ราชกิจจานุเบกษา ประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยสินค้าและบริการ กำหนดให้หน้ากากอนามัย ใยสังเคราะห์ Polypropylene เพื่อใช้ในการผลิตหน้ากากอนามัย ผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ สำหรับมือ เป็นสินค้าควบคุมเพิ่มเติม กำหนดระยะเวลา 1 ปี
วันที่ 4 กุมภาพันธ์ ราชกิจจานุเบกษา ประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยสินค้าและบริการ ฉบับที่ 1 พ.ศ.2562 เรื่อง การกำหนดสินค้าควบคุมเพิ่มเติม
ตามที่คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ได้ออกประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ฉบับที่ 53 พ.ศ. 2562 เรื่อง การกำหนดสินค้าและบริการควบคุม ลงวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ.2562 กำหนดสินค้าควบคุม 46 รายการ และบริการควบคุม 6 รายการ ไปแล้ว นั้น
โดยที่คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการได้พิจารณาแล้ว เห็นว่าสถานการณ์และภาวะเศรษฐกิจในขณะนี้จำเป็นจะต้องเพิ่มเติมการกำหนดสินค้าควบคุม เพื่อดูแลป้องกัน การกำหนดราคาซื้อ ราคาจำหน่าย หรือการกำหนดเงื่อนไขและวิธีปฏิบัติทางการค้าอันไม่เป็นธรรม อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 9 (1) และมาตรา 24 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วย ราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการดว้ยความเห็นชอบ ของคณะรัฐมนตรี จึงออกประกาศ ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับเป็นระยะเวลาหนึ่งปี ตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป เว้นแต่จะมีการออกประกาศใหม่
ข้อ 2 ให้สินค้าดังต่อไปนี้ เป็นสินค้าควบคุม
(1) หน้ากากอนามัย
(2) ใยสังเคราะห์ Polypropylene (Spunbond) เพื่อใช้ในการผลิตหน้ากากอนามัย
(3) ผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบเพื่อสุขอนามัยสำหรับมือ
(4) เศษกระดาษ และกระดาษที่นำกลับมาใช้ได้อีก
สำหรับการกำหนดหน้ากากอนามัย และเจลล้างมือเป็นสินค้าควบคุมตามกฎหมายนั้น ทำให้สินค้าควบคุมเพิ่มขึ้นจาก 52 รายการที่มีอยู่ในปัจจุบันเป็น 54 รายการ และกระทรวงพาณิชย์ก็จะสามารถดำเนินการมาตรการต่าง ๆ ตามมาได้ในการที่จะควบคุม ทั้งในเรื่องของปริมาณและในเรื่องของราคา เช่น กรมการค้าภายในสามารถที่จะกำหนดให้ผู้ผลิตผู้แทนจำหน่ายผู้นำเข้าและผู้ส่งออกต้องแจ้งข้อมูลในเรื่องของต้นทุนราคาซื้อราคาขายปริมาณการผลิตปริมาณการนำเข้าปริมาณการส่งออกหรือว่าสต๊อกได้ในทันที
ทั้งนี้ มีข้อมูลด้วยว่า ในภาวะปกติ ปริมาณการผลิตหน้ากากอนามัยกับปริมาณการใช้นั้น อยู่ในภาวะที่สมดุล แต่เมื่อเกิดกรณีไวรัสโคโรน่าขึ้นมา กระทรวงพาณิชย์ได้ประเมินตัวเลขว่า อาจจะมีความต้องการใช้เพิ่มเติมขึ้น จากเดิมตัวเลขการใช้หน้ากากอนามัยภายในประเทศอยู่ที่เดือนละ 30 ล้านชิ้น แต่ในช่วงถัดจากนี้ไปอาจจะมีความต้องการใช้เพิ่มเติมขึ้นเป็น 40 -50 ล้านชิ้น
ด้านนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์’ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุม ครม. ว่า ในวันที่ 5 ก.พ. กรมการค้าภายในจะสามารถออกมาตรการต่างๆ อย่างน้อย 4 เรื่อง คือ
1. มาตรการกำหนดให้ผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย ผู้นำเข้า และผู้ส่งออกสินค้าดังกล่าว ต้องแจ้งข้อมูลการผลิต การครอบครอง การจำหน่าย และข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
2. มาตรการการกระจายสินค้า สามารถที่จะเข้าไปดำเนินการได้ว่า ผู้ผลิตจะต้องส่งไปที่ไหน อย่างไร เพื่อไม่ให้กระจุกตัวที่ใดที่หนึ่ง
3. มาตรการด้านการส่งออกสินค้า ซึ่งในเบื้องต้นจะกำหนดว่าหากผู้ที่จะส่งออกสินค้าหน้ากากอนามัยหรือเจลล้างมือ เกิน 500 ชิ้นขึ้นไป จะต้องขออนุญาตส่งออกหรือเคลื่อนย้ายออกจากราชอาณาจักร
4. มาตรการกำหนดให้ต้องป้ายแสดงราคาจำหน่าย และต้องขายในราคาตรงกับป้ายราคา