“ไทยเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งของสหรัฐฯ และเป็นพันธมิตรทางประวัติศาสตร์ที่แข็งแกร่ง นั่นเป็นพื้นที่ที่ผมคิดว่าการทูตสามารถบรรลุผลได้จริงๆ เนื่องจากความสัมพันธ์นั้นมีความสําคัญและใกล้ชิด”
เมื่อวันที่ 15 ม.ค.ที่ผ่านมา ในระหว่างการให้ถ้อยคำกับสภาคองเกรส นายมาร์โค รูบิโอ ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ในสมัยนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่กำลังจะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้มีการกล่าวถึงประเทศไทยบางช่วงบางตอนโดยเฉพาะในประเด็นเกี่ยวกับการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงได้นำเอารายงานเกี่ยวกับชาวอุยกูร์ดังกล่าวมานำเสนอ โดยอ้างอิงข้อมูลจากสำนักข่าววอยซ์ออฟอเมริกาหรือวีโอเอ มีรายละเอียดดังนี้
วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ นายมาร์โค รูบิโอ ให้คํามั่นว่าจะกดดันประเทศไทยให้ป้องกันการเนรเทศชาวอุยกูร์ 48 คนที่ถูกคุมขังที่นั่นตั้งแต่ปี 2557 หลังจากหลบหนีการถูกกล่าวหาว่าถูกข่มเหงในซินเจียง ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน
“ไทยเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งของสหรัฐฯ และเป็นพันธมิตรทางประวัติศาสตร์ที่แข็งแกร่ง นั่นเป็นพื้นที่ที่ผมคิดว่าการทูตสามารถบรรลุผลได้จริงๆ เนื่องจากความสัมพันธ์นั้นมีความสําคัญและใกล้ชิด” นายรูบิโอกล่าว
นายรูบิโอกล่าวต่อไปว่าชะตากรรมของชาวอุยกูร์ในจีนเป็น "หนึ่งในสิ่งที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้น" คนเหล่านี้ โดยพื้นฐานแล้วถูกจับกุมเพราะเชื้อชาติและศาสนาของพวกเขา และพวกเขาถูกนําไปอยู่ในค่าย ถูกปลดออกจากตัวตนของพวกเขา... และเข้าสู่การบังคับใช้แรงงาน แท้จริงแล้วพวกเขาเป็นแรงงานทาส
ขณะที่ผู้สนับสนุนสิทธิมนุษยชนกล่าวว่าการส่งชาวอุยกูร์กลับประเทศจีนเสี่ยงต่อการทรมาน และการสอบสูญ
นายมาร์โค รูบิโอ ให้ถ้อยคำต่อหน้าสภาคองเกรส (อ้างอิงวิดีโอจาก CNN-18)
นายรูบิโอซึ่งเป็นนักวิจารณ์ตัวยงของรัฐบาลปักกิ่ง ยังแสดงจุดยืนสนับสนุนกฎหมายปี 2564 ซึ่งเป็นกฎหมายมีเนื้อหาห้ามการนำเข้าสินค้าจากมณฑลซินเจียง เว้นแต่ว่ามันจะมีที่มาจากการไม่บังคับใช้แรงงาน ซึ่งการที่ตัวนายรูบิโอแสดงความเห็นวิจารณ์จีนในประเด็นสิทธิมนุษยชนเช่นนี้ ทำให้เขาถูกคว่ำบาตรจากจีนในปี 2563
@จีนปฏิเสธข้อกล่าวหาการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
ทั้งรัฐบาลประธานาธิบดีไบเดนและรัฐบาลประธานาธิบดีทรัมป์ก่อนหน้านี้ได้จัดประเภทการกระทําของจีนในซินเจียงว่าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ในขณะที่รายงานของสหประชาชาติปี 2565 ระบุว่านโยบายของรัฐบาลปักกิ่งอาจถือเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ จีนปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้ โดยวางกรอบการกระทําของตนว่าเป็นมาตรการต่อต้านการก่อการร้าย
เมื่อวันที่ 15 ม.ค. สถานทูตจีนในกรุงเทพได้ออกมาอ้างว่าชาวอุยกูร์ที่ถูกกักตัวในประเทศไทย มีความเกี่ยวข้องกับผู้ก่อนการร้าย
“บุคคลจํานวนไม่กี่คนถูกล่อลวงโดยกองกําลังภายนอก กลุ่มบุคคลเหล่านี้ได้หลบหนีไปต่างประเทศและเข้าร่วม 'ขบวนการอิสลามเติร์กสถานตะวันออก' [ETIM] ซึ่งเป็นองค์กรก่อการร้ายทีถูกระบุโดยสหประชาชาติ” สถานทูตจีนระบุ
อนึ่ง ETIM ถูกระบุว่าเป็นองค์กรก่อการร้ายในปี 2545 และสหรัฐฯ ก็ได้ถอนชื่อนี้ออกไปในปี 2563 โดยอ้างว่าไม่พบหลักฐานอันเชื่อได้เกี่ยวกับการคงอยู่ ETIM หน่วยงานวิจัยของรัฐสภาสหรัฐฯหรือ Congressional Research Service
นางจูลี่ มิลแซป ผู้จัดการฝ่ายรัฐบาลสัมพันธ์ของกลุ่ม No Business With Genocide ในกรุงวอชิงตัน ปฏิเสธคํากล่าวอ้างของจีน โดยกล่าวว่า"ไม่มีหลักฐานที่เชื่อมโยงบุคคลที่ถูกทางการไทยกักตัวเหล่านี้กับการก่อการร้าย จีนไม่สามารถอ้างพร้อมกันได้ว่าจีนมีประชากรชาวอุยกูร์ที่มีความสุข พร้อมกับระบุว่าผู้ขอลี้ภัยเป็นพวกหัวรุนแรง"
ข่าวการเสียชีวิตของชาวอุยกูร์ (อ้างอิงวิดีโอจากอัลจาซีรา)
ด้านนางอาร์สลัน ฮิดายัต หัวหน้าทีมรณรงค์ช่วยอุยกูร์สังกัดองค์กร Justice for All ในสหรัฐฯ กล่าวว่าตัวเธอเพิ่งได้รับทราบเกี่ยวกับพัฒนาการอันน่ากังวลเกี่ยวกับผู้ถูกคุมขังชาวอุยกูร์ในประเทศไทย
"เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ฉันได้รู้ข้อมูลจากผู้ถูกควบคุมตัวว่าเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองไทยพยายามถ่ายภาพผู้ถูกคุมขังชาวอุยกูร์ 43 คน และให้พวกเขาลงนามในเอกสารที่คล้ายกับเอกสารที่ใช้ในปี 2558 เมื่อชาวอุยกูร์มากกว่า 100 คนถูกบังคับส่งตัวกลับประเทศจีน" นางฮิดายัตกล่าวกับวีโอเอเมื่อวันที่ 17 ม.ค.ที่ผ่านมา
นางฮิดายัตกล่าวว่านี่จึงเป็นข้อกังวลว่าจะมีการซ้ำรอยการส่งตัวชาวอุยกูร์ครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง โดยมีรายงานว่าผู้ถูกคุมขังชาวอุยกูร์ในไทยยังคงอดอาหารประท้วง และยังคงทำเช่นนั้นจนถึงวันนี้
@ข้อกล่าวหาเรื่องการทรมาน
มีรายงานจากสหประชาชาติหรือยูเอ็นอ้างว่ามีชาวอุยกูร์เสียชีวิตในที่คุมขังอย่างน้อยจำนวน 5 คน ซึ่งรวมถึงเด็ก 2 คน ทำให้ทางฮิวแมนไรท์วอทช์ เรียกร้องให้ไทยปล่อยตัวชาวอุยกูร์ที่ถูกควบคุมตัวและให้พวกเขาเดินทางไปยังประเทศที่สามอย่างปลอดภัย
ด้านเอเลน เพียร์สัน ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียของฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าวว่ารัฐบาลไทยที่รับช่วงต่อมาได้กักขังชาวอุยกูร์อย่างไร้มนุษยธรรม ขณะที่อยู่ภายใต้แรงกดดันจากรัฐบาลจีนเพื่อให้ส่งตัวกลับ ดังนั้นจึงต้องขอเรียกร้องไปยังนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร เพื่อให้ยุติวงจรที่ว่านี้
วีโอเอได้มีการติดต่อไปยังสถานทูตไทยในกรุงวอชิงตัน และกระทรวงการต่างประเทศไทย สำหรับความเห็นเกี่ยวกับสถานะชาวอุยกูร์ และขอให้แสดงความเห็นเกี่ยวกับรายงานว่าจะมีการส่งกลับประเทศแต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนองแต่อย่างใด
ขณะนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้ให้สัมภาษณ์เอาไว้ตอนหนึ่ง ระบุว่าจะไม่มีการส่งชาวอุยกูร์กลับจีนในวันที่ 20 ม.ค. ตามที่เป็นข่าวลือก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน และขอเรียนว่าเรื่องนี้จะต้องมีการดำเนินการให้สอดคล้องกับหลักกฎหมาย
นายบาบาร์ บาลอค โฆษกระดับโลกของข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ กล่าวกับวีโอเอว่าหน่วยงานกําลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและได้ขอการรับรองจากทางการไทย
“เรายังคงเตือนเจ้าหน้าที่ไทยให้รับรู้ถึงภาระผูกพันของพวกเขาในการไม่ส่งกลับและสนับสนุนทางเลือกอื่นนอกเหนือจากการกักขัง” นายบาลอคกล่าว
ทางด้านของนางซุมเรเตย์ อาร์คิน (Zumretay Arkin) รองประธานสภาอุยกูร์โลกในมิวนิกอ้างถึงการหารืออย่างต่อเนื่องระหว่างจีนและไทยเกี่ยวกับการเนรเทศในบริบทครบรอบ 50 ปีของความสัมพันธ์ทางการทูตทั้งสองประเทศ
โดยนางอาร์คินกล่าวว่าเธอยังคงกังวลเกี่ยวกับชะตากรรมของชาวอุยกูร์และจะขอเพิ่มแรงกดดันทางสาธารณชนต่อไป ซึ่งหลังจากนี้องค์กรพันธมิตรของเธอจะจัดการประท้วงทั่วโลกที่บริเวณนอกสถานที่ไทย
เรียบเรียงจาก:https://www.voanews.com/a/rubio-vows-to-oppose-thai-uyghur-deportations-as-us-secretary-of-state/7942121.html