'สกลธี' รับอัดอั้น ทำงานไม่ได้เต็มที่ตอนเป็นรองผู้ว่าฯ แค่งบห้องน้ำโรงเรียนแสนกว่าบาท งบกล้องวงจรปิดยังถูกตีตก แต่งบคลองช่องนนทรีพันล้านผ่านฉลุย เลยลาออกมาลงสมัครเลือกตั้ง ลั่นเป็นคนเดียวมีทีมงานไม่เกี่ยวพรรคการเมือง ชี้มีประสบการณ์ รู้จักกรุงเทพฯ เชื่อเป็นผู้ว่าฯไม่เกินหนึ่งปี หาเงินกรุงเทพฯได้เกือบหมื่นล้านแน่นอน เผยกล้าไปทุกเวทีดีเบตเพราะถ้ากลัวคงเป็นผู้ว่าฯไม่ได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2565 นายสกลธี ภัททิยกุล ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) หมายเลข 3 ในนามอิสระ เปิดเวทีปราศรัยใหญ่โค้งสุดท้าย บริเวณพระบรมราชานุสาวรีย์พระเจ้าตากสินมหาราช วงเวียนใหญ่ โดยนายสกลธีกล่าวยืนยันว่าความไม่สังกัดพรรคการเมืองของตัวเองนั้นทำให้เป็นประโยชน์เพราะไม่ต้องทำงานตอบแทนใครนอกจากตอบแทนประชาชน การเลือกตั้งครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกในรอบ 8-9 ปี สำหรับชาวกรุงเทพมหานคร การเลือกตั้งครั้งนี้มีความสำคัญกับประชาชนในพื้นที่ซึ่งถนนยังเป็นลูกรัง งบประมาณของกรุงเทพมหานครยังไปไม่ถึง
นายสกลธีกล่าวว่าหลังจากลาออกจากตำแหน่งรองผู้ว่า กทม.เป็นเวลา 70 กว่าวันแล้ว ต้องขอเรียนว่าสาเหตุที่ลาออกมาเพราะมีหลายเหตุการณ์ที่อัดอั้น และมีหลายอย่างที่อยากทำมากแต่ไม่รับการตอบสนอง อาทิ เมื่อประมาณ 2 ปีก่อน เคยนั่งพิจารณางบประมาณของเขตลาดพร้าว มีโรงเรียนแห่งหนึ่งของบประมาณในการเปลี่ยนห้องน้ำใหม่ ซึ่งใช้งบไม่กี่แสนบาท เพราะเหตุผลว่าห้องน้ำเดิมไม่ปลอดภัย ดังนั้นตนก็ก็ผ่านงบประมาณตรงนี้ให้เลย เพราะว่าไม่กี่แสนบาท ความปลอดภัยของเด็กต้องมาก่อน แต่ปรากฏว่างบไม่ผ่าน แต่ว่างบปรับปรุงคลองช่องนนทรีนับพันล้านบาทปรากฏว่าผ่านฉลุย
“เรื่องที่สองเกิดขึ้นที่วังทองหลาง ผมพูดในการปราศรัย ว่ามีรถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ขึ้นบนทางเท้าชนนักเรียนหญิงอาการสาหัส หลังจากนั้นผมก็พยายามกวดขันและขอกล้องวงจรปิดมาตั้งแต่ปีที่ 2 ที่เป็นรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ปรากฏว่าไม่ได้รับการอนุมัติ อันนี้ก็ไม่ผ่าน” นายสกลธี กล่าว
นายสกลธี กล่าวอีกว่า ปัญหาของกรุงเทพนั้นก็คือว่างบประมาณที่เกี่ยวกับการพัฒนาสังคมของทั้งจังหวัด พบว่ามีอยู่แค่สองร้อยล้านบาทเท่านั้นเอง ทำให้ไม่สามารถพัฒนาเด็กและเยาวชนได้ ดังนั้นนี่คือสาเหตุนำไปสู่การลาออกจากตำแหน่งรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เพราะเห็นปัญหาว่าแค่เงินไม่กี่แสนเพื่อจะช่วยเด็กยังทำไม่ได้เลย
“นี่คือเหตุผลที่ผมมาสมัครเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในวันนี้ คนกรุงเทพกำลังเสียโอกาสในทุกๆวัน ถ้าผู้ว่าราชการจังหวัดไม่สามารถจัดลำดับความสำคัญกับการใช้งบประมาณ ถึงเวลาแล้วที่กรุงเทพมหานครจะต้องให้โอกาสกับผู้ว่าที่เป็นคนรุ่นใหม่ การคิดแบบเดิมๆนั้นเป็นสิ่งที่จะทำไม่ได้แล้ว ผมเป็นคนเดียวที่เปิดตัวทีมงาน ทุกคนไม่มีความเชื่อมโยงกับพรรคการเมืองใดๆ นี่คือสาเหตุว่าทำไมผมถึงลงมาสมัครเป็นผู้ว่าในนามอิสระ” นายสกลธี กล่าว
นายสกลธี กล่าวต่อไปว่า สาเหตุของที่ลงมาสมัครเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในนามอิสระในครั้งนี้ เพราะตนเคยอยู่กับระบบพรรคการเมือง รู้เลยว่าความไม่ลงตัวของพรรคการเมืองนั้นคือเหตุผลสำคัญที่แต่ละพรรคการเมืองถึงไม่กล้าประกาศตัวผู้สมัครเลือกตั้งเมื่อถึงเวลารับสมัคร
นายสกลธีกล่าวต่อไปว่าอีกปัญหาที่สำคัญคือกรุงเทพมหานครนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นแดนสนธยา มีปัญหาทุจริตมากมาย มีปัญหาการจัดซื้อจัดจ้าง อาทิ ผู้ที่จะต้องต่อเติมบ้านกลับเจอปัญหาการเรียกรับสินบน เป็นต้น ดังนั้นถ้าหากตนเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร จะไม่ยอมให้เรื่องทุจริตเกิดขึ้นต่อไป เรื่องเหล่านี้จะต้องหมดไป
“ผมเคยไปงานโต้เวทีขององค์กรต่อต้านคอรัปชั่น (ACT) เขาบอกว่ากรุงเทพมหานครนั้นเป็นหนึ่งในองค์กรที่เป็นแดนสนธยาและมีการคอรัปชั่นมากที่สุดผ่านสำนักงานเขต ผ่านสำนักการโยธาและอื่นๆอีกมากมาย ดังนั้นผมประกาศต่อหน้าองค์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชว่า ผู้ว่าที่ชื่อว่าสกลธีจะไม่ยอมให้ระบบคอรัปชั่นอยู่เหนือคนกรุงเทพทุกคน สิ่งต่างๆเหล่านี้ต้องหมดไป” นายสกลธีกล่าวและแสดงความมั่นใจว่าประสบการณ์การเป็นรองผู้ว่านกว่า 1,400 วันจะแก้ปัญหาของกรุงเทพฯได้ แต่ว่าตอนนี้ยังขาดโอกาสและอำนาจเต็มในการจัดการ
“การเลือกตั้งครั้งนี้ผู้สมัครหลายคนมากับนโยบายสวยหรู แต่ถามหน่อยว่าทุกคนรู้หรือไม่ว่างบประมาณของกรุงเทพฯนั้นมันเหลือแค่ไหนต่อปี มันทำได้จริงหรือไม่ นี่คือปัญหาของทุกยุคทุกสมัยที่กรุงเทพฯเจอปัญหาว่าเงินไม่พอในการบริหาร ผมมั่นใจว่าผู้ว่าที่ชื่อสกลธีจะแก้ปํญหาได้ตรงจุด จะเป็นผู้ว่าคนแรกที่จะหาเงินได้ ใช้เงินเป็น สามารถกระจายไปยังทุกเขตได้อย่างเท่าเทียมกัน เร็วๆก็คือเรื่องขยะ กรุงเทพเราล้มเหลวมานาน อีกเรื่องก็คือเรื่องภาษีโรงแรมที่มีปีละสามพันล้านบาท ดังนั้นถ้าภายในหนึ่งปี ผมได้เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร มั่นใจเลยว่าเงินจะเข้ากรุงเทพฯได้เกือบหนึ่งหมื่นล้านบาทแน่นอน” นายสกลธีกล่าวและย้ำว่าคนไม่มีประสบการณ์จะคิดเรื่องนี้ไม่ได้แน่
“ผมเป็นนักสู้โดยสายเลือด หลายคนในที่นี้รู้ดี ผมไปเวทีดีเบตทุกเวที แม้จะเป็นเวทีที่เจอมีด จมเขี้ยวก็ไป เพราะผมมั่นใจจะเป็นผู้ว่าคนกรุงเทพทุกคน ถ้าแค่ดีเบทยังไม่กล้าไปจะเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครไหวได้อย่างไร”นายสกลธีกล่าว
นายสกลธีกล่าวต่อไปว่า สาเหตุที่ตนได้ไปเวทีโต้วาทีทุกช่องโทรทัศน์ ไปทุกรายงาน แม้แต่รายการที่มั่นใจว่าจะโดนถล่มแน่นอน ก็เพราะว่าตนพร้อมที่จะสู้กับทุกปัญหา ถ้าหากไม่กล้าจะไปเวทีโต้วาที หรือหลบเวที แล้วจะสามารถเป็นผู้ว่าได้อย่างไร
อนึ่งหลังจากที่นายสกลธีเสร็จสิ้นจากการปราศรัยนั้น ได้มีการเชิญตัวบุคคลที่จะเป็นทีมงานของนายสกลธี อาทิ นายวิทเยนทร์ มุตตามระ อดีตผู้ประกาศข่าวทางช่องท็อปนิวส์ และอดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์,น.ส.ณัฐรดา เลขะธนชลท์” ผู้ก่อตั้งและบริหารบริษัท EdWINGS Education ที่ปรึกษาด้านการศึกษา,นายฝันดี จรรยาธนากร นักแสดงและอาสาสมัครกู้ภัย ที่ปรึกษาด้านบรรเทาสาธารณภัย ,นายเจษฎ์ โสภิตพงศธร ที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อม ศิลปะและวัฒนธรรมและ น.ส.นริศรา ลิ้มธนากุล ที่ปรึกษาด้านการจราจรและขนส่งสาธารณะร่วมถ่ายภาพบนเวที
นอกจากนี้ยังปรากฏว่า พล.อ.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะร่วมถ่ายภาพบนเวทีด้วยเช่นกัน