
"...หากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นการเรียกรับประโยชน์ของพรรคประชาชน เพื่อให้มีการแต่งตั้งนายอนุทินให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นนายกรัฐมนตรี บุคคลผู้กระทำคือกรรมการบริหารพรรคประชาชน อาจได้รับโทษสถานหนักคือจำคุก 10-20 ปี และถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง (ตลอดชีวิต) ตามมาตรา 116 และอาจเป็นผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ข้อ 5 ข้อ 7 ข้อ 8 และข้อ 9 ซึ่งกรรมการบริหารพรรคการเมืองต้องมีมาตรฐานทางจริยธรรมที่เทียบเคียงได้กับ สส...."
หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยในเรื่องกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นที่รับทราบกันโดยทั่วไปแล้ว พรรคประชาชนหรือพรรคส้มได้ออกมาแถลงข่าวในทันที เพื่อให้รัฐบาลที่มีพรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำ เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15 เข้าสู่รัฐสภาโดยเร็ว โดยกำหนดว่าควรต้องมีเนื้อหาที่เป็นการเสนอให้มี สสร.ที่มาจากการเลือกตั้งตามที่ตกลงกันไว้ในบันทึกข้อตกลง หรือ MOA
โดยนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ได้กล่าวกับสื่อมวลชนว่า “โดยสำนึกของวิญญูชน เราสามารถเห็นได้ว่าพรรคภูมิใจไทยมีความจริงใจมากน้อยแค่ไหน ในการเดินหน้าตามเจตนารมณ์ของข้อตกลง เพราะหากมีการบิดพลิ้ว เราก็พร้อมใช้ 143 เสียงล้มรัฐบาลได้ทันที และกำกับทิศทางรัฐบาลให้เป็นไปตามข้อตกลงมากที่สุด”
การที่นายณัฐพงษ์กล่าวเช่นนี้ มาจากการที่พรรคประชาชนได้รับแบ่งปันอำนาจบริหารส่วนหนึ่งมาจากรัฐบาล ตามบันทึกข้อตกลง หรือ MOA ระหว่างนายณัฐพงษ์ กับนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่ทำให้ สส.ของพรรคประชาชนจำนวน 143 คน โหวตเลือกนายอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี โดยพรรคประชาชนได้รับแบ่งปันอำนาจส่วนหนึ่งในลักษณะเป็นอำนาจแฝงมาจากรัฐบาล ใน 2 เรื่องสำคัญคือ การกำหนดให้รัฐบาลต้องกราบบังคมทูลร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาต่อพระมหากษัตริย์ภายในระยะเวลาที่พรรคประชาชนกำหนด และการกำหนดให้รัฐบาลต้องดำเนินการจัดให้มีการออกเสียงประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญโดย สสร.ภายในระยะเวลาที่พรรคประชาชนกำหนด
การกระทำเช่นนี้นักวิชาการและคนไทยส่วนหนึ่งเห็นว่าน่าจะไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
บางคนเห็นว่าถึงขั้นอาจทำให้นายณัฐพงษ์ ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ถูกกล่าวหาว่าจงใจปฏิบัติหน้าที่ผู้นำฝ่ายค้านขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และยังอาจเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงที่ใช้บังคับกับ สส. ในข้อที่ระบุว่าต้องยึดมั่นและธำรงไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยฯ ตามรัฐธรรมนูญ รวมทั้ง 143 สส.ของพรรคประชาชนที่โหวตเลือกนายอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี อาจถูกหางเลขว่าเป็นการลงคะแนนเสียงที่มีเจตนาพิเศษเพื่อให้พรรคประชาชนได้รับการแบ่งปันอำนาจบริหารบางส่วนมาจากรัฐบาล
จึงเป็นที่มาของการที่พรรคประชาชน ได้เริ่มต้นเข้าสู่โหมดการกระชับอำนาจในช่วงเวลานี้ ในลักษณะเสมือนการออกคำสั่งให้รัฐบาลใหม่ต้องเร่งเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่สภาภายในสัปดาห์ถัดไปทันทีหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย หากไม่เช่นนั้นพรรคประชาชนพร้อมจะใช้มาตรการบังคับด้วยการใช้มือของ 143 สส.ล้มรัฐบาล
ทำให้อาจมีผู้ยื่นเรื่องกล่าวหานายณัฐพงษ์ และ 143 สส. ต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.เพื่อไต่สวนและเสนอเรื่องต่อศาลฎีกา หรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของนักการเมือง เพื่อเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งและต้องรับผิดทางอาญา โดยอาจกล่าวหาว่า นายณัฐพงษ์ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะที่ได้แสดงเจตนาว่าจะยังคงเป็นผู้นำฝ่ายค้านอยู่ต่อไป และ 143 สส.ของพรรคประชาชน ที่โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีโดยมีเจตนาพิเศษเพื่อให้พรรคฝ่ายค้านที่ตนสังกัดได้อำนาจแฝงในการบริหารราชการแผ่นดินบางส่วน โดยจงใจปฏิบัติหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ซึ่งขณะนี้ได้แสดงให้เห็นถึงการกระทำที่ชัดเจนมากขึ้นขึ้นเรื่อย ๆ ดังนี้
1. นายณัฐพงษ์ หัวหน้าพรรคประชาชน ในขณะที่มีตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ โดยประกาศว่าจะยังคงทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านอยู่ต่อไปในรัฐบาลใหม่ แต่จะให้ สส.143 คนที่มีอยู่ โหวตเลือกแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคการเมืองที่ยินยอมทำตามข้อตกลงกับพรรคประชาชน เพื่อนำเอานโยบายของพรรคประชาชน 2 เรื่อง ไปดำเนินการ ซึ่งต่อมาได้มีการทำบันทึกข้อตกลง หรือ MOA กับหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ทำให้หลังจากพรรคภูมิใจไทย จัดตั้งรัฐบาลใหม่แล้ว พรรคประชาชนได้มาซึ่งอำนาจบริหารในบางเรื่องที่เป็นอำนาจแฝง การกระทำของนายณัฐพงษ์อาจขัดต่อหน้าที่ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ มาตรา 106 และจากการเข้าไปร่วมใช้อำนาจบริหาร ที่ควรจะต้องพ้นจากตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ มาตรา 118 (3) แต่ยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่ต่อไป ทำให้ขัดต่อหลักการถ่วงดุลอำนาจระหว่างผู้นำฝ่ายค้านกับรัฐบาล จึงอาจเป็นการจงใจปฏิบัติหน้าที่ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร โดยขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ และอาจฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ข้อ 5 ต้องยึดมั่นและธำรงไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตย ข้อ 8 ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และข้อ 9 ต้องไม่รับหรือยอมจะรับประโยชน์อื่นใด ที่กระทบกระเทือนต่อการปฏิบัติหน้าที่
รัฐธรรมนูญ มาตรา 106 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้.....สส.ผู้เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรที่มีจำนวนสมาชิกมากที่สุด และสมาชิกมิได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือรองประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร วรรคสี่ บัญญัติให้ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรย่อมพ้นจากตำแหน่งเมื่อขาดคุณสมบัติตามวรรคหนึ่ง หรือเมื่อมีเหตุตามมาตรา 118 (1) ขาดสมาชิกภาพ (2) ลาออก (3) ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี หรือข้าราชการการเมืองอื่น (4) ต้องคำพิพากษาให้จำคุก.....ย่อมเห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญ มาตรา 106 มีเจตนารมณ์ให้ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรทำหน้าที่ในการตรวจสอบหรือเสนอแนะรัฐบาลเท่านั้น โดยไม่มีเจตนารมณ์ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการดำเนินกิจการของรัฐบาล หรือร่วมตัดสินใจในการใช้อำนาจบริหาร หรือมีลักษณะเป็นการร่วมบริหารราชการแผ่นดินกับรัฐบาลในบางเรื่อง และยิ่งไปกว่านั้นรัฐธรรมนูญมาตราดังกล่าวย่อมไม่มีเจตนารมณ์ให้ผู้นำฝ่ายค้านเข้าไปควบคุมหรือกำหนดทิศทางการทำงานของรัฐบาล ด้วยการใช้มาตรการหรือสร้างหลักประกันเพื่อควบคุมหรือบงการนายกรัฐมนตรี ให้ต้องกราบบังคมทูลเสนอร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาต่อพระมหากษัตริย์ภายในระยะเวลาที่ได้กำหนดไว้เป็นจำนวนเดือนอย่างชัดเจน และกำหนดให้รัฐบาลต้องดำเนินการจัดให้มีการออกเสียงประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญภายในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งทำให้อำนาจอธิปไตยด้านบริหารของรัฐบาลในเรื่องสำคัญอย่างน้อย 2 เรื่อง ต้องสูญสิ้นไป การบริหารราชการแผ่นดินบางเรื่องต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจควบคุมของฝ่ายค้าน การกระทำของผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรเช่นนี้ ไม่ได้เป็นการเสนอแนะหรือการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลตามปกติ จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ซึ่งปรากฏพยานหลักฐานเป็นเอกสารที่ชัดเจนคือ บันทึกข้อตกลงหรือ MOA

@ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ
2. นายณัฐพงษ์ หัวหน้าพรรค รวมทั้งกรรมการบริหารพรรคประชาชน กระทำการควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำพรรคภูมิใจไทยให้ขาดความอิสระ โดยอาศัยโอกาสที่พรรคประชาชนมีจำนวน สส.มากที่สุดในสภา ซึ่งพรรคการเมืองอื่นต้องพึงพิงคะแนนเสียงของพรรคตนในการจัดตั้งรัฐบาล ได้กำหนดเงื่อนไขในบันทึกข้อตกลง หรือ MOA ทำให้พรรคภูมิใจไทยขาดความอิสระจำต้องยอมรับต่อเงื่อนไขทั้งที่ไม่ใช่นโยบายของพรรคภูมิใจไทย เพื่อที่จะมีคะแนนเสียงเพียงพอให้หัวหน้าพรรคได้รับการโหวตเป็นนายกรัฐมนตรี
บันทึกข้อตกลง หรือ MOA ที่มีการลงนามทั้ง 2 ฝ่าย แต่เป็นข้อความที่พรรคประชาชนเป็นผู้ริเริ่มและจัดทำขึ้นแต่เพียงฝ่ายเดียว โดยหัวหน้าพรรคประชาชนลงนามก่อนในสถานที่แห่งหนึ่ง และนำไปให้หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยลงนามในเวลาต่อมาในสถานอีกแห่งหนึ่ง โดยไม่ได้ลงนามพร้อมกันในสถานที่เดียวกัน โดยแต่ละฝ่ายได้ลงนามต่อหน้าสื่อมวลชนเพื่อใช้เป็นสักขีพยาน และมีการถ่ายทอดสดผ่านสื่อต่าง ๆไปยังประชาชนทั่วทั้งประเทศ เป็นข้อตกลงที่มีความชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร อันแสดงถึงอำนาจควบคุมของพรรคประชาชนที่มีต่อพรรคภูมิใจไทย ทำให้พรรคภูมิใจไทยขาดความอิสระในการดำเนินนโยบายของพรรคตน ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อพรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว ย่อมต้องการที่จะให้รัฐบาลอยู่บริหารประเทศต่อไปจนสิ้นสุดอายุของสภาผู้แทนราษฎร ที่เหลืออยู่อีกประมาณ 1 ปี 8 เดือน มิใช่ต้องการให้รัฐบาลอยู่ได้เพียง 4 เดือนแล้วยุบสภา ซึ่งทำให้พรรคภูมิใจไม่อาจนำนโยบายของพรรคไปสู่การดำเนินนโยบายได้อย่างเต็มที่และมีความต่อเนื่อง ทั้งที่มีโอกาสได้เข้าไปมีอำนาจบริหารราชการแผ่นดินแล้ว
อีกทั้ง การแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งพรรคภูมิใจไทยเคยไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจน ก็จะต้องถูกควบคุมโดยขาดความอิสระให้รัฐบาลที่มีพรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำ ต้องดำเนินการเพื่อให้มีการออกเสียงประชามติเพื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ อันเนื่องมาจากมาตรการบังคับต่าง ๆ ที่กำหนดอยู่ในบันทึกข้อตกลง หรือ MOA โดยเฉพาะในข้อ 4 ที่ระบุว่า เพื่อสร้างหลักประกันว่านายกรัฐมนตรีคนใหม่ จะยุบสภาผู้แทนราษฎรภายใน 4 เดือนจริง พรรคภูมิใจไทยต้องไม่ดำเนินการโดยวิธีการใด ๆ เพื่อทำให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก แสดงให้เห็นว่าพรรคภูมิใจไทยขาดความอิสระอย่างสิ้นเชิงในการที่จะทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพ เพื่อที่จะสามารถบริหารราชการแผ่นดินได้โดยไม่ติดขัด ทั้งที่รัฐบาลที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยอาจจะเพิ่มเติมเสียงสนับสนุนให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมากได้ แต่ขาดความอิสระที่จะกระทำได้
เพราะการควบคุมของพรรคประชาชน การกระทำของนายณัฐวุฒิ และกรรมการบริหารพรรคประชาชน เป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตาม พรป.พรรคการเมือง มาตรา 29 โดยอาจได้รับโทษทางอาญา จำคุก 5-10 ปี และถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง (ตลอดชีวิต) ตามมาตรา 108 รวมทั้งเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ข้อ 5 และข้อ 8
3. พรรคประชาชนโดยกรรมการบริหารพรรค กระทำการเรียกหรือยอมจะรับประโยชน์อื่นใดจากหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยที่จะได้รับการโหวตเป็นนายกรัฐมนตรี คือการเรียกเอาอำนาจแฝงบางเรื่อง เพื่อแลกเปลี่ยนกับการรับว่าจะให้ประโยชน์อื่นใดแก่พรรคภูมิใจไทย ด้วยการมีมติพรรคให้ 143 สส.ของพรรคประชาชนลงคะแนนเสียงให้หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ขณะที่หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยได้ตกลงยอมจะรับประโยชน์อื่นใด คือคะแนนเสียงของ สส.พรรคประชาชน 143 เสียง โดยยอมจะให้ประโยชน์อื่นใดที่เป็นอำนาจแฝงบางเรื่องแก่พรรคประชาชนเป็นการตอบแทน เป็นการกระทำฝ่าฝืนข้อห้ามตาม พรป.พรรคการเมือง มาตรา 46
นายณัฐพงษ์ หัวหน้าพรรคประชาชน โดยได้รับความเห็นชอบจากกรรมการบริหารพรรค ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลง หรือ MOA ร่วมกับนายอนุทิน ผู้ที่กำลังรวบรวมเสียงให้เพียงพอต่อการได้รับการโหวตให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีลักษณะเป็นกรณีที่พรรคประชาชนเรียกและยอมจะรับประโยชน์อื่นใด คือการได้รับอำนาจแฝงที่จะบังคับให้รัฐบาลนำเอานโยบายของพรรคประชาชนไปดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว แล้วให้ยุบสภาเสียภายในเวลา 4 เดือน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อพรรคประชาชนให้ได้รับคะแนนนิยมจากประชาชนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งในการเลือกตั้ง สส.ครั้งต่อไปภายหลังยุบสภา เป็นข้อห้ามไม่ให้พรรคการเมือง หรือสมาชิก หรือผู้ใดกระทำ ตาม พรป.พรรคการเมือง มาตรา 46
หากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นการเรียกรับประโยชน์ของพรรคประชาชน เพื่อให้มีการแต่งตั้งนายอนุทินให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นนายกรัฐมนตรี บุคคลผู้กระทำคือกรรมการบริหารพรรคประชาชน อาจได้รับโทษสถานหนักคือจำคุก 10-20 ปี และถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง (ตลอดชีวิต) ตามมาตรา 116 และอาจเป็นผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ข้อ 5 ข้อ 7 ข้อ 8 และข้อ 9 ซึ่งกรรมการบริหารพรรคการเมืองต้องมีมาตรฐานทางจริยธรรมที่เทียบเคียงได้กับ สส.
4. สส.ของพรรคประชาชน 143 คน ที่มีหน้าที่พิจารณาเลือกนายกรัฐมนตรี ร่วมกันเรียกหรือยอมจะรับประโยชน์อื่นใด จากรัฐบาลที่มีนายอนุทิน หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยเป็นนายกรัฐมนตรี คือการได้มาซึ่งอำนาจบริหารที่เป็นอำนาจแฝงในบางเรื่องจากรัฐบาล ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อพรรคประชาชนที่ตนเป็นสมาชิก โดยแลกเปลี่ยนด้วยการใช้สิทธิและหน้าที่ของตนลงคะแนนเสียงเพื่อให้นายอนุทินได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีเจตนาพิเศษเพื่อให้พรรคประชาชนได้รับประโยชน์โดยมิชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เป็นการกระทำฝ่าฝืนข้อห้ามมิให้สมาชิกพรรคการเมืองเรียกหรือยอมจะรับประโยชน์อื่นใดจากผู้ใด เพื่อให้บุคคลใดได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตาม พรป.พรรคการเมือง มาตรา 46
เป็นการกระทำของสมาชิกพรรคการเมืองที่เป็น สส. 143 คน ด้วยการรับประโยชน์อื่นใด จากการที่ตนได้ลงคะแนนให้นายอนุทินได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งฝ่าฝืนพรป.พรรคการเมือง มาตรา 46 อาจได้รับโทษสถานหนักคือจำคุก 10-20 ปี และถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง (ตลอดชีวิต) ตามมาตรา 116 และอาจเป็นผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ข้อ 5 ข้อ 7 ข้อ 8 และข้อ 9

หากยอมรับให้พรรคการเมืองที่จะเป็นรัฐบาลและพรรคการเมืองที่จะเป็นฝ่ายค้าน ทำข้อตกลงกันเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อที่จะแบ่งปันอำนาจกัน ต่อไปอาจเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่หลวงต่อระบอบประชาธิปไตยและการบริหารราชการแผ่นดิน เช่น หากพรรคการเมืองใด หรือผู้ใด ต้องการออกกฎหมายเพื่อเป็นประโยชน์แก่ตน ก็ประกาศข้อเสนอต่อสาธารณะว่าจะให้การสนับสนุนแก่พรรคการเมืองที่มีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ด้วยการบริจาคเงินแก่พรรคการเมืองจำนวนนับร้อยหรือนับพันล้านบาท หากพรรคการเมืองนั้นเมื่อได้เป็นรัฐบาลแล้ว ยินยอมที่จะผลักดันให้มีการออกกฎหมายบางเรื่องที่ตนได้ประโยชน์แต่เป็นภัยคุกคามต่อประชาชน โดยมีการจัดทำบันทึกข้อตกลง หรือ MOA ที่มีมาตรการบังคับไม่ให้ฝ่ายที่จะเป็นรัฐบาลบิดพลิ้ว และจะต้องแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเพื่อเป็นสักขีพยาน หลังจากฝ่ายที่รับข้อเสนอได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีและจัดตั้งรัฐบาลได้แล้ว ก็จะผลักดันกฎหมายดังกล่าว อันอาจเป็นภัยคุกคามต่อประเทศชาติและประชาชน
กระบวนการกระชับอำนาจของพรรคประชาชน จะสามารถทำได้อีกต่อไปหรือไม่ และจะมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นอีกเพียงใด หรือว่าจะมีใครยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.เพื่อหยุดยั้งดีลปีศาจนี้ หรือไม่ ?? จึงต้องติดตามดูกันต่อไป
