เอฟทีเอ ว็อทช์ เเถลงยันไทยฝืนเข้าร่วม CPTPP แบบไร้หนทางเจรจา ผลกระทบตกที่เกษตรกร พันธุ์พืช การเข้าถึงยา ร้องฝ่ายค้านใช้กลไกนิติบัญญัติตรวจสอบ หวั่นเอื้อทุนใหญ่โยนผลเสียให้ประชาชน
สืบเนื่องจากนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) เมื่อวันที่ 13 ก.พ.ที่ผ่านมา เห็นชอบให้เร่งนำผลดี-ผลเสียเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบให้ประเทศไทยยื่นหนังสือแสดงเจตจำนงเข้าร่วมเป็นภาคีความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิค (CPTPP) ภายในเดือน เม.ย. เพื่อเข้าร่วมการประชุมความตกลงฯ เดือน ส.ค. ที่จะถึงนี้
(อ่านประกอบ:เผือกร้อน ‘สมคิด’ เข็นไทยเซ็น ‘CPTPP’ จับตา ‘ยาแพง-ต่างชาติฮุบภูมิปัญญาไทย’)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 20 ก.พ. 2563 กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (เอฟทีเอ ว็อทช์) จัดแถลงข่าว “สิ่งที่สมคิดไม่ได้บอก: ไม่มีสิทธิบัตรยา แต่ยังมีอีกหลายหายนะใน CPTPP" ณ สวนชีววิถี จ.นนทบุรี
น.ส.กรรณิการ์ กิจติเวชกุล รองประธานเอฟทีเอ ว็อทช์ กล่าวว่า หลังจากที่สหรัฐฯ ถอนตัวออกไปจากความตกลงเมื่อปี 2558 ภาคีความตกลงฯ ปัจจุบันเหลือ 11 ประเทศ ซึ่งประเทศไทยมีเอฟทีเอแล้วกับ 9 ประเทศ มีเพียงแคนาดาและเม็กซิโกที่ถือได้ว่าเป็นตลาดใหม่ ผลประโยชน์ที่ไทยจะได้จึงค่อนข้างต่ำ คาดว่าจะทำให้จีดีพีเพิ่มขึ้น 0.12% หรือ 13,323 ล้านบาทเท่านั้น ขณะที่ผลกระทบทางลบที่จะเกิดขึ้นจากการทำงานวิชาการของกระทรวงสาธารณสุข การรวบรวมความห่วงใยจากหน่วยงานต่าง ๆ ของกระทรวงพาณิชย์ และการรวบรวมข้อมูลการศึกษาของกลุ่มศึกษาฯ พบว่าผลกระทบทางลบจากความตกลงนี้ยังมีอีกหลายประเด็น โดยเฉพาะการผูกขาดเมล็ดพันธุ์ การขัดขวางการเข้าถึงยา การทำลายกลไกการคุ้มครองผู้บริโภคต่อสินค้าที่มีความเสี่ยง อาทิ แอลกอฮอล์ เครื่องสำอาง พืชและสัตว์ GMOs การจำกัดนโยบายสาธารณะที่จะดูแลปกป้องคุ้มครองประชาชน และการคุ้มครองนักลงทุนต่างชาติที่มากเกินซึ่งจะนำมาสู่การฟ้องค่าโง่และขวางนโยบายต่างๆได้
ทั้งนี้ เอฟทีเอ ว็อทช์ ได้ประสานงานกับพรรคร่วมฝ่ายค้านเพื่อใช้กลไกรัฐสภาในการตรวจสอบเเล้ว
“นายสมคิดได้แต่พูดให้คลายความกังวล แต่ไม่บอกว่าถ้าเจรจาผ่อนผันยืดหยุ่นไม่ได้จะดำเนินการอย่างไร ทางเอฟทีเอ ว็อทช์จึงได้ประสานงานกับพรรคร่วมฝ่ายค้านเพื่อขอให้ใช้กลไกฝ่ายนิติบัญญัติในการตรวจสอบ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งกระทู้ถาม และให้คณะกรรมาธิการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องหยิบยกประเด็นข้อห่วงใยต่าง ๆ ขึ้นมาพิจารณาอย่างละเอียดเพื่อไม่ให้การตัดสินใจเข้าร่วมครั้งนี้เป็นผลประโยชน์ที่กระจุกตัวแต่กลุ่มทุนขนาดใหญ่เหมือนหลายนโยบายของรัฐบาลที่ผ่านมา แต่ผลกระทบทางลบตกอยู่ที่ประชาชน โดยที่ทางภาคประชาสังคมพร้อมที่จะสนับสนุนข้อมูลการศึกษาต่าง ๆ เพื่อให้การเจรจาการค้าระหว่างประเทศเกิดความเป็นธรรมกับทุกภาคส่วนมากที่สุด” รองประธานเอฟทีเอ ว็อทช์กล่าว
ด้านนายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี กล่าวถึงผลกระทบในด้านทรัพยากรชีวภาพและสินค้าเทคโนโลยีชีวภาพนั้น การเข้าร่วม CPTPP จะทำให้ประเทศไทยต้องเข้าเป็นภาคีในสนธิสัญญาคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ (UPOV1991) ซึ่งเพิ่มอำนาจการผูกขาดสายพันธุ์พืชใหม่เพิ่มขึ้นเป็น 20-25 ปี ห้ามเกษตรกรเก็บพันธุ์พืชไปปลูกต่อ รวมทั้งขยายอำนาจการผูกขาดจากเดิมเฉพาะสายพันธุ์พืชไปยังผลผลิตหรือผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการผูกขาดยาผ่านการผูกขาดสายพันธุ์พืชด้วย
อีกทั้งการเข้าร่วม CPTPP ยังทำให้ต้องเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาบูดาเปสต์ (Budapest Treaty) ว่าด้วยการยอมรับระหว่างประเทศในการฝากเก็บจุลชีพเพื่อการจดสิทธิบัตร และต้องแก้กฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ.2542 ซึ่งจะผลกระทบต่อกลไกการแบ่งปันผลประโยชน์ทั้งในเรื่องทรัพยากรจุลชีพและการคุ้มครองพืชท้องถิ่นในประเทศไทย
“การที่กรมเจรจาฯ พูดว่า เกษตรกรสามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ได้ แม้เข้า UPOV1991 นั้น ถือเป็นการกล่าวความเท็จ ถ้าไม่ใช่เพราะไม่ได้ศึกษาข้อมูลข้อเท็จจริงก็ถือว่าเป็นการบิดเบือน และสร้างความเข้าใจผิดต่อสังคม และขัดแย้งกับผลการศึกษาของนักวิชาการและสถาบันต่างๆ งานศึกษาซึ่งสนับสนุนโดยคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติพบว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นต่อเกษตรกรและทรัพยากรชีวภาพจากการผูกขาดเมล็ดพันธุ์มีมูลค่า 122,717-223,116 ล้านบาท/ปี ไม่นับผลกระทบระยะยาวที่เกี่ยวกับความมั่นคงทางอาหารและความมั่นคงทางยาของประเทศ”
นอกเหนือจากนั้น นายวิฑูรย์ ระบุว่า ความตกลงเรื่องการเปิดตลาดสินค้าในมาตรา 2.27 เรื่องการค้าผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชีวภาพ (Trade of Products of Modern Biotechnology) ยังส่งผลให้มีการเปิดตลาดทางอ้อมให้กับ GMOs และผลิตภัณฑ์ ลดทอนหลักการความปลอดภัยทางชีวภาพภายใต้พิธีสารความปลอดภัยทางชีวภาพ ภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ด้วยเช่นกัน
ขณะที่ น.ส.ทัศนีย์ วีระกันต์ รองผู้อำนวยการมูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืนกล่าวว่า ประเด็นสำคัญที่ CPTPP ทำทารุณกรรมต่อภาคเกษตร คือ การยกเลิกมาตรการในการปกป้องสินค้าเกษตรที่เดิมเคยถูกจัดเป็นสินค้าอ่อนไหวในความตกลงต่างๆ โดยเฉพาะที่มีกับ 9 ประเทศสมาชิกใน CPTPP อาทิ นม และผลิตภัณฑ์, มะพร้าว, ถั่วเหลือง, ข้าวโพด ซึ่งตอนที่กระทรวงพาณิชย์ออกไปรับฟังความคิดเห็นไม่เคยแจ้งประเด็นนี้ต่อประชาชนเลย ประเด็นนี้ถือเป็นการทำลายเกษตรกรรายย่อยครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง รวมทั้งยังเป็นการทำลายความมั่นคงทางอาหารของประเทศที่จะไม่สามารถกู้คืนมาได้
นายเฉลิมศักดิ์ กิตติตระกูล เจ้าหน้าที่รณรงค์การเข้าถึงยา มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ กล่าวถึงประเด็นเรื่องทรัพย์สินทางปัญญากับยาที่นายสมคิดและกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์อ้างว่าไม่มีปัญหาเรื่องสิทธิบัตรยาแล้วนั้น อาจใช้ข้อมูลเพียงด้านบวกด้านเดียวและให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน
“แม้ว่าข้อบท 20 ข้อ จะถูกแขวนไว้ไม่เจรจาต่อเมื่อสหรัฐฯถอนตัวออกไป ซึ่งในนั้นมีข้อบทที่เกียวกับทรัพย์สินทางปัญญาที่เป็นปัญหาอยู่ แต่จากเนื้อหาความตกลง CPTPP ที่ปรากฏอยู่บนเว็บไซด์ทางการ พบว่า ยังมีข้อบทที่เกี่ยวและไม่เกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาแต่จะส่งผลกระทบทางลบต่อการเข้าถึงยาอย่างแน่นอน มาตรา 18.6, 18.53, 18.76 และ 18.77 ซึ่งล้วนก่อให้เกิดอุปสรรคในการเข้าถึงยา เช่น การไม่อนุญาตให้ประกาศใช้ CL ภายใต้เงื่อนไขการใช้โดยรัฐและไม่แสวงหากำไรอย่างที่ประเทศไทยเคยได้ประกาศใช้มาแล้ว, การที่ อย.ต้องแจ้งเตือนให้บริษัทยาต้นแบบรู้ล่วงหน้าเวลามีบริษัทอื่นมาขอขึ้นทะเบียนและทำให้มีเวลาไปจำกัดคู่แข่ง, การอนุญาตให้มีการยึดจับยาชื่อสามัญที่ต้องสงสัยว่า จะละเมิดเครื่องหมายการค้าหรือลิขสิทธิ์ที่อยู่ระหว่างการขนส่งถึงแม้จะไม่ผิดกฎหมายประเทศปลายทาง รวมถึงการขยายเอาผิดและลงโทษบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ผู้ผลิตในการละเมิดเครื่องหมายการค้าและลิขสิทธิ์ โดยในที่นี้ลิขสิทธิ์อาจหมายรวมถึงฉลากหรือเอกสารประกอบที่มีรายละเอียดและวิธีการใช้ ส่วนบุคคลอื่นหมายรวมถึงสถานที่จำหน่าย ซึ่งโรงพยาบาล สถานพยาบาลจะถูกรวมในความหมายนี้ด้วย ทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนเป็นข้อบทที่ผูกมัดประเทศเกินกว่าความตกลงที่เกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาขององค์การการค้าโลกที่ประเทศไทยเป็นสมาชิกอยู่ และยังตัดสิทธิพิเศษขององค์การเภสัชกรรม และการให้แต้มต่อกับอุตสาหกรรมในประเทศที่ผลิตยาหรือเครื่องมือแพทย์ที่มีนวัตกรรม จุดมุ่งหมายก็เพื่อส่งเสริมให้เกิดการผูกขาดและขจัดการแข่งขัน-การเข้าสู้ตลาดของยาชื่อสามัญ โดยขาดจิตสำนึกในเรื่องสิทธิมนุษยชนในเรื่องสุขภาพและการเข้าถึงยา แน่นอนว่าจะส่งกระทบทางลบต่อระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทย ถ้าต้องเข้า CPTPP”
สุดท้าย นายคำรณ ชูเดชา ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า กล่าวว่า การตัดสินใจของรัฐบาลต่อการเข้าร่วมเป็นสมาชิกCPTPP เครือข่ายฯ มีความกังวลในประเด็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นสินค้าอ่อนไหวและเป็นสินค้าควบคุมตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 เพื่อลดผลกระทบด้านสุขภาพสังคมต่อประชาชนและสังคมไทย
“การนำสุราเข้าเจรจามิใช่แค่การลดเพดานลงเหลือ 0% แต่เนื้อหาของ CPTPP ยังเลวร้ายเป็นเสมือนตราสังข์มัดตรึงรัฐบาล ประชาชนไทยในการจำกัดการออกมาตรการการควบคุม และลดผลกระทบจากเรื่องดื่มแอกอฮอล์ ทั้งการออกมาตรการใหม่ ๆ ที่จะยากหรือออกไม่ได้ หรือการลิดรอนมาตรการเดิมที่มีอยู่แล้วให้ถดถอยขาดประสิทธิภาพลง เช่นเดียวกับมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคอื่น ๆ เช่น มาตรการคุ้มครองโฆษณาบนฉลากและข้อความคำเตือนด้านสุขภาพที่เคยมีอาจใช่ไม่ได้ การออกอนุบัญญัติข้อความรูปภาพคำเตือนบนฉลากในอนาคตที่อาจไม่สามารถทำได้หรือการที่ CPTPP มอง มาตรฐานCodex เป็นมาตรฐานทางอาหาร แต่สุราทุกชนิดไม่ใช่อาหารธรรมดาทั่วไป ตลอดจนเรากังวัลเรื่องการคุ้มครองการลงทุนที่ก้าวล่วงไปถึงการคุ้มครองตั้งแต่ขั้นก่อนประกอบกิจการ หรือการระงับข้อพิพาทที่จะเป็นข้อเสียเปรียบในอนาคตของรัฐ”
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/