
"...ใช่ว่า ‘ตระกูลชินวัตร’ จะใจชื้นได้มากนัก เพราะยังเหลืออีก 2 คดีจ่อรออยู่ นั่นคือ 1.คดีคลิปเสียงสนทนาระหว่าง ‘แพทองธาร ชินวัตร’ นายกฯคนที่ 31 บุตรสาว กับ ‘ฮุน เซน’ ประธานวุฒิสภากัมพูชา ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่ ในวันที่ 29 ส.ค.นี้ 2.คดีบังคับโทษจำคุก ‘ทักษิณ’ กรณีถูกส่งไปพักรักษาตัวชั้น 14 รพ.ตำรวจ ในวันที่ 9 ก.ย. 2568..."
ในที่สุด 1 ใน 3 คดีความของ 2 พ่อ-ลูก ‘ชินวัตร’ ก็ถึงจุดสิ้นสุดแล้ว 1 คดี
นั่นคือ ‘คดีมาตรา 112-พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ’ ที่กล่าวหา ‘ทักษิณ ชินวัตร’ อดีตนายกรัฐมนตรี โดย เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา ศาลอาญา อ่านคำพิพากษา ‘ยกฟ้อง’ คดีดังกล่าว
ศาลยกเหตุผลสรุปได้ว่า คลิปวีดีโอที่ ‘ทักษิณ’ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่เกาหลีใต้ ในประโยคการพูดถึง ‘Circle Palace’ ที่ถูกนำมาใช้เป็นพยานหลักฐานสำคัญในคดีนี้นั้น แม้จะพิสูจน์ได้ว่าเป็น ‘คลิปจริง’ แต่เห็นว่า ข้อความที่จะถือว่าเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทนั้น จะต้องได้ความว่าการใส่ความนั้นระบุถึงตัวบุคคลผู้ถูกใส่ความ หรือเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงที่รู้ได้แน่นอนว่าบุคคลที่ถูกใส่ความเป็นใคร หรือหากไม่ระบุถึงผู้ที่ถูกใส่ความโดยตรงการใส่ความนั้นก็ต้องได้ความว่าหมายถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ
โดย ‘ทักษิณ’ มิได้เอ่ยถึงพระมหากษัตริย์โดยตรง แต่ใช้สรรพนามบุคคลที่ 3 ว่า “เขา” เรียกแทนบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือบุคคลอื่นหลายคนรวมกัน และยังมีคำว่า “องคมนตรี” “ทหาร” “Palace Circle” และ “คนในวัง” ล้วนแต่อยู่ในประโยคคำให้สัมภาษณ์ นอกจากนี้บุคคลที่นำมาเผยแพร่ซึ่งฟังคลิปมาแต่แรก ล้วนเข้าใจตรงกันว่าเป็นการให้สัมภาษณ์พาดพิง ‘สุเทพ-นายทหารชั้นผู้ใหญ่-องคมนตรี’ มิได้พาดพิงหรือสื่อความหมายอ้างถึงพระมหากษัตริย์ ทรงอยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องแต่มิได้นำพยานหลักฐานใด ๆ มานำสืบเกี่ยวกับข้อหานี้เลย
จึงรับฟังไม่ได้ว่า ‘ทักษิณ’ ผิดจริง พิพากษายกฟ้อง

สำหรับคดีดังกล่าวที่น่าสนใจ ในช่วงสืบพยานฝ่ายจำเลยเมื่อ 16 ก.ค.ที่ผ่านมา ‘ทักษิณ’ ได้เข้าเบิกความด้วยตัวเอง พร้อมเปิดตัว 2 พยานปากสำคัญนั่นคือ ‘วิษณุ เครืองาม’ เนติบริกรระดับครุฑ อดีตรองนายกฯ พร้อมด้วย ‘ธงทอง จันทรางศุ’ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งทั้ง 2 คนคือ ‘ผู้ช่ำชองด้านกฎหมาย’ ทำให้แนวโน้มขณะนั้นคาดกันว่า ‘ทักษิณ’ อาจพ้นบ่วงคดีนี้ได้ กระทั่งศาลยกฟ้องเมื่อ 22 ส.ค.ที่ผ่านมา
แต่ใช่ว่า ‘ตระกูลชินวัตร’ จะใจชื้นได้มากนัก เพราะยังเหลืออีก 2 คดีจ่อรออยู่ นั่นคือ 1.คดีคลิปเสียงสนทนาระหว่าง ‘แพทองธาร ชินวัตร’ นายกฯคนที่ 31 บุตรสาว กับ ‘ฮุน เซน’ ประธานวุฒิสภากัมพูชา ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่ ในวันที่ 29 ส.ค.นี้ 2.คดีบังคับโทษจำคุก ‘ทักษิณ’ กรณีถูกส่งไปพักรักษาตัวชั้น 14 รพ.ตำรวจ ในวันที่ 9 ก.ย. 2568

การพ้นบ่วงอย่างน้อย 1 คดีแรก อาจ ยังคงไม่อาจสร้างความมั่นใจให้กับ ‘พรรคร่วมรัฐบาล’ เพิ่มขึ้นได้มากนัก
1.เสถียรภาพของพรรคร่วมรัฐบาล ภายหลังผ่านพ้นร่างกฎหมายสำคัญคือ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 2569 ด้วยคะแนน 257 ต่อ 230 งดออกเสียง 1 เสียง ไม่ลงคะแนนเสียง ไม่มี โดยในจำนวนนั้นมี ‘งูเห่า’ หน้าเดิม ๆ 8 คน ได้แก่ พรรคประชาชน 1 คน พรรคภูมิใจไทย 1 คน พรรคพลังประชารัฐ 3 คน พรรคไทยสร้างไทย 3 คน และคะแนนเสียงก็ยัง ‘ปริ่มน้ำ’ เช่นเดิม เห็นได้จากหลายเหตุการณ์ล่าสุดในสภาฯ ที่รองประธานสภาฯ ‘ก๊กแดง’ อ้างเหตุปิดประชุมสภาฯ ‘แบบฉับพลัน’ เพราะกังวล ‘ฝ่ายค้าน’ โหวตนับองค์ประชุม จะทำให้ ‘สภาฯล่ม’ เสียภาพลักษณ์ฝ่ายรัฐบาล
แม้ ‘สทร.’ ล่ม ‘ปฏิญญาช็อคมินต์’ ร่าง ‘ปฏิญญาใหม่’ หลังอัปเปหิ ‘ก๊กน้ำเงิน’ ออกจากสมการพรรคร่วมรัฐบาลไปเมื่อ 2 เดือนก่อน ‘ร่ายมนต์’ ล่มหัวจมท้ายจับมือกันไปกับพรรคร่วมรัฐบาลที่เหลืออยู่ให้สุดทาง รวมถึงในการเลือกตั้งครั้งหน้าด้วยก็ตาม
ส่วนเรื่อง ‘เสียงปริ่มน้ำ’ นั้น ‘สทร.’ เคยร้องเพลงผ่านการให้สัมภาษณ์สื่อใหญ่ว่า “หนูเปล่านะ เขามาเอง” แต่ผลโหวตจากร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 2569 ซึ่งถือเป็นร่างกฎหมายสำคัญของรัฐบาล ก็สะท้อนให้เห็นว่า เสียงยังคงไม่เกิน 260 เสียง ที่จะทำให้อยู่ในสถานะรอดปลอดภัย บรรดา ‘สส.นกแล-งูเห่า’ ยังพร้อมเปลี่ยนเสื้อ-ย้ายค่ายกันแทบตลอดเวลา
บรรดา สส.หลายคน ประเมินกันแล้วว่า รัฐบาลชุดนี้น่าจะมีเวลาอีกไม่กี่เดือนเท่านั้น เมื่อผ่านร่างกฎหมายงบประมาณเรียบร้อยแล้ว ก็ถือเป็น ‘ฤดูกาลโยกย้าย’ เช่น สส.กำแพงเพชร ในซุ้ม ‘วราเทพ’ อาจโบกมือลา ‘บ้านป่าฯ’ ย้ายกลับสังฆกรรมกับ ‘ค่ายสีแดง’ ในนาม ‘กล้าธรรม’ ก็เป็นไปได้ รวมไปถึงบรรดา สส.ก๊กน้ำเงิน บางคน ที่เริ่มระส่ำ หลังพรรคพ้นจากสถานะพรรคร่วมรัฐบาล อาจทำให้การขับเคลื่อนงานในพื้นที่ ไม่ตอบโจทย์เท่าที่ควร และเริ่มลังเลในการปักหลักอยู่บ้านเดิม
มองเผิน ๆ อาจเหมือนจะมาเติมเสียงให้รัฐบาล แต่ตามข้อเท็จจริงแล้ว สส.หลายคน คงรอให้มีการยุบสภาฯ นำไปสู่การเลือกตั้งมากกว่า นั่นจึงทำให้การเพิ่มเสียงกับฝ่ายรัฐบาลนั้น อาจมีอยู่ แต่คงไม่ได้ท่วมท้นมากนัก และคงประคับประคองแบบต้องลุ้นหืดขึ้นคอกันแทบทุกแมตช์ โดยเฉพาะในศึกซักฟอกที่น่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปี 2568 หรือต้นปี 2569
2.คดีตามมาตรา 112 เป็นคดีที่หลายคนประเมินกันแล้วว่ามีแนวโน้ม ‘รอด’ ค่อนข้างสูง เพราะพยานหลักฐานไม่ค่อยชัดเจนมากนัก แถมการเบิกตัวพยาน 2 ปากเอกอย่าง ‘วิษณุ เครืองาม-ธงทอง จันทรางศุ’ 2 ซือแป๋ด้านกฎหมายเมืองไทย ย่อมสร้างมั่นใจให้ ‘สทร.’ ได้มาก
แต่อีก 2 คดีนั่นคือ ‘คดีคลิปเสียง’ ที่สร้างความปั่นป่วนให้เกิดขึ้นในสังคมไทยอย่างชัดแจ้ง รวมถึง ‘คดีชั้น 14’ ที่ถูกมองถึงความยุติธรรมแบบ 2 มาตรฐาน อาจส่งผล ‘เชิงลบ’ แก่พ่อลูก ‘ชินวัตร’ มากกว่า เริ่มจาก ‘คดีคลิปเสียง’ ที่แม้ศาลรัฐธรรมนูญ จะสั่งห้ามมิให้แพร่งพรายข้อมูลในการไต่สวนเมื่อ 21 ส.ค.ที่ผ่านมาก็ตาม
แต่มี ‘ผู้สังเกตการณ์’ บางคน เปิดเผยบรรยากาศภายในศาลขณะไต่สวนว่า ‘นายกฯแพทองธาร’ เคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด ตอบประเด็นข้อกฎหมายผิดพลาด บางจังหวะมี ‘สะอึกสะอื้น’ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญ จะนัดฟังคำวินิจฉัยในวันที่ 29 ส.ค.นี้ เวลา 15.00 น.
ส่วนคดีชั้น 14 นั้น ลุกลามบานปลายไปหลายหน่วยงาน ปัจจุบันยังมีคดีอยู่ระหว่างการไต่สวนในชั้นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยตั้ง ‘องค์คณะไต่สวน’ มีนายเอกวิทย์ วัชชวัลคุ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นกรรมการผู้รับผิดชอบสำนวน สอบ 12 เจ้าหน้าที่รัฐ ที่อาจเกี่ยวข้องกับการส่งตัว ‘ทักษิณ’ ไปพักรักษาตัวชั้น 14 รพ.ตำรวจ โดยผู้ถูกกล่าวหามีตั้งแต่ระดับ ‘อธิบดีกรมราชทัณฑ์-แพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ’ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องลดหลั่นกันไป
ขณะเดียวกันในการไต่สวนของศาลฎีกา คดีบังคับโทษจำคุกทักษิณนั้น ในการไต่สวนแต่ละครั้ง ดูเหมือนพยานจะเบิกความไม่ตรงกันหลายคน รวมถึงการส่งตัวเขาไป รพ.ตำรวจ โดยตรง ไม่ผ่าน รพ.ราชทัณฑ์ ก่อน นอกจากนี้ยังมีการซักถามถึงอาการป่วยของทักษิณอย่างละเอียด เป็นต้น
แม้ว่าในการเบิกความปากสุดท้าย ‘วิษณุ’ เจ้าเดิมจะมาเป็นพยาน อธิบายถึงสาเหตุที่ต้องส่ง ‘ทักษิณ’ ไปรักษาตัว รพ.ตำรวจ 3 ประการคือ 1.ทักษิณเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี 2.ทักษิณอาจถูกประทุษร้าย 3.ต้องดูแลอาการป่วยของทักษิณ ก็ตาม แต่ก็ต้องรอดูดุลพินิจของศาลว่าจะมีบทสรุปออกมาเป็นแบบใด

@ ทักษิณ ชินวัตร
ด้วย 2 เหตุผลข้างต้น ทำให้เริ่มเกิดกระแสซุบซิบกันว่า ‘ก๊กน้ำเงิน’ พร้อม ‘รีเทิร์น’ กลับมาปรองดองกับ ‘ก๊กแดง’ อีกครั้ง เพื่อเพิ่มเสถียรภาพในรัฐบาล แต่มีเงื่อนไขเพิ่มเติม ต้องรอดูคดีความของ 2 พ่อลูก ‘ชินวัตร’ ให้สิ้นสุดก่อน อย่างไรก็ดี ‘บิ๊กเนมสีน้ำเงิน’ ต่างยืนกรานปฏิเสธเสียงแข็งถึงกระแสข่าวดังกล่าว
ด้านพรรคฝ่ายค้านอันดับ 1 อย่าง ‘พรรคประชาชน’ ก็ยังยืนยันจุดเดิมคือ หากคดีของ ‘แพทองธาร’ เป็นลบ พรรคพร้อมช่วยโหวตนายกฯคนใหม่ให้ เพื่อผ่าทางตันทางการเมือง แต่มีเงื่อนไขเข้มคือ ต้องแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ เปิดทางให้มีการตั้ง ส.ส.ร.ขึ้นมาร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ขีดเส้นภายใน 6 เดือน ก่อนยุบสภาฯ เลือกตั้งใหม่
ดังนั้นฉากทัศน์ของการเมืองไทยหลังจากนี้ ขึ้นอยู่กับคดีความ 2 พ่อลูก ‘ชินวัตร’ ว่าจะมีบทสรุปอย่างไร อีกไม่กี่อึดใจเท่านั้น รู้ผล!
