ในปี 2566 มีการวิจัยโดยองค์กรสื่อ Asia Democracy Chronicles แสดงให้เห็นว่าเสรีภาพในการพูดและเสรีภาพทางอินเทอร์เน็ตลดลงในภูมิภาค ทําให้นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนรายงานความจริงและปกป้องผู้อื่นและตนเองในประเทศบ้านเกิดได้ยากขึ้น
หนึ่งในหลายข่าวที่คนไทยให้ความสนใจก็คือข่าวที่เจ้าหน้าที่รัฐปราบปรามผู้เห็นต่าง
อย่างไรก็ตามมีกรณีการปราบปรามผู้เห็นต่างที่ไม่ค่อยจะถูกพูดถึงนัก ก็คือการปราบปรามผู้เห็นต่างซึ่งลี้ภัยมาจากต่างประเทศและแสวงหาความปลอดภัยที่ประเทศไทย
จากกรณีดังกล่าวนั้นเว็บไซต์ Fair Planet ซึ่งเป็นเว็บไซต์องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศเยอรมนีได้มีการลงบทความเกี่ยวกับข้อกังวลด้านความปลอดภัยของผู้ลี้ภัยที่หนีอันตรายจากประเทศบ้านเกิดมายังประเทศไทย
โดยสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ขอนำเสนอมีรายละเอียดดังนี้
ประเทศไทย ครั้งหนึ่งเคยเป็นเหมือนกับที่หลบภัยสำหรับนักกิจกรรมต่างที่หนีออกนอกประเทศ แต่ว่าตอนนี้ดูเหมือนว่าประเทศไทยจะไม่ปลอดภัยอีกแล้ว
ย้อนไปเมื่อเดือน ก.ค.2566 นายลู ซีเว่ย ทนายความด้านสิทธิมนุษยชนที่หนีออกมาจากแผ่นดินใหญ่จีน ถูกกักตัวไว้โดยทางการลาว ในระหว่างที่เขากำลังจะบินเข้าประเทศไทย แผนของเขาก็คือบินต่อจากกรุงเทพฯ ไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อพบกับครอบครัวของเขา
ทว่าในเดือน ต.ค. เขากลับถูกพบว่าอยู่ที่มณฑลเสฉวน ประเทศจีน
นางไชโย (ชื่อปลอม) นักข่าวที่ประจำอยู่ที่กรุงเวียงจันทน์รับทราบเกี่ยวกับเหตุการณ์เหล่านี้ดี ทว่าเรื่องนี้ไม่เคยถูกเผยแพร่ผ่านสื่อท้องถิ่นในลาว ไม่ใช่เพราะว่ามีคำสั่งห้ามจากเบื้องบน แต่เพราะว่าในหมู่นักข่าวและบรรณาธิการเลือกที่จะเซ็นเซอร์ตัวเองเนื่องจากการทำงานของสื่อถูกจับตาใกล้ชิดโดยรัฐบาลลาว
"นักข่าวลาวจะรู้สึกในใจว่าเรื่องราวประเภทนี้ไม่สามารถเผยแพร่บนสื่อลาวได้"นางไชโยกล่าวกับ FairPlanet โดยไม่เปิดเผยชื่อตัวเองเพราะกลัวการตอบโต้ของรัฐบาลลาว
เหตุการณ์ที่ว่ามานี้ ดูเหมือนว่าไม่ได้เกิดขึ้นแค่ที่ลาว แต่เกิดขึ้นทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากผู้คนรู้สึกไม่ปลอดภัยที่จะปฏิบัติตามสิทธิขั้นพื้นฐานและสนับสนุนความยุติธรรมให้กับผู้อื่นอีกต่อไป เพราะกลัวการโต้กลับทั้งทางกายภาพและทางดิจิทัลต่อนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนกําลังเพิ่มขึ้น แต่การออกจากประเทศบ้านเกิดเพื่อแสวงหาการลี้ภัยก็ไม่ได้รับประกันความปลอดภัยสําหรับนักปกป้องสิทธิมนุษยชนหลายคนเช่นกัน
รายงานกรณีการปราบปรามข้ามชาติและความรุนแรงข้ามพรมแดนที่กระทําโดยรัฐเพื่อปิดปากผู้เห็นต่างกําลังเพิ่มขึ้น
ข้อมูลปี 2565 จากองค์กร Freedom House ซึ่งเป็นองค์กรสิทธิมนุษยชนในสหรัฐฯ พบว่าการปราบปรามข้ามชาติต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มขึ้น และก็มีวิธีการต่างๆที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วย เช่นการโจมตีโดยตรงไปที่ตัวนักสิทธิมนุษยชนคนนั้น ภัยคุกคามทางไกล การควบคุมการเคลื่อนไหวและการสมรู้ร่วมคิดกับประเทศต้นทาง
ต่อมาในปี 2566 มีการวิจัยโดยองค์กรสื่อ Asia Democracy Chronicles แสดงให้เห็นว่าเสรีภาพในการพูดและเสรีภาพทางอินเทอร์เน็ตลดลงในภูมิภาค ทําให้นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนรายงานความจริงและปกป้องผู้อื่นและตนเองในประเทศบ้านเกิดได้ยากขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีการระดมงบประมาณด้านความมั่นคงสาธารณะในทุกประเทศทั่วภูมิภาค ในเดือน ธ.ค. 2566 กรุงฮานอยและกรุงเทพฯ ยังได้ยกระดับความร่วมมือด้านความมั่นคงให้มากขึ้นไปอีก
“เจ้าหน้าที่จากเวียดนามมีสถานะที่แข็งแกร่งฯอย่างยิ่งที่กรุงเทพ” นักสิทธิมนุษยชนคนหนึ่งในเวียดนามที่เลือกจะปกปิดตัวตนกล่าว
ในปฏิญญาสิทธิมนุษยชนอาเซียน พ.ศ. 2555 แม้จะอ้างถึงผู้ลี้ภัย แต่ก็ไม่มีอํานาจผูกพันทางกฎหมายแต่อย่างใด โดยปฏิญญาฉบับนี้ให้ความสําคัญกับการปรึกษา หารือ ฉันทามติ และการไม่แทรกแซงระหว่างกัน นอกจากนี้ชาติอาเซียนยังล้มเหลวในการสร้างกลไกในการคุ้มครองแรงงานข้ามชาติหรือผู้สนับสนุนสิทธิมนุษยชน
กลับมาที่ประเทศไทย เนื่องจากว่าไทยอยู่ในฐานะเจ้าภาพของหน่วยงานสิทธิมนุษยชนทั้งระดับนานาชาติและระดับภูมิภาคหลายแห่ง ประเทศไทยจึงเป็นเหมือนกับสวรรค์สำหรับผู้ต้องการหลบหนีปัญหาความวุ่นวายในประเทศบ้านเกิดของตัวเอง ในช่วง 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมานี้ มีผู้ลี้ภัยหลายหมื่นคนจากเมียนมา,กัมพูชา,ลาว,เวียดนาม และจีนได้หลบหนีมายังประเทศไทยเพื่อแสวงหาความปลอดภัยจากทั้งความขัดแย้งในประเทศ หรือการปราบปรามทางการเมือง
อย่างไรก็ตาม การคุ้มครองบุคคลเหล่านี้ในประเทศไทยยังคงห่างไกลจากการรับประกันว่าจะได้รับความปลอดภัยจริงๆ เนื่องจากไทยไม่ได้ลงนามในอนุสัญญาผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติหรือ UN
ในช่วงปลายปี 2564 นาย Voeun Veasna และนาย Voeung Samnang สองนักเคลื่อนไหวฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลกัมพูชาซึ่งต้องการหาที่ลี้ภัยในประเทศไทยถูกทางการไทยเนรเทศกลับประเทศ และต่อมาสองคนนี้ก็ถูกจำคุกในข้อหาว่าสมรู้ร่วมคิดในการโพสต์บทกวีวิพากษ์วิจารณ์อดีตนายกรัฐมนตรีฮุน เซน ของกัมพูชา
แม้จะมีการเรียกร้องจากนานาชาติอย่างกว้างขวางให้คุ้มครองนักกิจกรรมที่ถูกเนรเทศ แต่รัฐบาลไทยยังคงเนรเทศนักกิจกรรมออกจากภูมิภาคด้วยเหตุผลที่ยังไม่เปิดเผย
แม้แต่นักกิจกรรมที่เพียงเข้าร่วมกิจกรรมและไม่ขอลี้ภัยในประเทศไทยก็มีความเสี่ยงที่จะถูกจับกุม เมื่อต้นเดือน ม.ค. ตํารวจไทยได้ควบคุมตัวแรงงานข้ามชาติและผู้ลี้ภัยทางการเมืองชาวกัมพูชา 10 คนระหว่างการประชุมเชิงปฏิบัติการในกรุงเทพฯ
“ฉันรู้สึกไม่ปลอดภัยเมื่อเข้าร่วมกิจกรรมในต่างประเทศ”นักเคลื่อนไหวจากลาวที่ไม่เปิดเผยชื่อด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยกล่าว พวกเขาอธิบายว่ามีการส่งเจ้าหน้าที่ความมั่นคงไปเข้าร่วมกิจกรรมระหว่างประเทศเพื่อติดตามนักปกป้องสิทธิมนุษยชนชาวลาว
มีกรณีของนาย Dương Văn Thái นักข่าวและบล็อกเกอร์อิสระชาวเวียดนาม หายตัวไปตั้งแต่ถูกลักพาตัวใกล้บ้านเมื่อเดือน เม.ย. 2566 ที่จังหวัดปทุมธานี โดยเขาได้ขอลี้ภัยที่นั่นเมื่อสี่ปีก่อนเพื่อหลบหนีการประหัตประหารที่มีต่อสื่อมวลชนในเวียดนาม
วิดีโอเหตุการณ์ลักพาตัว (อ้างอิงวิดีโอจากเรดิโอฟรีเอเชีย)
ในเดือนเดียวกันทางการไทยยังได้มีการบังคับส่งกลับผู้ลี้ภัยเมียนมาสามคน ซึ่งมีความเสี่ยงมากว่าเขาจะถูกดำเนินคดีอย่างรุนแรง
ขณะที่นายลู้ อา ดา (Lù A Da) นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนชาวเวียดนาม ซึ่งเป็นหัวหน้าแนวร่วมสิทธิมนุษยชนชาวม้ง ที่ถูกพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามมองว่าเป็นกองกําลังที่ไม่เป็นมิตร ถูกตํารวจไทยจับกุมที่บ้านพักใกล้กรุงเทพฯ ในเดือนธ.ค. 2566 การจับกุมตัวเขาเกิดขึ้นหลังจากเขาประณามลงพื้นที่สาธารณะเกี่ยวกับการปราบปรามชุมชนชาวม้งในเวียดนามอย่างเป็นระบบของรัฐบาลเวียดนาม
นายลู้ อา ดา
มีรายงานในเดือน ธ.ค.2566 เช่นเดียวกันว่ามีชาวม้งกว่า 1 หมื่นคนที่ลี้ภัยอยู่ในประเทศไทยเสี่ยงที่จะถูกจับกุม
"การแบ่งปันข่าวกรองระหว่างเวียดนาม ลาว และไทยมีมาระยะหนึ่งแล้ว” นักกิจกรรมไทยคนหนึ่งที่ไม่ระบุนามเพราะกังวลเรื่องความปลอดภัยกล่าว
ทางด้านของนายยัป เลย์ เชง ผู้ช่วยนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่องค์กร 'Fortify Rights' กล่าวว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาทางการมาเลเซียและไทยได้ดําเนินการเนรเทศผู้อพยพชาวเมียนมาอย่างผิดกฎหมายโดยไม่ได้ใช้เกณฑการคัดกรองที่เข้มงวดซึ่งแยกความแตกต่างระหว่างผู้อพยพที่ไม่ปกติและผู้ลี้ภัยที่ต้องการการคุ้มครองอย่างแท้จริง
“การส่งนักเคลื่อนไหว ผู้แปรพักตร์ และนักปกป้องสิทธิมนุษยชนคนอื่นๆ กลับไปยังเมียนมาทําให้ชีวิตของพวกเขาตกอยู่ในความเสี่ยงในสภาพแวดล้อมทางกฎหมายที่กดขี่และคลุมเครือ พวกเขาอาจต้องเผชิญกับการจับกุม คุมขัง ทรมาน และการละเมิดสิทธิมนุษยชนอื่นๆ โดยพลการ” นายยัปกล่าวและย้ำว่าจำเป็นต้องมีแนวทางที่ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายฝ่ายเพื่อจัดการกับระบบการย้ายถิ่นในแต่ละประเทศ
“โดยหลายๆรัฐต้องแก้ไขข้อบกพร่องในระบบการย้ายถิ่นของตนเพื่ออํานวยความสะดวกในกระบวนการสําหรับบุคคลที่มีความเสี่ยงในการแสวงหาความปลอดภัย ให้คํามั่นว่าจะไม่ส่งพวกเขากลับไปที่พรมแดน และหยุดการเนรเทศผู้ลี้ภัยไปยังประเทศที่พวกเขากลัวการประหัตประหาร" นายยัปกล่าวและย้ำว่า หลายประเทศปลายทางต้องฝึกอบรมการบังคับใช้กฎหมายเพื่อสนับสนุนผู้พิทักษ์เหล่านี้ โดยละเว้นจากการกระทําที่อาจทําให้ความเสี่ยงรุนแรงขึ้น