"...จึงสมควรแก้กฎหมายให้ศาลเป็นผู้พิจารณาพักการลดโทษหรือปล่อยตัวนักโทษคดีสำคัญร้ายแรง คดีอุฉกรรจ์ ที่ส่งผลร้ายต่อสังคม ก่อนที่คณะกรรมการราชทัณฑ์ จะนำเข้าสู่กระบวนลดโทษ พักโทษหรือขอพระราชทานอภัยโทษ จึงเรียนเสนอมาเพื่อช่วยกันพิจารณาแก้ไขหาทางออกคืนความเป็นธรรมและความยุติธรรมให้กับชาติบ้านเมืองและสังคมไทย..."
หมายเหตุสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เขียนจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผ่าน สมชาย แสวงการ เพื่อเสนอแนวทางแก้ปัญหาการลดหย่อนโทษคดีทุจริต
กราบเรียนท่านนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี ศาลยุติธรรม คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) องค์กรต่อต้านคอรัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT และ พี่น้องประชาชนคนไทยที่รักความเป็นธรรม
เรื่องข้อเสนอการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการบริหารจัดการและข้อกฎหมาย ที่ทำให้เกิดการลดหย่อนโทษในคดีคอร์รัปชันที่มีปัญหาและสังคมตั้งข้อสงสัย โดยเฉพาะคดีทุจริตสำคัญร้ายแรงทุจริตจำนำข้าว
โดยแบ่งแนวทางการแก้ไขเป็น 3 ระยะดังนี้
แนวทางเร่งด่วน
นายกรัฐมนตรีควรสั่งให้ตั้งคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษที่สังคมให้ความเชื่อถือ โดยอย่างน้อยต้องมีผู้แทนจากกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม , กรรมการอัยการ , กรรมการ ป.ป.ช. , ACT , ผู้แทนสื่อมวลชน ฯลฯ ร่วมดำเนินการตรวจสอบให้แล้วเสร็จใน 30 วัน ระหว่างนี้ให้ชะลอการบังคับใช้การลดหย่อนโทษดังกล่าวออกไประยะหนึ่งก่อน โดยกรรมการควรมีหน้าที่ตรวจสอบอย่างน้อยดังนี้
1.ตรวจสอบกฎกติกาและกระบวนการเลื่อนชั้นนักโทษที่มีรายชื่อเข้าเกณฑ์ลดโทษในคดีร้ายแรงสำคัญเป็นพิเศษ เช่นเดียวกับคดีนักค้ายาเสพติดรายใหญ่ร้ายแรง คดีฆ่าคนตายที่มีโทษประหารชีวิต คดีฆ่าข่มขืนที่เป็นภัยสังคมร้ายแรง คดีค้ามนุษย์ ฯลฯ ที่เดิมมีนโยบายไม่ลดโทษแบบคดีทั่วไป เพราะคดีทุจริตโกงจำนำข้าวเป็นคดีพิเศษร้ายแรงสำคัญไม่ควรอยู่ในเกณฑ์ลดโทษเช่นคดีปกติทั่วไป
2.เร่งตรวจสอบกระบวนการภายในของกรมราชทัณฑ์ ในการใช้ดุลยพินิจทุกขั้นตอนของผู้เกี่ยวข้องทั้งผู้บัญชาการเรือนจำ อธิบดี และคณะกรรมการราชทัณฑ์ ในการพิจารณาเลื่อนชั้นนักโทษเด็ดขาดเป็นชั้นดี ชั้นเยี่ยมอย่างต่อเนื่อง ว่ามีเหตุต้องสงสัยหรือไม่ที่อาจมุ่งให้เฉพาะนักโทษเด็ดขาดบางคน มีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์ได้รับสิทธิพิเศษต่อเนื่อง เพื่อรอเวลาพระราชทานอภัยโทษตามห้วงเวลาสำคัญประจำปี โดยอ้างว่าทำถูกกฎหมายและระเบียบหรือไม่
3.ถ้าพบปัญหาจาก ข้อ 1 และข้อ 2 เป็นรายบุคคลให้นำเสนอแนวทางแก้ไขเฉพาะรายหรือเฉพาะคดี หากเป็นปัญหาข้อกฎหมายให้เสนอแก้ไขกฎหมายหรือกฎกระทรวงหรือระเบียบ
4.ให้แก้ไขนำหลักเกณฑ์การขอพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. 2559 กลับมาใช้เป็นเกณฑ์
แนวทางระยะกลาง
1.ครม. , สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และประชาชน ยื่นเสนอแก้พระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 52 และมาตราที่เกี่ยวข้อง
ให้เพิ่มระยะเวลาปลอดภัยแก่สังคม 15-20 ปี เมื่อศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้มีโทษหนักประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือมีโทษจำคุกในคดีสำคัญพิเศษร้ายแรง ได้แก่ คดีค้ายาเสพติดรายใหญ่ คดีฆาตกรฆ่าข่มขืน คดีทุจริตสำคัญร้ายแรง ฯลฯ ต้องได้รับโทษขังในเรือนจำขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 15-20 ปี หรืออย่างน้อย 1 ใน 3 หรือกึ่งหนึ่งของโทษโดยจะไม่มีการพิจารณาลดโทษ พักโทษ หรือปล่อยตัวก่อนกำหนด เพื่อให้สังคมมั่นใจว่า สังคมจะปลอดภัยจากผู้กระทำผิดร้ายแรงที่เป็นภัยสังคมจะยังอยู่ในเรือนจำ ในระยะเวลาอย่างน้อย 15- 20 ปี หรืออย่างน้อย1ใน3หรือกึ่งหนึ่งของโทษที่ศาลมีคำพิพากษา
2.ให้ศาลเข้ามาเป็นผู้พิจารณาและสั่งการลดโทษหรือพักโทษหรือปล่อยนักโทษก่อนกำหนด โดยเฉพาะคดีความผิดภัยสังคมร้ายแรงที่มีโทษประหารชีวิต โทษจำคุกตลอดชีวิต หรือโทษจำคุกตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป โดยให้กรมราชทัณฑ์ ทำเรื่องขอไปยังศาลให้พิจารณา และเป็นการช่วยคัดกรองการรับโทษอย่างเหมาะสมพอเพียง การปรับปรุงตัว ก่อนที่กรมราชทัณฑ์จะทำเรื่องนำนักโทษคดีสำคัญเหล่านั้น เข้ากระบวนการขอพระราชทานอภัยโทษ ส่วนความผิดต่ำกว่านั้นให้คณะกรรมการราชทัณฑ์ดำเนินการตามกฎหมายเองได้ต่อไป
3.ควรแก้ไขกฎกระทรวงและระเบียบราชทัณฑ์นักโทษคดีสำคัญที่เป็นภัยร้ายแรงต่อสังคม ได้แก่นักโทษประหารชีวิต นักโทษจำคุกตลอดชีวิต นักโทษจำคุก 20-50 ปีขึ้นไป นักโทษคดีทุจริตร้ายแรง หรือนักโทษที่เป็นภัยสังคม เช่น ฆ่า ข่มขืน หรือพวกใช้ความรุนแรง ก่อนที่นักโทษเหล่านี้จะได้รับลดโทษการปล่อยตัวจำเป็นต้องมีการประเมินความพร้อม และต้องจัดให้มีหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องมีหน้าที่เข้าประเมินร่วมด้วย
แนวทางระยะยาว
1.แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 เพื่อให้ผู้ต้องทำที่กระทำผิดร้ายแรงหลายกระทงต่างกรรมต่างวาระ เพื่อให้ศาลได้พิพากษาให้นักโทษได้รับการลงโทษจริงมากกว่ามีข้อห้ามจำคุกไว้ไม่เกิน 50 ปี ตามที่มีข้อจำกัดเดิม
2.เร่งแก้ไขปัญหาคนล้นคุกอย่างจริงจัง ควบคู่มาตรการอื่น ๆ อย่างจริงจังอาทิ มาตราการค่าปรับแทนจำคุก การบริการทางทางสังคม การบำบัดยาเสพติด การเข้ารับการบำบัดพฤติกรรม การให้คำปรึกษาทางการเงินสำหรับผู้มีหนี้สิน การติดตามความเคลื่อนไหวผ่านเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ และการให้ประกันตัวผู้ต้องหาแทนการคุมขังระหว่างสู้คดี
3.ควรพิจารณาอนุญาตให้มีโครงการเรือนจำเอกชน และโครงการจัดแยกสถานที่กักขังผู้ต้องหาที่ศาลไม่อนุญาตประกันตัว ออกจากเรือนจำปกติ
ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประกอบการพิจารณา
กฎหมายประเทศในยุโรปและหลายประเทศสากล เช่น ฝรั่งเศสได้กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 132 - 23(6) กำหนดว่า คดีที่ศาลพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต ศาลจะต้องกำหนดมาตราการปลอดภัยให้สังคมคือการห้ามลดโทษ พักโทษหรือปล่อยตัวก่อน 18 ปี และหากศาลเห็นว่า เป็นผู้กระทำผิด ศาลสามารถกำหนดระยะเวลาปลอดภัยให้สังคมได้ 18-22 ปี ดังนั้นนักโทษร้ายแรงที่ถูกศาลจำคุกตลอดชีวิตหรือโทษหนัก 50 ปี จะต้องถูกคุมขังในเรือนจำแน่นอนอย่างน้อย 18-22 ปี โดยไม่รับการปล่อยตัวก่อนกำหนด และเมื่อครบกำหนด 18-22 ปี ในระยะปลอดภัยของสังคมที่ศาลกำหนดแล้ว ศาลจะเป็นผู้ประเมินการปล่อยตัวเป็นรายๆพร้อมกำหนดเงื่อนไขการปล่อยตัวหรืออาจยังให้ยังขังต่อไปในเรือนจำจนกว่าจะครบกำหนดโทษตามคำพิพากษาหรือมีการเสนอให้ศาลประเมินใหม่
กระบวนการลดโทษ ปล่อยตัวของไทยเป็นระบบปิด โดยฝ่ายบริหารของกรมราชทัณฑ์ และคณะกรรมการราชทัณฑ์ โดยศาลไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องใด ทั้งๆที่กระบวนการยุติธรรมของไทยเริ่มต้นตั้งแต่ชั้นสืบสวนสอบสวนในชั้นตำรวจ ป.ป.ช. จนถึงชั้นอัยการในการส่งฟ้อง และมีขั้นตอนที่ต้องใช้เวลาพิจารณาคดีนานอย่างหนักทั้งผู้ฟ้องคดี อัยการ โจทก์หรือจำเลย บางคดีต่อสู้กันถึง 3 ชั้นศาล แต่พอชั้นพักโทษ ลดโทษ หรือปล่อยตัวนักโทษเด็ดขาด ให้คนออกจากคุก กลับไม่มีกระบวนการให้ยุติธรรมแบบเดียวกัน
จึงสมควรแก้กฎหมายให้ศาลเป็นผู้พิจารณาพักการลดโทษหรือปล่อยตัวนักโทษคดีสำคัญร้ายแรง คดีอุฉกรรจ์ ที่ส่งผลร้ายต่อสังคม ก่อนที่คณะกรรมการราชทัณฑ์ จะนำเข้าสู่กระบวนลดโทษ พักโทษหรือขอพระราชทานอภัยโทษ
จึงเรียนเสนอมาเพื่อช่วยกันพิจารณาแก้ไขหาทางออกคืนความเป็นธรรมและความยุติธรรมให้กับชาติบ้านเมืองและสังคมไทยครับ
สมชาย แสวงการ
สมาชิกวุฒิสภา
ประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน
สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา
12 ธ.ค.2564
#ร่วมคัดค้านนิรโทษกรรมจำนำข้าวสุดซอย