‘อนุทิน’ เรียกประชุมด่วนผู้บริหาร สธ. หลัง WHO ประกาศให้ ‘ฝีดาษลิง’ เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ สั่งยกระดับศูนย์เฝ้าระวัง – ยังไม่ประกาศเป็นโรคติดต่อร้ายแรง ขอประชาชนอย่าตื่นตระหนก ย้ำมาตรการป้องกันควิด สวมหน้า ล้างมือ เว้นระยะห่าง รับมือได้ทั้งสองโรค
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 23 ก.ค.2565 นายทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้การแพร่ระบาด โรคฝีดาษลิง เป็น “ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ” (Public Health Emergency of International Concern หรือ PHEIC) ซึ่งเป็นระดับเตือนภัยสูงสุดของ WHO
สำหรับการประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ จะทำให้องค์การอนามัยโลกสามารถระดมทุนเพื่อแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคฝีดาษลิงได้มากขึ้น
ทั้งนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณะ ได้สั่งการด่วนให้ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข เข้าร่วมประชุมในวันที่ 24 ก.ค.2565 โดยจะหารือร่วมกับอธิบดีกรมควบคุมโรค กรมการแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) และผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ เพื่อเตรียมแผนรับมือและแผนเผชิญเหตุโรคฝีดาษลิง
นายอนุทิน เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า เป็นการหารือเพื่อตอบสนองกับประกาศของ WHO โดยยกระดับการเฝ้าระวังโรคฝีดาษลิงจากศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (EOC) ของกรมควบคุมโรค เป็นศูนย์ EOC ที่มีปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน เพื่อทำให้การสั่งการ การเฝ้าระวัง มีความครอบคลุมระดับประเทศ
ส่วนการพิจารณาว่าจะประกาศเป็นโรคติดต่อร้ายแรงหรือไม่นั้น ในวันที่ 25 ก.ค.จะมีการประชุมคณะกรรมการวิชาการ ที่ประกอบด้วยอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิทางการแพทย์ จะหารือกันว่าจำเป็นต้องประกาศยกระดับการเฝ้าระวังโรคนี้อย่างไร ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนของระบบสาธารณสุขของไทย
นอกจากนั้นยังได้สั่งการให้ด่านควบคุมโรคปทั่วประเทศ ประสานกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองให้ระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะบุคคลที่เดินทางมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง
อย่างไรก็ตามไทยมีพื้นฐานระบบเฝ้าระวังมาตั้งแต่โควิด น่าจะไม่มีปัญหาอะไร เช่นเดียวกับความพร้อมด้านวัคซีน กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ยืนยันว่า วัคซีนถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีตามมาตรฐาน หากจำเป็นต้องนำมาใช้ ก็สามารถนำมาใช้ได้ทันที
ส่วนความพร้อมในการรักษาพยาบาล กรมการแพทย์ ยืนยันว่า โดยทั่วไปโรคฝีดาษลิง มีทั้งยาที่ใช้รักษาตามอาการ ยารักษาเฉพาะโรค ถ้ามีความจำเป็น สถานพยาบาลก็พร้อมที่จะรองรับการรักษาผู้ป่วยได้เช่นกัน
นายอนุทิน กล่าวยืนยันว่า ขณะนี้ขอให้ประชาชนไม่ต้องตื่นตระหนกเกินไป เพราะความสามารถในการแพร่เชื้อยังไม่ได้อยู่ระดับเดียวกันกับโควิด นอกจากนั้นมาตรการป้องกันโควิดที่เราใช้อยู่ในช่วงนี้ คือ สวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง จะสามารถลดตความเสี่ยงการติดเชื้อฝีดาษลิงได้มากทีเดียว
“ฝีดาษลิงส่วนใหญ่เกิดจากการสัมผัส ถ้าเราล้างมือ ใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ก็เหมือนเป็นมาตรการไฮบริด ป้องกันได้ทั้งโควิดและฝีดาษลิง” นายอนุทิน กล่าว
นอกจากนี้ยังมอบหมายให้ พญ.นฤมล สวรรค์ปัญญาเลิศ ผู้ทรงคุณวุฒิกรมการแพทย์ เป็นตัวกลางในการประสานข้อมูลกับสื่อมวลชน เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคฝีดาษลิง และขอย้ำว่าประชาชนอย่าตื่นตระหนกจนเกินไป ใช้ชีวิตปกติ ใช้มาตรการล้างมือ หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง
นายอนุทิน กล่าวถึงความคืบหน้าการติดตามชายชาวไนจีเรีย ผู้ป่วยฝีดาษลิงรายแรกของไทยที่หลบหนีออกจากโรงพยาบาลไปนั้น ล่าสุดได้ถูกควบคุมตัวอยู่ที่ประเทศกัมพูชาเป็นที่เรียบร้อย และกระทรวงสาธารณสุขได้ติดตามตรวจหาเชื้อผู้สัมผัสเสี่ยงในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาตามไทม์ไลน์การใช้ชีวิตใน จ.ภูเก็ต ยังไม่พบว่ามีผู้ติดเชื้อเพิ่มเติม และถือว่าไทยน่าจะยังอยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัย