"...มีผู้ถูกบังคับสูญหายหลายคนที่หายไปช่วงรัฐบาลเพื่อไทยที่มีทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี วันนี้พรรคเพื่อไทยกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง ก็หวังว่ารัฐบาลจะมีความจริงใจในการเปิดเผยความจริง สืบสวนสอบสวนจนกว่าจะทราบชะตากรรมของผู้สูญหายทุกคน..."
หมายเหตุสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org): เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2566 กลุ่มญาติผู้ถูกบังคับสูญหายในประเทศไทย ร่วมกับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย มูลนิธิผสานวัฒนธรรม และศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน จัดเสวนา ‘เมื่อแตกสลาย จะกลับสู่สภาพเดิมได้หรือ’ พร้อมเปิดตัวนิทรรศการ ‘กลับสู่วันวาน…กลับมากินข้าวด้วยกันนะ’ เนื่องในวันที่ระลึกถึงเหยื่อของการถูกบังคับสูญหายสากล (International Day of the Victims of Enforced Disappearances) ที่ตรงกับวันที่ 30 สิงหาคมของทุกปี ซึ่งเป็นวันที่ทั่วโลกร่วมกันรำลึกถึงเหยื่อและครอบครัวของผู้ถูกบังคับสูญหายจากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน ภาวะสงคราม การปราบปรามจากรัฐ หรือการก่อการร้ายที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก ที่คินใจ คอนเทม โพรารี (Kinjai Contemporary)
สำหรับกิจกรรมนี้จัดขึ้นเพื่อขับเคลื่อนข้อเสนอแนะเชิงนโยบายถึงทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง สู่การป้องกัน การตรวจสอบ ปราบปราม และเยียวยาวครอบครัวผู้สูญหาย หลังมีการบังคับใช้พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 ตั้งแต่วันที่ 22 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
นางอังคณา นีละไพจิตร ตัวแทนกลุ่มญาติผู้ถูกบังคับสูญหายในประเทศไทย และในฐานะสมาชิกคณะทำงานด้านการบังคับสูญหายโดยไม่สมัครใจของสหประชาชาติ (Working Group on Enforced or Involuntary Disappearances – WGEID) ผู้แทนจากภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ก่อตั้งคณะทำงานฯ ในปี 2523 คณะทำงานได้ส่งกรณีผู้ถูกบังคับสูญหายทั้งสิ้น 59,600 กรณีไปยัง 112 ประเทศ ซึ่งจำนวนผู้ถูกบังคับสูญหายที่อยู่ระหว่างการพิจารณาเชิงรุกและยังไม่ได้รับการชี้แจงหรือยุติอยู่ที่ 46,751 กรณี จาก 97 ประเทศ โดยในช่วงระยะเวลารายงานมีกรณีการบังคับสูญหาย 104 กรณีที่คณะทำงานสามารถคลี่คลายได้ อย่างไรก็ดีคณะทำงานฯ เชื่อว่าข้อมูลที่ได้รับนั้นเป็นเพียงส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น ที่ผ่านมาคณะทำงานกังวลเป็นพิเศษเกี่ยวกับกรณีความพยายามกดดัน การคุกคามหรือการข่มขู่ครอบครัว หรือต่อองค์กรที่ทำงานในนามของพวกเขา หรือพยายามให้พวกเขารวมถึงญาติถอนเรื่องร้องเรียนที่เกี่ยวข้องกับการบังคับให้หายสาบสูญ
สำหรับประเทศไทย รายงานประจำปี 2565 ของคณะทำงานระบุจำนวนผู้ถูกบังคับสูญหายทั้งสิ้น 76 กรณีซึ่งสูงเป็นลำดับที่ 3 ในกลุ่มประเทศอาเซียน ต่อจากฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย รายงานของภาคประชาสังคมระบุว่า มีการบังคับสูญหายของประชาชนระหว่างช่วงการปราบปรามพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย การบังคับบุคคลให้สูญหายช่วงสงครามยาเสพติด การปราบปรามการก่อการร้ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้ การบังคับสูญหายนักปกป้องสิทธิ กรณีเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง เช่นเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม พ.ศ.2535 รวมถึงการบังคับสูญหายของผู้เห็นต่างทางการเมืองที่ลี้ภัยในประเทศเพื่อนบ้าน
“ในฐานะครอบครัวผู้ถูกบังคับสูญหาย ดิฉันพบว่า มีปัญหาและอุปสรรคมากมายในการเข้าถึงความยุติธรรมและความจริงเกี่ยวกับชะตากรรมของเหยื่อ แม้ในบางกรณีรัฐมีความพยายามให้การเยียวยาด้วยการชดเชยด้วยตัวเงิน แต่การเยียวยาที่มีประสิทธิภาพต้องเป็นการเยียวยาแบบองค์รวม ทั้งการเยียวยาด้านจิตใจ การพัฒนาคุณภาพชีวิต ที่สำคัญอย่างยิ่งคือการเยียวยาด้วยความยุติธรรม โดยการเปิดเผยความจริง นำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ การฟื้นคืนความเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ รวมถึงการช่วยเหลือครอบครัวเหยื่อให้สามารถกลับคืนสู่สังคมได้อีกครั้ง” นางอังคณา กล่าว
นางอังคณา กล่าวต่อว่า มีผู้ถูกบังคับสูญหายหลายคนที่หายไปช่วงรัฐบาลเพื่อไทยที่มีทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี วันนี้พรรคเพื่อไทยกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง ก็หวังว่ารัฐบาลจะมีความจริงใจในการเปิดเผยความจริง สืบสวนสอบสวนจนกว่าจะทราบชะตากรรมของผู้สูญหายทุกคน และรู้ตัวผู้กระทำผิดตามที่รับประกันไว้ใน พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 อย่างน้อยที่สุดสำหรับครอบครัวผู้ถูกบังคับสูญหาย ทุกคนอยากรู้ว่าคนในครอบครัวยังมีชีวิตหรือไม่ ถ้ามีชีวิตอยู่เขาอยู่ที่ไหน หรือว่าถ้าเสียชีวิตไปแล้ว อย่างน้อยคืนศพให้พวกเขา รัฐต้องยอมรับความจริงว่าการการชดใช้ด้วยเงินอย่างเดียวไม่อาจคืนศักดิ์ศรี และลบเลือนความทรงจำที่โหดร้ายทรมานของเหยื่อได้ การเยียวยาที่ไม่ได้มาตรฐานเช่นที่กระทำอยู่ ทำให้การเปลี่ยนผ่านของเหยื่อและครอบครัวเกิดความชะงักงัน การไม่รู้ความจริงทำให้พวกเขาถูกพันธนาการด้วยความเจ็บปวด และไม่สามารถเชื่อมโยงตัวเองกับสังคม
นางสาวปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวว่า การละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ร้ายแรงที่สุดอีกอย่างหนึ่งในสังคมนี้ คือเจ้าหน้าที่รัฐ ‘บังคับบุคคลให้สูญหาย’ ประเด็นนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบกับคนในครอบครัวผู้สูญหายเพียงอย่างเดียว แต่ส่งผลกระทบไปถึงภาพใหญ่ระดับประเทศคือการทำให้ผู้คนอยู่ในความหวาดกลัว และระแวงจากภัยคุกคามที่เกิดจากอำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐ
ที่ผ่านมาแอมเนสตี้ไม่ได้ขับเคลื่อนเรื่องการป้องกันการทรมานและถูกบังคับให้สูญหายในประเทศไทยเพียงประเทศเดียว แต่ได้ร่วมขับเคลื่อนป้องกันให้เรื่องนี้ไม่เกิดขึ้นในระดับโลก พบว่าประเทศที่เกิดความขัดแย้งทางการเมือง หรือมีแรงปะทะเรื่องขั้วอำนาจจะเกิดการบังคับให้สูญหายจำนวนมาก และอีกกลุ่มคนในสังคมที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษคือ ‘กลุ่มคนเปราะบาง’ ที่ปัจจุบันพบว่ามักถูกทรมาน ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างไร้มนุษยธรรม และบางคนถูกอุ้มหายไปโดยไม่ทราบชะตากรรม ซึ่งประเด็นนี้เป็นอีกข้อท้าทายที่จะต้องทำร่วมกับหลายภาคส่วนเพื่อช่วยกันป้องกัน ปราบปรามไม่ให้เรื่องนี้เกิดขึ้นในทุกประเทศทั่วโลก
“เนื่องในวันผู้สูญหายสากล แอมเนสตี้ขอขอบคุณกลุ่มญาติผู้ถูกบังคับสูญหายในประเทศไทยทุกคนที่มาร่วมกิจกรรมกับเราในครั้งนี้ เรื่องราวของอาหารทุกเมนูที่จัดอยู่ในนิทรรศการได้เล่าเรื่องราวความรัก ความคิดถึง ความหวัง ความเจ็บปวดของครอบครัวผู้สูญหายได้อย่างลึกซึ้ง ซึ่งเรายืนยันว่าจะเป็นขบวนการขับเคลื่อนสิทธิมนุษยชน ปกป้องไม่ให้เกิดการละเมิดสิทธิด้วยการถูกทรมานหรืออุ้มหาย ร่วมกับภาคีเครือข่ายทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศต่อไป เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าวันหนึ่งจะไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้ 100% แม้จะเป็นความหวังที่อาจจะต้องใช้เวลานาน แต่เราจะทำมันต่อไป และขอเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันและขับเคลื่อนนโยบายให้ พ.ร.บ. นี้ไม่มีช่องโหว่ และช่วยครอบครัวผู้สูญหายได้จริงต่อไป” นางสาวปิยนุช กล่าว
นางสาวพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม พูดถึงความก้าวหน้าของการผลักดันให้เกิด พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 ว่า ปัจจุบันหน่วยงานต่างๆ ตื่นตัวในการใช้มาตรการป้องกันมากขึ้น เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติเองก็มีกฎระเบียบก่อนหน้า พ.ร.บ.นี้ ให้ตำรวจทุกคนต้องบันทึกภาพเคลื่อนไหวและเสียงขณะจับกุมด้วยกล้อง Body Camera หรือ กล้องสังเกตุการณ์ ฝ่ายปกครองส่วนท้องถิ่นทุกอำเภอ สำนักงานอัยการจังหวัดทุกจังหวัด ได้ตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนและรับแจ้งการจับกุม 24 ชั่วโมง มองว่าเป็นเรื่องที่ดีหากหน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐตระหนักถึงเรื่องนี้ในวงกว้างและเป็นหูเป็นตาให้ชาวบ้านได้จริง จะไม่มีใครที่ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมแล้วหายไปเลยจากกระบวนการยุติธรรมและหายไปอย่างไม่ทราบชะตากรรมจากครอบครัวและคนที่เขารัก
ถึงแม้สถานการณ์จะดีขึ้นแต่ก็ยังพบว่า มีเจ้าหน้าที่รัฐบางส่วนมีพฤติกรรมผิดวินัย ออกนอกลู่นอกทางขณะปฎิบัติหน้าที่ และหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบเมื่อเกิดคดีทรมาน-อุ้มหายขึ้นมา ตรงนี้จึงอยากให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่รัฐ ต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างชอบธรรม รวมถึงประชาชนสามารถเป็นอีกกระบอกเสียงที่สามารถร้องเรียนและช่วยยับยั้งป้องกันเหตุร้ายนี้ได้ โดยได้รับการคุ้มครอง ไม่ถูกฟ้องกลับ เพราะเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของทุกคนในสังคม
“ปัจจุบันกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม และสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียน และมีองค์กรภาคประชาสังคมในประเทศไทยและต่างประเทศมาให้ความรู้เรื่องนี้อย่างกว้างขวางมากขึ้น แต่ยังมองว่าสังคมไทยต้องเรียนรู้พัฒนาให้ทันโลกมากขึ้น เพราะคดีทรมาน-อุ้มหาย เป็นอาชญากรรมที่มีลักษณะพิเศษ เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ต้องมีวิธีการทำงานที่ละเอียด มีองค์ความรู้ทั้งกฎหมาย นิติเวช และจิตวิทยามาเกี่ยวข้อง ทั้งเรื่องการสอบสวน การพิจารณาคดี และการเยียวยาให้ครอบคลุมต่อผู้เสียหายโดยเฉพาะญาติของผู้เสียหายอย่างได้ผล” นางสาวพรเพ็ญ กล่าว
นางสาวเยาวลักษ์ อนุพันธุ์ ผู้อำนวยการศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ยืนยันว่า หน่วยงานจะเคียงข้างบุคคลและครอบครัวผู้ถูกบังคับให้สูญหายในการตามหาความจริงเพื่อให้ทราบถึงที่อยู่และชะตากรรมของบุคคลเหล่านั้นให้หมดข้อสงสัย และจะสนับสนุนให้ทุกคนได้รับการเยียวยาจากภาครัฐให้ถึงที่สุด หลังมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย พ.ศ. 2565 เมื่อเดือน กุมภาพันธ์ 2566 รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่มีกฎหมายนี้บังคับใช้ในประเทศไทย และหวังว่ากฎหมายนี้จะอำนวยให้ความจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์และบุคคลผู้ถูกบังคับให้สูญหายปรากฏออกมา
“การบังคับบุคคลให้สูญหายเป็นสิ่งที่เราจะยอมรับให้เกิดขึ้นไม่ได้ในสังคมไทย สิ่งนี้ละเมิดอย่างร้ายแรงต่อความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและการจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายของบุคคลผู้สูญหายและผู้คนรอบข้าง การละเมิดอย่างถาวรนี้จะยังคงอยู่ ตราบใดที่รัฐยังค้นหาบุคคลเหล่านี้ไม่พบ รัฐไทยต้องจริงใจ จริงจัง และทันท่วงทีต่อเหตุการณ์บังคับบุคคลให้สูญหายของบุคคลที่เกิดขึ้นตลอดมาให้สมกับการประกาศใช้กฎหมายใหม่” นางสาวเยาวลักษ์ กล่าว
นอกจากนี้แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย มูลนิธิผสานวัฒนธรรม และศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนยังมีข้อเสนอแนะต่อหน่วยงานต่าง ๆ ดังนี้
ข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี
- เร่งรัดให้สัตยาบันอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการสูญหายโดยถูกบังคับ (International Convention for the Protection of All Persons from Enforced Disappearance: ICPPED) โดยไม่มีข้อสงวนใดๆ
- พิจารณาให้สัตยาบันเเละอนุวัติการพิธีสารเลือกรับตามอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมานเเละการกระทำอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (OP-CAT) เข้ามาเป็นกฎหมายภายในประเทศอย่างเร่งด่วน
ข้อเสนอแนะต่อกระทรวงยุติธรรม
- เร่งรัดปฏิบัติตามข้อเสนอแนะจากกระบวนการตรวจสอบสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชน (Universal Periodic Review - UPR) โดยเฉพาะการสืบสวนสอบสวนกรณีการกระทำให้บุคคลสูญหายจนกว่าจะทราบที่อยู่และชะตากรรมของผู้ถูกบังคับให้สูญหาย และรู้ตัวผู้กระทำผิด ไม่ว่าบุคคลนั้นจะถูกบังคับให้สูญหายภายในราชอาณาจักร หรือนอกราชอาณาจักร ซึ่งเป็นสิทธิในการทราบความจริงของครอบครัวเเละญาติ ตามมาตรา 10 ของพระราชบัญญัติป้องกันเเละปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565
- ในการสืบสวนสอบสวนเพื่อหาตัวผู้ถูกกระทำให้สูญหาย ควรนำหลักการชี้แนะว่าด้วยการค้นหาผู้สูญหาย (Guiding Principle for the search for disappeared persons) ของคณะทำงานการบังคับสูญหายขององค์การสหประชาชาติ (UN Working Group on Enforced or Involuntary Disappearance) มาปรับใช้เป็นแนวทางในการสืบสวนสอบสวน
- ในการติดตามหาตัวผู้ถูกกระทำให้สูญหายที่เกิดก่อนการบังคับใช้พระราชบัญญัติป้องกันเเละปราบปรามการทรมานเเละการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ซึ่งญาติได้ร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่และอำนาจในการสืบสวนสอบสวนไว้แล้ว เจ้าหน้าที่ต้องรีบเร่งการสืบสวนสอบสวนด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้ ทั้งนี้ ต้องเเจ้งผลการสืบสวนสอบสวนและความคืบหน้าในการหาตัวผู้ถูกกระทำให้สูญหายแก่ญาติหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องทราบเป็นระยะ
- ระหว่างการสืบสวนเพื่อหาตัวผู้ถูกกระทำให้สูญหาย ควรให้มีการเยียวยาแก่ครอบครัวและญาติเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและคืนความเป็นธรรมให้แก่ครอบครัวและญาติของบุคคลดังกล่าว
ข้อเสนอต่อแนะต่อคณะกรรมการตามพระราชบัญญัติป้องกันเเละปราบปรามการทรมานเเละการกระทำให้บุคคลสูญหาย
- รายงานเเละเปิดเผยข้อมูลผลการดำเนินงานของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายและคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการฯ ดังกล่าว พร้อมกำหนดช่องทางให้ผู้เสียหายหรือญาติสามารถติดตามตรวจสอบความคืบหน้าในกระบวนการพิจารณาเรื่องร้องเรียนที่ส่งหรือคณะกรรมการฯ ดังกล่าวได้หยิบยกขึ้นพิจารณาตามพระราชบัญญัติป้องกันเเละปราบปรามการทรมานเเละการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ได้
- คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย และคณะอนุกรรมการซึ่งดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายภายใต้คณะกรรมการ ฯ ดังกล่าว ต้องออกมาตรการเยียวยาแก่ผู้เสียหายอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอย่างน้อยต้องครอบคลุมตามมาตรฐานขั้นต่ำในข้อ 14 ว่าด้วยการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการทรมานตามอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน และการกระทำอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี ตามความเห็นทั่วไปฉบับที่ 3 ของคณะกรรมการต่อต้านการทรมาน และหลักการพื้นฐานและแนวทางว่าด้วยการเยียวยาผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงและกว้างขวางของสหประชาชาติ ( Basic Principles and Guidelines on the Right to a Remedy and Reparation for Victims of Gross Violations of International Human Rights Law and Serious Violations of International Humanitarian Law) เช่น อำนวยความสะดวกให้ผู้เสียหายสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างง่ายและออกแบบมาตรการเยียวยาที่ครอบคลุมตามหลักการทดแทน (compensation) การฟื้นฟู (rehabilitation) การทำให้พึงพอใจ (satisfaction) และการประกันว่าจะไม่เกิดการละเมิดซ้ำ (guarantees of non-repetition)
ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติป้องกันเเละปราบปรามการทรมานเเละการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
- เร่งรัดทบทวนแนวปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญา พ.ศ. 2546 และระเบียบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีหน้าที่ให้ความคุ้มครองแก่ญาติหรือผู้เกี่ยวข้องกับผู้ถูกกระทำให้สูญหาย ผู้ถูกกระทำทรมาน หรือผู้ถูกกระทำการที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมฯ ซึ่งรวมถึงระเบียบกรมสอบสวนคดีพิเศษว่าด้วยการคุ้มครองพยาน พ.ศ. 2554 โดยต้องให้การคุ้มครองพยานจนกว่าจะสืบทราบชะตากรรมของผู้ถูกกระทำให้สูญหาย เเละทราบตัวผู้กระทำความผิด หรือจนกว่าคดีที่เกี่ยวข้องกับเหตุนั้นถึงที่สุด และต้องไม่กำหนดภาระการพิสูจน์เหตุแห่งความจำเป็นในการขอรับการคุ้มครองพยานแก่ครอบครัวของผู้เสียหาย ทั้งนี้ เพื่อป้องกันมิให้บุคคลดังกล่าวถูกข่มขู่คุกคามหรือแม้กระทั่งการกระทำให้สูญหายไปอีกด้วย
- เร่งรัดทบทวนเเนวปฏิบัติตามกฎหมายอื่น เช่น กฎหมายว่าด้วยราชทัณฑ์ กฎหมายว่าด้วยการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด เเละกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมเเละพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เป็นต้น ซึ่งมีช่องว่างทางกฎหมายที่อนุญาตให้เจ้าหน้าที่ใช้ดุลพินิจในการควบคุมตัวหรือปฏิบัติต่อผู้ถูกจับกุมหรือควบคุมตัว อันอาจมีลักษณะเป็นการทรมาน หรือการปฏิบัติที่โหดร้ายหรือไร้มนุษยธรรม โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายต้องหาแนวทางเพื่อยุติการกระทำเหล่านั้นทันที
- ดำเนินการเเละเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการติดตามและเสนอเเนะเพื่อการปรับปรุงและแก้ไขพระราชบัญญัติป้องกันเเละปราบปรามการทรมานเเละการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับอนุสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมานเเละการกระทำอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรีและอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการสูญหายโดยถูกบังคับ ในประเด็นดังต่อไปนี้
- กำหนดองค์ประกอบและนิยามความผิดฐานกระทำทรมานและกระทำให้บุคคลสูญหาย โดยเฉพาะกรณีที่ผู้กระทำการที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐให้สอดคล้องกับอนุสัญญาทั้งสองฉบับข้างต้น
- กำหนดให้การนิรโทษกรรมสำหรับการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 นั้นไม่สามารถกระทำได้
- กำหนดให้มีตัวแทนของผู้เสียหายจากการทรมานและกระทำให้บุคคลสูญหายในองค์ประกอบของคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทรมานและกระทำให้บุคคลสูญหาย และเพิ่มอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการชุดดังกล่าวให้สามารถเข้าตรวจสอบสถานที่ควบคุมตัวที่อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของรัฐหรือเจ้าหน้าที่รัฐได้
- กำหนดให้มีบทตัดพยานเด็ดขาดไม่รับฟังคำให้การหรือข้อมูลอื่นอันได้มาจากการทรมาน การกระทำ การที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือการกระทำให้บุคคลสูญหาย เพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานในการดำเนินคดี โดยเฉพาะในคดีอาญา
- กำหนดบทบัญญัติที่เกี่ยวกับอายุความในการดำเนินคดีในการกระทำความผิดฐานทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายให้สอดคล้องกับความเห็นทั่วไปฉบับที่ 3 ของคณะกรรมการต่อต้านการทรมานแห่งสหประชาชาติและข้อบทที่ 8 ของอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการสูญหายโดยถูกบังคับ ซึ่งระบุว่า ความผิดฐานกระทำทรมานไม่ควรมีอายุความและ การกำหนดอายุความสำหรับความผิดฐานกระทำให้บุคคลสูญหายต้องยาวนานและเหมาะสมกับความร้ายแรงของความผิดนั้น