ครม.เคาะปรับลดค่าใช้จ่ายรักษาโควิดให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยมีราคาถูกลง ยันไม่กระทบคุณภาพการรักษาผู้ป่วยทุกระดับอาการ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 1 มี.ค.2565 น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบปรับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 (ฉบับที่ 8) โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ เพื่อให้ค่าใช้จ่ายรักษาโรคโควิดสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เนื่องจากราคาอุปกรณ์และเวชภัณฑ์บางรายการมีราคาที่ถูกลง ทั้งนี้ การปรับอัตราค่าใช้จ่ายจะไม่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพและคุณภาพในการรักษาผู้ป่วยทุกกลุ่มระดับอาการทั้งสีเขียว สีเหลือง และสีแดง ตัวอย่างการปรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขมีดังนี้
1.ปรับปรุงหลักเกณฑ์โดยให้สถานพยาบาลได้รับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นตามระดับกลุ่มอาการของผู้ป่วย นับแต่รับหรือส่งต่อผู้ป่วยไปยังสถานพยาบาลอื่นตามบัญชีและอัตราค่าใช้จ่ายแนบท้ายหลักเกณฑ์ฯ ฉบับนี้ และกำหนดให้ผู้ป่วยหรือญาติผู้ป่วยที่ปฏิเสธไม่ขอให้ส่งต่อ หรือกรณีผู้ป่วยหรือญาติผู้ป่วย ประสงค์จะไปรับการรักษาที่สถานพยาบาลอื่น ผู้ป่วยต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเอง
2.การตรวจคัดกรองด้วยวิธี RT-PCR แบ่งเป็น กรณี 2 ยีนส์ (เหมาจ่าย) ปรับลดเหลือ 900 บาท จากเดิม 1,300 บาท , กรณี 3 ยีนส์ (เหมาจ่าย) ปรับลดเหลือ 1,100 บาท จากเดิม 1,500 บาท
3.การตรวจคัดกรองด้วย ATK แบ่งเป็น ATK วิธี Chromatographic immunoassay จ่ายตามจริงไม่เกิน 250 บาท/ครั้ง (จากเดิม 300บาท/ครั้ง) , ATK วิธี FIA จ่ายตามจริงไม่เกิน 350 บาท/ครั้ง (จากเดิม 400บาท/ครั้ง)
4.ปรับปรุงรายการและอัตราค่าบริการเหมาจ่ายสำหรับผู้ป่วยโควิด กลุ่มสีเขียว กรณี Home Isolation , Community Isolation , Hotel Isolation , Hospitel , โรงพยาบาล , โรงพยาบาลสนาม ให้เบิกได้เฉพาะค่ายาพื้นฐาน ค่าบริการพยาบาลทั่วไป ค่าติดตามอาการ ค่าให้คำปรึกษาของแพทย์ ค่า PPE ค่าอุปกรณ์ทางการแพทย์ ค่าอาหาร 3 มื้อ รวมถึงค่าที่พักเฉพาะกรณี HI Hospitel โรงพยาบาล และโรงพยาบาลสนาม หากรักษาตั้งแต่วันที่ 1-6 วัน เหมาจ่าย 6,000 บาท กรณีรักษา 7 วันขึ้นไป เหมาจ่าย 12,000 บาท
5.ยา Favipiravir และ ยา Remdesivir ให้เบิกจ่ายจากกระทรวงสาธารณสุขโดยตรง