อาบอบนวด 'วิคตอเรีย' หลุดคดีค้ามนุษย์ 13 องค์กร ยื่นนายกฯ ตรวจสอบการทำงาน

13 องค์กรทำงานเรื่องการค้ามนุษย์ ตบเท้ายื่นหนังสือถึงนายกฯ เรียกร้องให้ตรวจสอบ-ตั้งคณะพิจารณาในกระบวนการทำงานในคดีอาบอบนวด วิคตอเรีย หลังศาลชั้นต้นพิพากษาหลุดคดีค้ามนุษย์ หวั่นผู้ทรงอิทธิพลด้านการเงิน ใช้อิทธิพลเพื่อให้พ้นผิด ลั่นถาม ปปง.เงินที่อายัด ยังอยู่หรือไม่

AAT25

วันที่ 25 กันยายน คณะทำงานเครือข่ายองค์กรผู้หญิงและเด็ก และเครือข่ายปฏิบัติการต่อต้านการค้ามนุษย์ (Anti-Human Trafficking Network : ATN) จำนวน 13 เครือข่าย แถลงข่าวหัวข้อผู้ทรงอิทธิพลทางการเงินในคดีค้ามนุษย์ ณ สำนักกลางนักเรียนคริสเตียน ถนนพญาไท

ตอนหนึ่งในเวทีการแถลงข่าว นางสาวชลีรัตน์ ทิมบุตร ผู้ประสานงานมูลนิธิพิทักษ์สตรี AAT กล่าวถึงความคืบหน้าในการดำเนินคดีวิคตอเรีย อาบอบนวดที่เป็นข่าวครึกโครมในประเทศไทย เมื่อปี 2561ว่า ปัจจุบันศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาออกมาแล้ว และผู้กระทำความผิดถูกดำเนินคดี แต่เป็นความผิดฐานค้าประเวณี ไม่ใช่ความผิดฐานค้ามนุษย์ ทั้งที่มีการนำเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีมาแสวงหาผลประโยชน์ทางเพศหลายคน จึงสะท้อนให้เห็นว่า แม้ประเทศไทยจะถูกจัดอันดับรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ (Tip Report) ให้อยู่ในกลุ่มประเทศที่มีความพยายามในการแก้ไขและตรวจสอบปัญหาการค้ามนุษย์อย่างจริงจัง 2 ปีติดกัน แต่การปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย และแนวทางการช่วยเหลือผู้เสียหายที่ถูกแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากการค้ามนุษย์ด้านเพศยังมีน้อยมาก

สำหรับปัญหาการค้ามนุษย์ นางสาวชลีรัตน์ ให้ข้อมูลสถิติคดีค้ามนุษย์ ของสำนักงานคดีค้ามนุษย์ที่แสดงให้เห็นว่า ในแต่ละปีนั้น มีการแสวงหาผลประโยชน์ทางเพศจะเป็นกรณีที่มีการช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์มากที่สุด เช่น ปี 2561 พบว่า มีคดีค้ามนุษย์ทั้งหมดจำนวน 340 คดี เป็นกรณีการแสวงหาประโยชน์ทางเพศ 256 คดี และปี 2562 พบว่า มีคดีค้ามนุษย์ทั้งหมดจำนวน 233 คดี (ตัวเลข ณ เดือนกรกฎาคม) เป็นกรณีการแสวงหาประโยชน์ทางเพศ 154 คดี

ผู้ประสานงานมูลนิธิพิทักษ์สตรี AAT กล่าวถึงคดีอาบอบนวดวิคตอเรีย มีการตัดสินผู้ต้องหาที่เป็นพนักงานไปหลายคน แต่ตัวนายกำพล วิระเทพสุภรณ์ และนิภา นายกำพล วิระเทพสุภรณ์ ซึ่งยังเป็นเจ้าของร้านได้หนีไปยังไม่ได้ตัวมาฟ้องคดี แต่ภายหลังทนายความรับมอบอำนาจจากนิภามายื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมเพื่อให้ทบทวนความเห็นสั่งฟ้อง ซึ่งหน่วยงานผู้มีอำนาจรับผิดชอบ ก็กลับคำสั่งของตนเอง แล้วสั่งไม่ฟ้อง

ทางเครือข่ายฯ พิจารณาเห็นว่า ควรทำหนังสือเพื่อขอให้หน่วยงานที่มีอำนาจตรวจสอบในประเด็นดังต่อไปนี้

1.การที่ผู้ต้องหาหลบหนีไปแล้ว ทำใบมอบอำนาจมาร้องขอความเป็นธรรมนั้น เป็นการมอบอำนาจชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

2.การกลับคำสั่งเดิมของหน่วยงานที่มีอำนาจพิจารณา ควรมีระบบตรวจสอบ

3.การกลับคำสั่งเดิมไม่ฟ้องนิภา โดยนำข้อเท็จจริงนอกสำนวนต่างๆ ข้อเท็จจริงจากหนังสือร้องขอความเป็นธรรมที่ฝ่ายผู้ต้องหามามอบให้ แล้วสั่งไม่ฟ้องนั้นหารับฟังได้ เพราะคดีดังกล่าวยังไม่สิ้นสุด และโจทก์ร่วมกับอัยการศาลสูงยังอุทธรณ์ประเด็นดังกล่าวอยู่

องค์กรเครือข่ายฯ ทั้ง 13 องค์กร ขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี และผู้เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบและตั้งคณะพิจารณาในกระบวนการทำงานในคดีดังกล่าวด้วย เพื่อไม่ให้ผู้ทรงอิทธิพลด้านการเงิน ใช้อิทธิพลเพื่อให้พ้นผิด รวมไปถึงเงินที่อายัด คดีวิคตอเรีย อยากถาม สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ว่ายังอยู่หรือไม่

จากนั้น เครือข่ายฯ เดินไปทางยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ผู้ตรวจการแผ่นดิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม อัยการสูงสุด ให้ดำเนินการตรวจสอบการใช้อำนาจของอธิบดีอัยการสำนักงานคดีค้ามนุษย์ รองอัยการสูงสุด และอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ