‘ผู้ว่าฯธปท.’ มองเศรษฐกิจไทยปี 69 มีความเสี่ยงจาก 'ความไม่แน่นอนทางการเมือง’ เพิ่มขึ้น คาดจีดีพีปีหน้าโต 1.7% ลดลงจากปี 68 ที่คาดว่าจะขยายตัว 2% ในปี 68 พร้อมย้ำไทยยังเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้าง ‘เรื้อรัง’ ที่ต้องแก้ไข
.....................................
เมื่อวันที่ 3 ก.ย. นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ Bloomberg โดยกล่าวว่า เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับ ‘ปัญหาเชิงโครงสร้างที่หยั่งรากลึก’ ซึ่งเรียกว่าเป็น ‘โรคเรื้อรัง’ ทั้งนี้ ผู้ว่าฯ ธปท. ซึ่งจะกำหนดครบวาระการดำรงตำแหน่งในวันที่ 30 ก.ย.2568 ย้ำว่า การแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ต้องอาศัยการปฏิรูปเชิงโครงสร้างในระยะยาว ไม่ใช่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น
สำหรับประเด็นเชิงโครงสร้างหลักของไทย ที่นายเศรษฐพุฒิกล่าวถึง ได้แก่ ศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจที่ลดลง โดยศักยภาพการเติบโตของไทยอ่อนแอลงเมื่อเวลาผ่านไป ส่วนหนึ่งเป็นเพราะประเทศไทยปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของโลกไม่ทัน ขณะที่หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ทำให้ธนาคารพาณิชย์เข้มงวดกับมาตรฐานการให้สินเชื่อ โดยเฉพาะในภาคการบริโภค นอกจากนี้ ภาระหนี้ที่สูงยังทำให้การฟื้นตัวของรายได้เป็นไปอย่างเชื่องช้า
นอกจากนี้ ความไม่เท่าเทียม โดยเฉพาะผลประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจไม่ได้กระจายอย่างเท่าเทียมกัน เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาเชิงโครงสร้างฯ ขณะเดียวกัน ความเปราะบางของภาคธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาด (SME) ย่อมมีความเสี่ยงเป็นพิเศษต่อภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ
สำหรับแนวทางแก้ไขเชิงโครงสร้างและผลกระทบเชิงนโยบายนั้น ผู้ว่าฯ ธปท. ให้ความเห็นว่า ปัญหาเชิงโครงสร้างไม่สามารถแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว เปรียบเสมือนการที่รัฐบาลต้องการมาตรการระยะสั้นแบบฉับพลัน เหมือนเช่นการฉีดยาสเตียรอยด์ ซึ่งอาจส่งผลเสียในระยะยาว ดังนั้น แนวทางนโยบายเฉพาะด้านที่ต้องมีการแก้ไข ได้แก่
1.การปรับปรุงภาคการผลิต ซึ่งฐานการผลิตของไทยยังคงเน้นอุตสาหกรรมเก่า เช่น ฮาร์ดดิสก์และสิ่งทอ เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน ไทยจำเป็นต้องดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เข้ามาในอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูงขึ้น เช่น ยานยนต์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
2.ปฏิรูปการท่องเที่ยว โดยไทยต้องเปลี่ยนรูปแบบการท่องเที่ยวไปสู่คุณภาพและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม แทนที่จะพึ่งพานักท่องเที่ยวจำนวนมากเพียงอย่างเดียว
3.ยกระดับแรงงาน เมื่อประเทศไทยก้าวสู่สังคมสูงอายุ ต้องสร้างความมั่นใจว่าจะมีแรงงานที่มีคุณภาพและเพียงพอเพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ
4.เสริมสร้างเสถียรภาพทางการเงิน โดยประเทศต้องปรับปรุงโครงสร้างหนี้และดูแลกลุ่มที่เปราะบางเพื่อสร้างความมั่นคงในระยะยาว
อย่างไรก็ดี ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองและการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ นายเศรษฐพุฒิ ระบุว่า ธปท. ยังยืนยันเป้าหมายการเติบโตการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2568 ตามประมาณการณ์ของ ธปท. ก่อนหน้านี้ที่อยู่ที่ระดับ 2% ซึ่งเป็นผลจากเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งในช่วงครึ่งปีแรก
สำหรับเรื่องอัตราดอกเบี้ยนโยบายนั้น คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี อย่างไรก็ตาม นายเศรษฐพุฒิ ย้ำว่า นโยบายการเงินมี ‘กระสุนจำกัด’ และอัตราดอกเบี้ยเป็นเพียง ‘เครื่องมือหนึ่ง’ ในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึก
นายเศรษฐพุฒิ ยังกล่าวถึงแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2569 ในขณะที่ประเทศไทยมีปัญหาทางการเมือง โดยนายเศรษฐพุฒิ ระบุว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปีหน้า มีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้นท่ามกลางความเป็นไปได้ที่งบประมาณจะล่าช้า เนื่องจากความขัดแย้งทางการเมืองของประเทศ
“สิ่งที่เรากังวล คือ ปีหน้า” นายเศรษฐพุฒิ กล่าว และกล่าวต่อไปว่า ธปท.คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2569 จะเติบโต 1.7% ในปี 2569 จากประมาณ 2% ในปีนี้ แต่ “ด้วยความไม่แน่นอนทั้งหมดนี้ จึงมีความเสี่ยงอยู่บ้าง” หากรัฐบาลเลื่อนงบประมาณปีหน้าออกไป
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวด้วยว่า ขอบเขตของนโยบายการเงินมีจำกัด เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบหลายปีแล้ว และอยู่ในระดับที่ธนาคารกลางต้องการ หากแนวโน้มเศรษฐกิจถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญ ย่อมเป็นเหตุให้ต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง ส่วนอันดับเครดิตของไทยก็อาจมีความเสี่ยงเช่นกัน หากความเสี่ยงทางการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจยังคงอยู่ ไม่เปลี่ยนแปลงและไม่มีการปรับโครงสร้างทางการคลังในระยะใกล้
