สถาบันป๋วยฯ ชี้ภาคธุรกิจไทยกระจุกตัวสูง โดยเฉพาะ อุตสาหกรรม การผลิตสุรา เบียร์ และค้าส่งเครื่องดื่ม แนะนโยบายที่เหมาะสม ควรส่งเสริมการแข่งขันเพื่อลดกำไรจากการผูกขาดไม่กี่ราย
วันที่ 15 ตุลาคม นายกฤษฎ์เลิศ สัมพันธารักษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ เปิดเผยว่าจากการวิจัยข้อมูลผู้ถือหุ้นของบริษัทในประเทศไทยกว่า 3.3 ล้านรายการ ครอบคลุมธุรกิจที่จดทะเบียนกว่า 8.8 แสนราย พบว่า ภาคธุรกิจไทยมีกลุ่มทุนจำนวน 9,068 กลุ่ม โดยกลุ่มทุนมีความหลากหลายทั้งจำนวนบริษัทในกลุ่ม มูลค่าสินทรัพย์ และประเภทของอุตสาหกรรม โดยกลุ่มทุนส่วนมาก ประกอบด้วยบริษัทเพียง 2-3 บริษัท มีเพียง 13 กลุ่มทุนเท่านั้น ที่มีบริษัทในกลุ่มมากกว่า 100 บริษัท
สำหรับประเทศไทยอุตสาหกรรมที่กลุ่มทุนมีผลต่อการกระจุกตัวสูงสุด ได้แก่ การผลิตสุรา การผลิตเบียร์ และการค้าส่งเครื่องดื่ม ทั้งนี้จากการกระจุกตัวของความเป็นเจ้าของมีความสัมพันธ์ต่อการกระจุกตัวของการผลิต การลดความเหลื่อมล้ำในภาคธุรกิจโดยนโยบายภาษีเงินได้นิติบุคคล อาจเกิดผลกระทบทางลบต่อการจ้างงานและธุรกิจรายย่อยที่ต้องพึ่งพิงธุรกิจรายใหญ่ นโยบายที่เหมาะสมจึงควรเป็นการส่งเสริมการแข่งขันเพื่อลดกำไรจากการผูกขาดไม่กี่ราย และเพิ่มการกระจายกำไรไปสู่ผู้ผลิตจำนวนหลายรายมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ นโยบายส่งเสริมผู้เล่นรายใหม่โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมต้องคำนึงถึงมิติด้านความเป็นเจ้าของด้วย โดยต้องส่งเสริมธุรกิจที่มีเจ้าของเป็นรายใหม่ที่แท้จริง ไม่ใช่ธุรกิจรายใหม่ที่มีเจ้าของรายเดิม
สำหรับงานวิจัยโดย ดร. กฤษฎ์เลิศ สัมพันธารักษ์ และ ดร. ชานนทร์ บรรเทิงหรรษา ซึ่งวิเคราะห์ข้อมูลผู้ถือหุ้นของบริษัทในประเทศไทยกว่า 3.3 ล้านรายการ ครอบคลุมธุรกิจที่จดทะเบียนกว่า 8.8 แสนราย และผู้ถือหุ้นกว่า 2.1 ล้านราย ได้ฉายภาพโครงสร้างความเป็นเจ้าของของภาคธุรกิจไทยหลายประการ
ผู้วิจัยพบว่า รายการการถือครองหุ้นโดยตรงในสัดส่วนที่น้อยกว่า 1% ของจำนวนหุ้นในแต่ละบริษัทมีจำนวนมากที่สุด รองลงมาเป็นการถือหุ้นระหว่าง 49-50% และการถือหุ้นมากกว่า 99% ตามลำดับ ซึ่งรายการการถือหุ้นต่ำกว่า 1% หรือสูงกว่า 99% ที่มีจำนวนมากนั้น เป็นการสะท้อนถึงข้อบังคับของการกำหนดจำนวนผู้ถือหุ้นขั้นต่ำของบริษัทจดทะเบียนที่ยังมีผลบังคับใช้ในปี 2560 ส่วนรายการการถือหุ้นในสัดส่วน 49-50% มีจำนวนค่อนข้างสูงสะท้อนถึงข้อจำกัดทางกฎหมายของการถือครองหุ้นในบางธุรกิจ หรือการประกอบการธุรกิจร่วมทุนที่ฝ่ายหนึ่งต้องการถือหุ้นเกินกึ่งหนึ่งเพื่อควบคุมการดำเนินกิจการของบริษัท
ทั้งนี้ ดร. กฤษฎ์เลิศ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในทางทฤษฎีเศรษฐศาสตร์นั้น การที่บริษัทแต่ละบริษัทในกลุ่มทุน มีสถานะเป็นนิติบุคคลโดยตัวเองแทนที่จะเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทใหญ่บริษัทเดียว มีข้อดีหลายประการต่อการทำธุรกิจ
ประการแรก การจดทะเบียนธุรกิจแยกเป็นหลายบริษัท ทำให้โครงสร้างการถือหุ้นของแต่ละบริษัทมีความยืดหยุ่น ทำให้กลุ่มธุรกิจสามารถระดมทุนจากผู้ถือหุ้นรายย่อยอื่น ๆ ที่มีความสนใจและมีความต้องการที่หลากหลายให้เข้ามาร่วมทุนในแต่ละบริษัทที่ดำเนินธุรกิจต่าง ๆ กันได้ ตามความต้องการของผู้เข้ามาร่วมลงทุน ในขณะเดียวกันกลุ่มทุนก็ยังสามารถควบคุมการบริหารงานของธุรกิจได้อยู่ในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่
ประการที่สอง การระดมทุนจากผู้ถือหุ้นภายนอกกลุ่ม ยังรวมถึงการทำธุรกิจร่วมทุน (joint venture) กับพันธมิตรจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งทำให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีการผลิตและขยายตลาดสินค้าใหม่ๆ ที่ตนยังไม่มีความชำนาญได้มากขึ้น
ประการที่สาม การแบ่งธุรกิจออกเป็นบริษัทย่อยยังอาจช่วยเพิ่มกำไรให้กลุ่มธุรกิจโดยรวมในกรณีที่รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมวิสาหกิจขนาดเล็ก เช่น การเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำกว่าบริษัทขนาดใหญ่
ประการสุดท้าย บริษัทแต่ละบริษัทเป็นนิติบุคคลที่มีขอบเขตความรับผิดชอบต่อหนี้สินที่จำกัด (limited liability) ในกรณีที่บริษัทใดบริษัทหนึ่งประสบปัญหาทางการเงินและล้มละลาย พันธะผูกพันต่อหนี้สินจึงไม่ส่งต่อไปยังผู้ถือหุ้นและบริษัทอื่น ๆ ในกลุ่ม
อย่างไรก็ตาม โครงสร้างความเป็นเจ้าของในภาคธุรกิจที่กลุ่มทุนมีบทบาทสูงมีนัยต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมหลายประการ
ประการที่หนึ่ง คือ นัยต่อการวัดการกระจุกตัวของภาคธุรกิจ ซึ่งการที่บริษัทหลายแห่งมีเจ้าของร่วมกันและมีการตัดสินใจทางธุรกิจร่วมกันนั้น ทำให้การวัดการกระจุกตัวของอุตสาหกรรมต้องพิจารณาความเป็นเจ้าของร่วมกันของบริษัทต่าง ๆ ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมที่มีบริษัทหลายรายในกลุ่มทุนเดียวกันประกอบกิจการนั้น ๆ
สำหรับประเทศไทย อุตสาหกรรมที่กลุ่มทุนมีผลต่อการกระจุกตัวสูงสุด ได้แก่ การผลิตสุรา การผลิตเบียร์ การค้าส่งเครื่องดื่ม
ประการที่สอง คือ นัยต่อการวัดการกระจายตัวของรายได้และสินทรัพย์ธุรกิจของครัวเรือน เนื่องจากการถือครองหุ้นในบริษัทเป็นการถือครองสินทรัพย์ธุรกิจ (corporate wealth) ประเภทหนึ่งของครัวเรือน และในทางทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ ผลกำไรของบริษัท ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ดังกล่าวอาจนับได้ว่า เป็นรายได้ส่วนหนึ่งของครัวเรือน ถึงแม้ว่ากำไรดังกล่าวอาจจะยังมิได้ถูกแจกจ่ายเป็นเงินปันผลให้ครัวเรือนก็ตาม ซึ่งผลการศึกษาพบว่า ในปี 2560 ผู้ถือหุ้น 500 คนมีสัดส่วน 30% ในกำไรรวมของภาคธุรกิจไทย โดยสัดส่วนนี้คิดเป็นกำไรเฉลี่ย 3,098 ล้านบาทต่อคน นอกจากนี้ มูลค่ารวม (ทางบัญชี) ของส่วนผู้ถือหุ้น (total equities) สูงสุด 500 คน มีสัดส่วนถึง 36% ของภาคธุรกิจทั้งหมด
คลิกอ่านข้อมูล : มองโครงสร้างภาคธุรกิจไทยผ่านข้อมูลผู้ถือหุ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:วิ่งหรือกระโดด เจาะลึกดูละเอียด อับดับความสามารถไทยหล่น ด้วยสาเหตุใด
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/