตรวจสอบเอกสารภายหลังอีก และปรากฏว่าหลักฐานการจ่ายเงินไม่ถูกต้อง ให้ดำเนินการรายงานและขออนุมัติต่ออธิการบดีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
จึงเห็นได้ว่า บทบัญญัติดังกล่าวมีเจตนารมณ์ให้มีการยกเลิกเอกสารส่งใช้เงินยืมที่ไม่ถูกต้องในภายหลังได้ หากตรวจพบเองโดยเจ้าหน้าที่ผู้ยืมเงิน หรือจากผลจากการสอบทานหรือมีข้อทักท้วง โดยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องหรือหน่วยงานรับตรวจสอบ
แต่กรณีนี้เป็นการขอยกเลิกเอกสารเท็จเกี่ยวกับใช้เงินยืมจำนวน 80,000 บาท ซึ่งผู้ฟ้องคดีไม่ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของทางราชการเองมาแต่ต้น จนถูกแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงและลงโทษทางวินัยแล้ว ผู้ฟ้องคดี จึงไม่อาจยกข้อ 15 ของระเบียบนี้มาเป็นข้ออ้างในการขอยกเลิกเอกสารเท็จดังกล่าว
ดังนั้น การที่ผู้ฟ้องคดี (ผศ. ป.) ได้มีหนังสือขออนุมัติยกเลิกเอกสารที่ส่งใช้หักล้างเงินยืมดังกล่าวทั้งหมด จำนวน 4 รายการ พร้อมทั้งได้มีการสั่งจ่ายแคชเชียร์เช็คธนาคารไทยพาณิชย์ จำนวน 80,000 บาท เพื่อคืนเงินยืมทดรองจ่ายในราชการ จึงมิใช่การยกเลิกเอกสาร เพื่อแก้ไขความไม่ถูกต้องของหลักฐานการจ่ายเงินตามข้อ 15 ของระเบียบข้างต้น และไม่อาจลบล้างหรือลดหย่อนความผิดของผู้ฟ้องคดีได้ อุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีฟังไม่ขึ้น
การที่ศาลปกครองชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้อง นั้น ศาลปกครองสูงสุดเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน
