
"...ว่ากันว่า ‘พรรคเพื่อไทย’ ยังคงไม่ยอมแพ้จะไปให้สุดทาง โดยการเสนอชื่อ ‘ชัยเกษม’ มานั่งเก้าอี้นายกฯคนที่ 32 เป็นไปตาม ‘ปฏิญญาทักษิณ’ ที่บอกกับพรรคร่วมฯปัจจุบันว่า ขอให้ล่มหัวจมท้ายไปจนถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า จะกลับมาร่วมจัดตั้งรัฐบาลกันอีกครั้ง นอกจากนี้ ‘ทักษิณ’ ยังหล่นให้สัมภาษณ์หลายครั้งว่า ยังมี สส.เข้ามาเติมอยู่กับฝ่ายรัฐบาล ไม่กังวลเรื่อง ‘เสียงปริ่มน้ำ’ แต่อย่างใด อย่างไรก็ดีหาก ‘2 พ่อ-ลูกชินวัตร’ ไม่รอด ไม่รู้เหมือนกันว่า พรรคร่วมรัฐบาลจะยังไปสุดทางกับแนวทางนี้หรือไม่..."
อากาศเดือนสิงหาคม-กันยายน 2568 ยังร้อนแรง! ไม่แพ้สถานการณ์การเมืองไทย โดยเฉพาะ ‘ตระกูลชินวัตร’ ที่กำลังร้อนรุ่ม ท่ามกลางความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ยังคงคุกรุ่น แม้ว่าจะเข้าสู่ช่วง ‘หยุดยิง-เจรจา’ ก็ตาม
เพราะมี 3 คดีของ 2 พ่อ-ลูก ‘ชินวัตร’ ที่เข้าสู่จุดไคลแม็กซ์ ได้แก่
1.วันที่ 22 ส.ค. 2568 ศาลอาญา นัดอ่านคำพิพากษาคดีกล่าวหา ‘ทักษิณ ชินวัตร’ กระทำการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จากการให้สัมภาษณ์สื่อที่เกาหลีใต้
2.วันที่ 29 ส.ค. 2568 ศาลรัฐธรรมนูญ นัดฟังคำวินิจฉัย คดีกล่าวหา ‘แพทองธาร ชินวัตร’ กรณีคลิปเสียงสนทนากับ ‘ฮุน เซน’ ประธานวุฒิสภากัมพูชา เรื่องสถานการณ์ความขัดแย้งชายแดน เข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่
3.วันที่ 9 ก.ย. 2568 ศาลฎีกา นัดฟังคำสั่งคดีบังคับโทษ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ กรณีถูกส่งไปพักรักษาตัวที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ โดยศาลสั่งให้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และทักษิณ เข้าฟังคำสั่งศาล

ไม่ว่าผลของคดีทั้ง 3 จะออกมาในหน้าใด เรียกได้ว่าเป็น ‘จุดเปลี่ยน’ ของการเมืองไทยอย่างแน่นอน โดย 3 ฉากทัศน์ของทั้ง 3 คดี ออกได้ 3 หน้าคือ
หนึ่ง
พ่อ-ลูกชินวัตร รอดพ้นบ่วงทั้ง 3 คดี จะทำให้เกมการเมืองเปลี่ยน บรรดา ‘ข้าราชการ’ ที่ขณะนี้ยัง ‘แทงกั๊ก’ เลือกไม่ได้ว่าจะไปต่อ-พอแค่นี้กับรัฐบาล ซึ่งอยู่ในสถานะ ‘นายกฯรักษาการ’ น่าจะเลือกทิศทางการทำงานได้ ส่งผลให้เสถียรภาพของรัฐบาลกลับมาดีขึ้น และขับเคลื่อนบริหารราชการแผ่นดินได้ต่อไป
โดยเฉพาะบรรดา ‘พรรคร่วมรัฐบาล’ ที่ขณะนี้เหมือนจะยังแทงกั๊กไปไม่สุด เพราะยังกังวลกับคำวินิจฉัยของศาลคดี 2 พ่อ-ลูก แต่หากทั้ง 2 คนรอดคดีทั้งหมด จะทำให้พรรคร่วมฯพร้อมล่มหัวจมท้าย ไปสุดทางจนกว่าจะมียุบสภาฯ หรือเลือกตั้งครั้งหน้าค่อนข้างแน่นอน
นอกจากนี้ยังสะท้อนว่า ‘หัวขบวนอนุรักษนิยม’ น่าจะยังไว้วางใจใช้บริการยี่ห้อ ‘ชินวัตร’ ให้บริหารราชการแผ่นดินต่อไป แม้ว่าการบริหารราชการแผ่นดิน 2 ปีที่ผ่านมา อาจไม่ตรงเป้านัก แต่ด้วยตัวเลือก ณ ขณะนี้ยังหาคนอื่นมาแทน ‘ชินวัตร’ ได้ยาก ทำให้ต้อง ‘จำใจ’ ใช้บริการไปก่อน โดยเฉพาะเป้าหมายหลักคือการ ‘บั่นทอน-ตัดกำลัง’ ของ ‘ก๊กส้ม’ ไม่ให้โตวันโตคืน และมาท้าทายเสถียรภาพ ‘เบื้องบน’ ได้อีก
แม้จะมีความพยายามจาก ‘นายทุน-ขุนศึก’ บางคนใช้ยุทธวิธี ‘ซื้อตัวงูเห่า’ ภาค 3 จาก สส.สีส้ม เพื่อช่วยเพิ่มเสถียรภาพของฝ่ายรัฐบาล แต่ด้วยหลังการเลือกตั้งปี 2566 มี สส.ดีเอ็นเอ ‘อนาคตใหม่’ เข้ามาจำนวนมาก ทำให้วิธีนี้อาจไม่ได้ผลมากนัก และอาจส่งผลเสียกับคนซื้อเอง เพราะมีหลายครั้งที่ถูก สส.พรรคส้ม ออกมาแฉเรื่องเหล่านี้ ดังนั้นการใช้บริการยี่ห้อชินวัตร ดูหน้าม่านแล้วเป็น ‘ประชาธิปไตย’ มากที่สุด น่าจะตอบโจทย์โลกสมัยใหม่ และประชาชนหลายภาคส่วน
สอง
‘แพทองธาร’ พ้นบ่วง แต่ ‘ทักษิณ’ ไม่รอด ซึ่งโอกาสเป็นไปได้ค่อนข้างยากมาก แต่หากออกมาหน้านี้ การที่ ‘แพทองธาร’ รอดคดีมา ก็แทบไม่มีผลอะไร เพราะหลายภาคส่วนในสังคมรับรู้อยู่แล้วว่า ‘นายกฯตัวจริง’ ที่คอยบัญชาการกำกับอยู่หลังม่านเป็นใคร ดังนั้นถ้าออกมาหน้านี้ มีแนวโน้มว่า เพื่อไทยอาจเสนอชื่อ ชัยเกษม นิติศิริ เป็นนายกฯคนที่ 32 แทน
สาม
พ่อ-ลูกชินวัตร ไม่รอด ศาลมีคำพิพากษา-คำสั่งใน ‘เชิงลบ’ ทั้ง 3 คดี หากเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น แน่นอนว่าเสถียรภาพของรัฐบาลน่าจะ ‘ล่มสลาย’ มี 3 ทางเลือกคือ
1.ยุบสภาฯนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ แม้ว่าจะมีข้อถกเถียงว่านายกฯรักษาการมีอำนาจยุบสภาฯหรือไม่ก็ตาม แต่น่าจะส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตีความกันได้
2.ไม่ยุบสภาฯ แต่โหวตเลือกนายกฯใหม่ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 159 ในบัญชีพรรคการเมืองที่ยื่นต่อ กกต. โดยพรรคที่มีสิทธิเสนอชื่อ (มี สส. 25 คนขึ้นไป) ตัวเลือกขณะนี้ยังเหลือฝ่ายรัฐบาล ได้แก่ พรรคเพื่อไทย 1 คนคือ ชัยเกษม นิติศิริ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) 2 คนคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) 1 คนคือ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ส่วนฝ่ายค้าน ได้แก่ พรรคภูมิใจไทยคือ อนุทิน ชาญวีรกูล ส่วนพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่เสนอชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นั้น ไม่มีโอกาสแล้ว เนื่องจากมี สส.น้อยกว่า 25 ที่นั่ง
ว่ากันว่า ‘พรรคเพื่อไทย’ ยังคงไม่ยอมแพ้จะไปให้สุดทาง โดยการเสนอชื่อ ‘ชัยเกษม’ มานั่งเก้าอี้นายกฯคนที่ 32 เป็นไปตาม ‘ปฏิญญาทักษิณ’ ที่บอกกับพรรคร่วมฯปัจจุบันว่า ขอให้ล่มหัวจมท้ายไปจนถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า จะกลับมาร่วมจัดตั้งรัฐบาลกันอีกครั้ง นอกจากนี้ ‘ทักษิณ’ ยังให้สัมภาษณ์หลายครั้งว่า ยังมี สส.เข้ามาเติมอยู่กับฝ่ายรัฐบาล ไม่กังวลเรื่อง ‘เสียงปริ่มน้ำ’ แต่อย่างใด อย่างไรก็ดีหาก ‘2 พ่อ-ลูกชินวัตร’ ไม่รอด ไม่รู้เหมือนกันว่า พรรคร่วมรัฐบาลจะยังไปสุดทางกับแนวทางนี้หรือไม่

ขณะเดียวกันพรรคประชาชน (ปชน.) เสนอแนวทางพร้อมโหวตเลือกนายกฯคนใหม่ แต่ต้องทำตามเงื่อนไขคือ เปิดทางแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ ให้มี สสร.มาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยใช้เวลาไม่เกิน 6 เดือน หลังจากทำเสร็จให้ยุบสภาฯเพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ทันที และหาก ‘เพื่อไทย’ ไม่รับข้อเสนอ ก็อาจจะโหวตหนุน ‘อนุทิน’ นั่งเก้าอี้ ‘นายกฯเฉพาะกิจ’ ก็เป็นไปได้
3.ไม่ยุบสภาฯ ไม่เลือกนายกฯตามแคนดิเดตของพรรคการเมือง แต่เปิดทางโหวตเลือก ‘นายกฯคนนอก’ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 โดยเปิดทางให้สมาชิกรัฐสภาไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 หรือ 500 คน (จากจำนวนเต็ม 750 คน) ลงมติเปิดทางเสนอชื่อบุคคลอื่น ที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อของแคนดิเดตนายกฯของพรรคการเมือง มารับตำแหน่งนายกฯ ได้ อย่างไรก็ดีทางเลือกนี้โอกาสเป็นไปได้ค่อนข้างน้อย เนื่องจากกลไก สว.ปัจจุบันมิใช่ยุค 250 สว.กลุ่ม ‘ขุนศึก’ แต่เป็น 200 สว.ที่อิงแอบกับ ‘ก๊กการเมือง’ หลายสี
ทั้งหมดคือฉากทัศน์ทางการเมือง ภายหลังคำพิพากษา-คำวินิจฉัยของศาลในคดีเกี่ยวกับ 2 พ่อ-ลูกชินวัตร ส่วนบทสรุปสุดท้ายพวกเขาจะเลือกเส้นทางไหน ต้องติดตามกันต่อไป
